Whale Rider : ปาฏิหาริย์ ศรัทธา มหาสมุทร

โดย หมอกเต่หว่า

ความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีได้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและเป็นรากฐานแสดงถึงอัตลักษณ์ของชนชาตินั้นๆ ให้ดำรงอยู่สืบไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเชื่อและประเพณีบางอย่างได้กีดกันและเป็นเส้นแบ่งกั้นระหว่างหญิงและชายให้ต่างชั้นกันออกไป ทั้งๆ ที่ เป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน ผู้ชายถูกเชิดชูด้วยสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งน่ายกย่อง ในขณะที่ผู้หญิงถูกตราหน้าว่าเป็นเพศที่อ่อนแอและดูด้อยค่ากว่าเพศชาย และเมื่อความเชื่อนี้ได้หยั่งรากฝังลึกกลายเป็นวัฒนธรรมและปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน จึงไม่แปลกเลยที่ถึงแม้เรา จะยืนอยู่ในยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่เรากลับยังได้เห็นภาพการเลือกปฏิบัติและจำกัดสิทธิต่อผู้หญิงในบางประเทศ 


ภาพยนตร์เรื่อง Whale Rider จากนิวซีแลนด์ได้สะท้อนถึงการที่ผู้หญิงยังคงถูกจำกัดบทบาทและสิทธิได้เป็นอย่างดี เป็นเรื่องราวของ ชนเผ่าเมารี ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งในนิวซีแลนด์ ซึ่งพวกเขามีความเชื่อว่า บรรพบุรุษและผู้นำคนแรกของพวกเขาที่ชื่อไพเคีย เป็นผู้ที่ขี่หลังปลาวาฬเดินทางมาจากดินแดนที่ชื่อว่า อาไวกิ เพื่อตามหาดินแดนแห่งใหม่ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้นำของพวกเขาได้ถูกระบุไว้ให้เป็นเพศชายและต้องเป็นลูกชายคนโตเท่านั้น ในขณะที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งพยายามแสดงและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า แม้เธอจะเป็นหญิง แต่เธอก็สามารถทำอย่างที่ผู้ชายทำได้ นั่นหมายถึงการเป็นผู้นำด้วย เพียงแต่ความเชื่อผิดๆ และอคติที่มีต่อผู้หญิงต่างหากที่เป็นเครื่องกีดกันไม่ให้เธอก้าวไปยังสิ่งที่เธอมุ่งหวังจะเป็นได้    

Whale Rider เป็นภาพยนตร์แนวครอบครัวและแนวแฟนตาซีที่ได้รับการกล่าวขานและสร้างความประทับใจมาแล้วให้กับผู้ชมทั่วโลก ซึ่งนั่นได้พิสูจน์แล้วว่า ผู้หญิงเองก็เก่งไม่แพ้ชาย เพราะหนังเรื่องนี้กำกับ และเขียนบทโดยนิกิ คาโร (Niki Caro) ผู้กำกับหญิงชาวนิวซีแลนด์ เค้าโครงเรื่องบางส่วนของหนังเรื่องนี้หยิบเอามาจากนวนิยายเรื่อง The Whale Rider ของ Witi Lhimaera นักเขียนชาวเมารี ซึ่งเขียนเล่าเกี่ยวกับตำนานของชนเผ่าเมารี โดยผู้กำกับสามารถโยงเข้ากับตัวละครเพื่อถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มเป็นครั้งแรก

Whale Rider เริ่มฉายครั้งแรกในปี 2002 สามารถกวาดรางวัลในบ้านได้อย่าง ถล่มทลาย นอกจากนี้ยังทำให้ผู้กำกับและนักแสดงนำและทีมงานได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังต่างๆ จากทั่วโลกกว่า 29 รางวัล อาทิรางวัล German Video Award ในปี 2004  รางวัล BAFTA Children’s Award ในปี 2003 รางวัล World Cinema Audience Award จาก เทศกาลหนัง Sundance ปี 2003  ไคซาร์ แคสเทิล-ฮิวส์(Keisha Castle Hughes) วัย 13 ปี ซึ่งเป็นนักแสดงนำในเรื่องยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปี 2004 ซึ่งเธอถือเป็นนักแสดงหญิงคนแรกที่มีอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมาที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และหนังเรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆ อีกกว่า 28 รางวัล

หนังเปิดตัวด้วยภาพการเกิดของแฝดทารกต่างเพศคู่หนึ่งโชคร้ายที่แฝดพี่ซึ่งเป็นเพศชายเสียชีวิตไปพร้อมกับแม่ ขณะที่แฝดผู้น้อง ที่เป็นเพศหญิงกลับรอดชีวิต เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความเสียใจให้กับทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะ โคโร ( Rawiri Paratene)ซึ่งเป็นปู่ของเด็ก ทั้งสอง และเป็นผู้นำคนปัจจุบันของชนเผ่า โดยเขาหวังมาตลอดว่าหลานชายคนแรกจะเป็นผู้ที่สืบทอดตำแหน่งจากเขา หลังจากที่เขาผิดหวัง มาจากลูกชายคนโตที่ไม่ยอมรับตำแหน่ง แต่เขาไม่นึกเลยว่าจะต้องมาผิดหวังหนที่สอง

“ตอนที่ฉันเกิดไม่มีใครแสดงความยินดี พี่ชายฝาแฝดฉันตาย และเอาแม่ไปด้วย ทุกคนรอคอยเด็กชายที่เกิดใหม่ เพื่อมาเป็นผู้นำ แต่เขาตาย แต่ฉันไม่” คำพูดของไพเคีย (Keisha Castle Hughes) แฝด ผู้น้องที่เล่าย้อนถึงภาพในอดีต หลังการเสียชีวิตของภรรยาและลูกชาย พอรอรางิ(แสดงโดย Cliff  Curtis) พ่อของไพเคียก็ทิ้งทุกอย่างรวมทั้งไพเคีย เพราะไม่อาจทนกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียได้ ไพเคียถูกทิ้งให้อยู่กับปู่ย่าและอา แม้ปู่ของเธออยากได้หลานชายมากกว่าหลานสาว แต่เด็กสาวอย่างไพเคียก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีและค่อยๆ เติบโตท่ามกลางความรักของปู่และย่า ไพเคียได้รับการถ่ายทอดความศรัทธาในรากเหง้าเผ่าพันธุ์ของเธอ รