ความสำเร็จของฉันที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

แปลจากเรื่อง My Success :  THE ARAKAN PROJECT
จากหนังสือชื่อ Burma woman’ voice for peaces

ฉันชื่อลีล่า(Leila) อายุ 46 เป็นชาวมุสลิมโรฮิงยาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองมงดอว์ รัฐอาระกัน ประเทศพม่า สามีคนแรกของฉันเป็นคนโรฮิงยา แต่เขาเสียชีวิตที่ค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ หลังจากที่แต่งงานกันได้แค่ 5 ปี สามีคนที่สองเป็นคนบังกลาเทศ และฉันก็เป็นภรรยาคนที่สองของเขาเช่นกัน แต่แต่งงานได้แค่ 4 ปี ฉันก็หย่ากับเขา ฉันมีลูกทั้งหมด 5 คน ลูกสาวสองคนแรกเกิดกับสามีชาวโรฮิงยา และลูก อีกสามคนเกิดกับสามีคนที่สอง เป็นผู้ชายสองและหญิงหนึ่ง ตอนนี้ลูกสาวสองคนของฉันได้แต่งงานกับคน บังกลาเทศไปแล้ว ในขณะที่ลูกชายคนโตยังไม่ได้แต่งงานและตอนนี้กำลังทำงานอยู่ที่โรงงานเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ในกรุงธากา ลูกสาวคนหนึ่งของฉันไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ ส่วนลูกชายคนเล็กที่อยู่กับฉัน ตอนนี้อายุ 16 ปี กำลัง หาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยการเข็นรถลาก ส่วนฉันทำงานเป็นแม่บ้านรับจ้างทำความสะอาด
ปัจจุบันฉันอยู่ที่ปาฮาตาลีในอำเภอค็อกซ์บาซาร์ ประเทศ บังกลาเทศ จะว่าไปฉันก็อยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว นับตั้งแต่เดินทางออกจากพม่าเมื่อปี 1978 ซึ่งเป็นช่วงที่ความหวาดกลัวกำลังเกิดขึ้นในชุมชนชาวมุสลิมของเรา ทั้งในเมืองมงดอว์และเมืองบูทีดอง รัฐอาระกัน ความหวาดกลัวว่าจะถูกจับกุม ความหวาดกลัวว่าจะเกิดการจลาจลและการเผชิญหน้ากันครั้งใหญ่ระหว่างชาวยะไข่(อาระกัน)กับชาวโรฮิงยา ซึ่งเป็นชาวมุสลิมได้เกิดขึ้น และในตอนนั้น ผู้คนที่เป็นชาวโรฮิงยาได้เริ่มเดินทางออกจากพม่า รวมทั้งครอบครัวของฉัน ฉันกับสามีพร้อมลูกสาววัย 1 ขวบได้ติดตามไปกับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวเพื่อไปยังบังกลาเทศ เมื่อเดินทางถึงบังกลาเทศ เราได้อาศัยค่ายผู้ลี้ภัยดีชัวปาลอง(Dechuapalong) ชั่วคราว

 สามีของฉันเป็นคนมีความรู้ และเขาเคยได้รับการช่วยเหลือจาก ค่ายผู้ลี้ภัยดีชัวปาลอง และยังเป็นผู้สนับสนุนกลุ่ม Rohingya Patriotic Front (RPF) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวของชาวโรฮิงยา และเป็นพรรคการเมืองเดียวที่เป็นตัวแทนของชาวโรฮิงยาในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ ในตอนแรกเราพักอยู่ในห้องแคบๆ แต่หลังจาก 2 – 3 เดือนต่อมา สามีของฉันตัดสินใจให้ฉันและลูกไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งใกล้กับหมู่บ้าน แต่อยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัย  เขาเข้าทำงานกับกลุ่ม RPF ในค่ายผู้ลี้ภัย โดยจะไป กลับระหว่างบ้านและค่ายผู้ลี้ภัย ครอบครัวของเราได้รับการช่วยเหลือ จากค่ายผู้ลี้ภัยด้วยเช่นกัน ในช่วงที่เราอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัยที่จดทะเบียน อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับครอบครัวฉัน เมื่ออหิวาตกโรคได้ระบาดครั้งใหญ่ในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ ซึ่งทำให้ผู้ลี้ภัย หลายคนได้รับความเดือดร้อนจากโรคนี้ หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบคือ คนในครอบครัวของฉัน พ่อแม่และสามีซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว เสียชีวิตจากอหิวาตกโรคไปอย่างไม่มีวันกลับ ในตอนที่ฉันกำลังตั้งท้องลูกคนที่สองได้เพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น ช่วงเวลานั้น ฉันรู้แต่เพียงว่า โลก ของฉันได้กลายเป็นโลกแห่งความว่างเปล่าและเหมือนว่าฉันได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ฉันได้แต่สวดภาวนาขอให้อัลเลาะห์โปรดจงช่วยคุ้มครองฉันและลูกให้ปลอดภัย หนึ่งอาทิตย์ต่อมาฉันตัดสินใจเดินทางกลับเข้าไปอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยดีชัวปาลองอีกครั้ง และสิ่งที่ฉันได้เห็นก็คือ ที่นั่นได้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังโชคดีที่ยังเหลือพี่ชายคนโตและน้องสาวคนเล็กอีกคน แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ฉันคิดผิด

ในตอนแรกฉันอยากอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ที่สามีของฉัน ได้เสียชีวิตลง แต่ในตอนหลังฉันก็เปลี่ยนใจ หลังจากที่ได้รู้ว่าพี่ชายของฉัน วางแผนที่จะยกน้องสาวคนเล็กให้กับครอบครัวผู้ลี้ภัยครอบครัวหนึ่ง และวางแผนจะขายฉันให้กับกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ โดยทำเป็นว่าให้ฉัน แต่งงานใหม่กับผู้ชายที่ฉันไม่เคยรู้จัก ทั้งๆ ที่สามีของฉันเพิ่งเสียชีวิตได้เพียงไม่กี่วัน พี่ชายของฉันบอกว่า เขารู้จักผู้ชายดีๆ จากปากีสถาน และ ผู้ชายคนนี้จะพาฉันไปอยู่ที่นั่นด้วย แต่ฉันก็ปฏิเสธข้อเสนอของเขา แต่ทุกๆ วัน เขาก็ยังกลับมาพร้อมกับข้อเสนอเดิมอีกครั้ง คือให้ฉันแต่งงาน ใหม่ และมักอ้างว่าฉันยังอายุน้อย ชีวิตของฉันต้องเดินไปข้างหน้า และ ยังบอกให้ฉันไม่ต้องเป็นห่วงน้องสาวคนเล็ก ฉันรู้สึกตกใจที่ได้ยินสิ่งนี้ จากปากของพี่ชายคนโต เพราะนั่นหมายความว่า เขาต้องการขาย น้องสาวแท้ๆ ให้กับคนอื่นทั้งๆ ที่ฉันกำลังท้อง ฉันกลัวที่จะต้องสูญเสีย ลูกสาวจึงตัดสินใจที่จะหนี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปอยู่ที่ไหนในตอนแรก

ฉันเป็นห่วงน้องสาวของฉันมาก ในตอนนั้นเธออายุแค่ 10 – 11 ปี เอง ในขณะเดียวกันก็เป็นห่วงสถานการณ์ของฉันและลูก แต่ฉันก็ทำอะไร ไม่ได้ และท้ายสุด หลังจากที่พี่ชายคนเดียวของเราขายฉันไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจขายน้องสาวคนเล็กให้กับกลุ่มค้ามนุษย์แทน และจนถึงทุกวันนี้ ฉันยังไม่รู้ว่าน้องสาวของฉันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะเธอไม่เคยติดต่อ ฉันอีกเลย ฉันจึงได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนขอให้เธอจงมีความสุข ไม่ว่า เธออยู่ที่ไหนหรือเป็นยังไงก็ตาม

จนวันหนึ่ง ฉันได้หนีออกจากค่ายผู้ลี้ภัยโดยการช่วยเหลือจากหญิงคนหนึ่งที่ได้ฟังเรื่องราวของฉัน  เมื่อเราทั้งสองได้หนีออกจากค่ายได้สำเร็จ เราจึงมุ่งหน้าไปยังอำเภอค็อกซ์บาซาร์ ฉันได้แต่คิดว่า ฉันน่าจะ พาน้องสาวหนีไปกับฉันก่อนที่เธอจะถูกนำไปขายที่ปากีสถาน แต่ฉันก็ทำ ไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้พี่ชายของฉันได้จับตาดูเราอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรา ถึงค็อกซ์บาซาร์ ญาติของฉันได้จัดห้องเล็กๆ ไว้ให้ฉันและลูกอยู่ด้วยกัน และอนุญาตให้เราได้อยู่กับญาติของสามีเธอ ฉันยังโชคดีที่ยังมีทองและ เงินส่วนหนึ่งที่สามีของฉันได้ทิ้งเอาไว้ให้ แต่ก็ยังไม่อยากจะใช้มันใน ตอนนั้น ฉันจึงรีบหางานทำให้เร็วที่สุด และท้ายสุดฉันได้งานทำคือดูแลลุงแก่ๆ คนหนึ่งที่กำลังป่วย เขาเป็นเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองนี้ ในบ้านหลัง นั้นมีหญิงม่ายและลูกชายอีก 3 คนอยู่กับเขา หน้าที่ของฉันก็คือ ต้องเฝ้า ดูแลคุณลุงคนนี้ตลอดเวลาและคอยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ รวมถึงคอยพยาบาล ยามที่แกต้องการ

แม้ว่าฉันจะตั้งท้องและต้องดูแลลูกอีกหนึ่งคน แต่ฉันก็มีกำลังใจ ที่จะทำงานนี้ และไม่เคยคิดว่านี่คืออุปสรรคสำหรับฉัน ฉันและลูกใช้ ห้องครัวเป็นที่หลับนอน และทำงานอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลา 5 ปี จนกระทั่งลุงได้เสียชีวิตลง พวกเขาจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ฉันเป็นค่าตอบแทน หลังจากนั้น ฉันกลับไปอยู่กับครอบครัวของญาติที่ฉันเคย อยู่ด้วย แต่ไม่นานนัก ฉันก็ได้งานใหม่เป็นแม่บ้าน แม้งานจะหนักแต่ยัง โชคดีที่มีอาหารให้กินวันละ 2 มื้อ แม้จะเป็นอาหารเหลือในมื้อเย็น ของเจ้านายก็ตาม นอกจากนี้ฉันยังได้รับเงินเดือนๆ ละ 100 ตากา ฉันเริ่มรู้สึกชอบเมืองนี้และผู้คนที่นี่ เพราะพวกเขามีจิตใจดีและดูเหมือน จะเห็นอกเห็นใจแม่ม่ายอย่างฉันที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด  

ในเวลาต่อมา ฉันได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนบังกลาเทศ ในพื้นที่ เขาชอบฉันมากและขอฉันแต่งงาน ฉันได้ปฏิเสธไปในตอนแรก แต่เขายังคงตื๊อฉันและสัญญาว่าจะดูแลและทำให้ชีวิตฉันสบายขึ้น เขาบอกกับฉันว่า เขาเคยมีเมียและลูก แต่ชีวิตครอบครัวของเขาไม่เคยมีความสุขเหมือนคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกลับบ้านไปหาลูกเมีย ท้ายที่สุดฉันตกลงแต่งงานกับเขาเพราะความเหงาและหวังว่าเขาจะ สามารถดูแลฉันและลูกได้ เขาเช่าบ้านหลังเล็กๆ ให้ฉันและลูกอยู่ และ เราอยู่ด้วยกันที่นี่เป็นเวลา 1 ปี

 แต่เรื่องที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเมียคนแรกของเขารู้เรื่องทั้งหมด เธอโกรธมากที่สามีของเธอมาอยู่กับฉัน เธอมา หาเรื่องฉันถึงที่บ้านและดูถูกฉันต่างๆ นานา เธอเรียกสามีกลับไปพร้อม กับเธอ แต่เขายังก็ยังคงแวะมาหาฉันอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นฉันรู้สึกอายมาก ที่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ในขณะที่ฉันเพิ่งมีลูกคนที่สามกับเขา ฉันตัดสินใจ ที่จะเลิกกับเขาและหนีออกจากบ้านหลังนั้นทันที ฉันได้กลับไปหา ครอบครัวของเจ้านายคนเก่า และเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง พวกเขา รู้สึกสงสารจึงรับฉันเข้าทำงานอีกครั้งและให้ที่พักแก่ฉัน ซึ่งก็เป็นห้องครัว ห้องเดิมที่ฉันเคยอยู่

ฉันไม่ได้เรียกร้องเงินเดือนใดๆ จากพวกเขาเลย ในขณะเดียวกัน พวกเขาอนุญาตให้ฉันรับจ้างทำงานนอกบ้านได้ แต่เมื่อสามีของฉันรู้เรื่อง เข้า เขาไม่ยอมและยืนกรานที่จะให้ฉันกลับไปอยู่กับเขา ฉันใจอ่อนและยอมไปใช้ชีวิตอยู่กับเขาเป็นหนที่สอง และต่อมาตั้งท้องลูกคนที่สี่กับ เขา แต่เมื่ออยู่กันไป ฉันกลับได้เรียนรู้นิสัยของสามีคนนี้ว่าเขาไม่ได้รัก ลูกสาวสองคนแรกที่เกิดกับสามีคนก่อนของฉัน ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึก เจ็บปวดกับสิ่งนี้มาก และอีกครั้งที่ฉันตัดสินใจที่จะทิ้งเขา พร้อมๆ กับที่ ให้กำเนิดลูกคนที่สี่ ฉันกลับมาตั้งหลักใหม่และให้ความสนใจกับงาน มากกว่าสิ่งอื่นใด ฉันรับจ้างทำงานเป็นแม่บ้านตามบ้าน

แต่สามีของฉันก็ไม่เคยให้ฉันได้อยู่อย่างสงบสุข เขายังมาพบฉัน และรังควานฉันอยู่ตลอด โดยอ้างว่าต้องการเจอลูกของเขา ฉันได้ตั้งท้อง ลูกชายคนที่ห้าและต้องทำงานอย่างหนัก ในขณะที่สามีของฉันไม่เคยจ่าย ค่าเลี้ยงดูให้กับลูกของเขาเลย  ไม่เพียงแค่นั้น เขายังมาขอยืมเงินจากฉัน ซึ่งครั้งหนึ่ง ฉันต้องจำใจยืมเงินจากคนอื่นถึง 5,000 ตากาให้เขา โดยเขา สัญญาว่าจะนำเงินกลับมาใช้หนี้ แต่พอถึงเวลาเขาก็ไม่เคยทำตามในสิ่งที่พูด ฉันต้องใช้คืนเงินกู้นั้นด้วยตัวเอง แต่จากการทำงานหนัก ฉัน สามารถเก็บเงินได้บางส่วน คนรอบตัวของฉันได้แนะนำให้ฉันเปิดบัญชีธนาคารและนำเงินไปฝาก ซึ่งนั่นทำให้ในปี 1990 ฉันสามารถซื้อที่ดิน ไว้ผืนหนึ่งด้วยเงินเก็บของฉันเอง ฉันซื้อที่ดินผืนนี้จากชายคนหนึ่งใน พื้นที่ ซึ่งเขารับปากอย่างดีว่าจะไม่มีใครมารบกวนฉันหรือมาทำอะไร กับที่ดินผืนนี้ได้ ฉันจึงตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ด้วยเงินจำนวน 7,500 ตากา แต่ชายคนนั้นก็หลอกฉัน เพราะในเวลาต่อมาเขาได้แบ่งขายที่ดินที่ฉัน ซื้อให้กับคนอื่น จนท้ายที่สุดเหลือที่ดินพอที่จะสร้างบ้านได้แค่หลังเดียว เท่านั้น

แม้ที่ดินจะถูกโกง แต่ฉันก็สร้างบ้านบนที่ดินที่เหลืออยู่ด้วย ตัวเอง บ้านของฉันเป็นบ้านไม้ไผ่ธรรมดาๆ ในขณะที่สามีของฉันไม่เคย แม้แต่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ วันเวลาผ่านไป ลูกๆ ของฉันเติบโตและ กำลังจะมีครอบครัว ฉันจัดงานแต่งให้กับลูกสาวด้วยเงินที่ฉันได้มาจากการทำงานหนัก สามีของฉันไม่เคยแม้แต่จะเข้ามาเลี้ยงดูช่วยเหลือและไม่เคยแม้แต่มางานแต่งงานลูกสาวของเขาเลย ที่ผ่านมา ฉันจึงเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกๆ แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ แต่ฉันก็ยังพอเจอเรื่องดีๆ อยู่บ้าง ลูกสาวคนโตของฉันได้รับการเลี้ยงดูจากเศรษฐีของเมืองนี้จนกระทั่งเธออายุ 10 ขวบ แต่เธอก็ตอบแทนบุญคุณ ครอบครัวเศรษฐีด้วยการช่วยทำงานบ้านและคอยรับใช้และดูแลลูกๆ ของพวกเขา และเธอยังได้เรียนรู้การอ่านเขียนจากครอบครัวใจดีนี้ และ เมื่อถึงวันแต่งงานของลูกสาวคนโต ครอบครัวเศรษฐีนี้ยังได้ช่วยเหลือ เธอเป็นอย่างดี

ขณะที่หมอเด็กจากโรงพยาบาลในค็อกซ์บาซาร์คนหนึ่งได้ ดูแลลูกสาวคนที่สองของฉัน หลังจากที่เขาทำให้ลูกสาวของฉันบาดเจ็บที่ขาในตอนเด็ก ลูกสาวของฉันเองได้ตอบแทนด้วยการช่วยดูแลลูกๆ ของหมอคนนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนลูกสาวคนที่สามได้รับความช่วยเหลือ จากเศรษฐีอีกคนจากเมืองนี้เช่นกัน หลังจากที่เธอจบชั้นประถม ฉัน หมดห่วงกับลูกสาวทั้ง 3 คน เพราะรู้ดีว่าพวกเธอปลอดภัยและมีชีวิตที่ดีภายใต้ผู้ที่อุปถัมภ์พวกเธอ และสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้น พวกเธอไม่เคย ได้รับการดูถูกจากเจ้านาย ตรงกันข้ามกลับช่วยเหลือพวกเธอทุกอย่าง และได้รับค่าจ้างอย่างเหมาะสม

ในตอนนี้ ลูกสาวของฉันสองคนได้แต่งงานกับคนบังกลาเทศ นั่นเป็นเพราะว่า คนบังกลาเทศมีความรับผิดชอบที่ดีกว่าและเชื่อใจได้กว่าคนโรฮิงยา ในขณะที่เรื่องความปลอดภัยก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญ ในการเลือกเจ้าบ่าวที่จะแต่งงานด้วย เพราะฉันเชื่อว่า หากลูกสาวของฉัน ได้แต่งงานกับชายหนุ่มบังกลาเทศ อนาคตของพวกเธอจะปลอดภัยและ มั่นคงกว่า ฉันพยายามดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดและเพื่อสนับสนุน ครอบครัวของฉัน และฉันไม่เคยหยุดที่จะทำงานหนัก ทุกวันนี้ฉันยังคงทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดในโรงเรียน และรับจ้างทำงานตาม บ้านในช่วงกลางวันและเย็น และถักแหตกปลาในตอนกลางคืน และฉัน จะยังคงดิ้นรนต่อไป

ในชีวิตที่ผ่านมา ชายที่ฉันรักหมดใจได้ตายจากไป ในเวลาเดียวกัน ชายที่เคยสัญญากับฉันว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ฉันกลับหลอกลวงฉัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยทรยศฉันก็คือ ความสามรถของฉัน การทำงาน หนักของฉัน ความจริงใจของฉัน และความคิดในด้านบวกของฉัน ตลอด เวลาที่ฉันอยู่ที่บังกลาเทศ ผู้คนที่นี่ได้ปฏิบัติต่อฉันเป็นอย่างดีและได้ ช่วยเหลือฉันหลายอย่าง ฉันจึงมีประสบการณ์ที่ดีในบังกลาเทศ นายจ้าง คนเก่าๆ ยังคงเอาเสื้อผ้ามามอบให้ฉันและหยิบยื่นอาหารในช่วง เทศกาลมุสลิม  นายจ้างบางครอบครัวไว้ใจฉันถึงขนาดให้ฉันดูแลบ้าน ยามที่พวกเขาไม่อยู่

ตรงกันข้าม ฉันกลับไม่ชอบวิถีชุมชนของฉัน เพราะพวกเขา ส่วนใหญ่ขี้เกียจและชอบฝันกลางวัน ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต พวก เขาต้องการในสิ่งที่ปรารถนามาก ในขณะที่ได้พยายามเพียงน้อยนิด เท่านั้น พวกเขามักจะขายความทุกข์ยากของตัวเองสู่โลกภายนอกและร่ำร้องขอรับบริจาค โดยการบอกเล่าว่าอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาในพม่า พวกเขามักบ่นว่าพวกเขาไม่ได้รับนั่น ไม่ได้รับนี่ ถูกตัดสิทธิ์โน่นนี่  พวกเขาเชื่อแต่เพียงว่า พวกเขาควรได้สิ่งเหล่านั้นเพราะเป็นสิทธิของ พวกเขา ซึ่งความคิดนี้ควรได้รับการเปลี่ยนและมองมุมใหม่ ชาวโรฮิงยา ควรคิดในทางบวก และเรียนรู้ที่จะเอาชนะใจคนอื่น พวกเขาควรช่วยเหลือ ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก และนั่นจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ แท้จริงต่อชุมชนชาวมุสลิมโรฮิงยาของเรา

ฉันเองอยากเห็นลูกๆ ของฉันได้มีชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุขในประเทศเสรี ฉันไม่อยากเห็นพวกเขากลายเป็นผู้ลี้ภัย ฉันเคยมีความฝันที่อยากจะเป็นพยาบาล แต่ตอนนี้ฉันรู้ตัวดีว่าแก่เกินไปที่จะเรียนรู้ การเป็นพยาบาล ถ้าหากฉันสามารถทำได้ ฉันอยากเรียนรู้วิธีดูแลคนไข้ แต่ฉันรู้ดีว่ามีเวลาไม่พอที่จะคิดถึงเรื่องในอนาคต พม่าคือประเทศของฉัน และฉันอยากจะกลับไปที่นั่น หากกลับไปแล้วเราจะสามารถอยู่อย่าง สงบสุขและไม่จำเป็นต้องหนีอีกครั้ง แต่ฉันก็แน่ใจว่าฉันไม่สามารถ กลับพม่าได้ ถ้าอย่างนั้นฉันเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะไปไหนอีกแล้ว ฉัน สุขสบายดีที่นี่ ฉันมีประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตผู้ลี้ภัยมาแล้ว และฉันก็รู้ว่า อะไรคือความหมายของการเป็นผู้ลี้ภัย

ฉันไม่อยากที่จะเป็นผู้ลี้ภัยอีกแล้ว เพราะมันช่างทุกข์ยาก เหลือเกิน และตอนนี้ทุกคนที่นี่ ที่ที่ฉันอยู่ได้กลายเป็นพี่น้องและ ส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว.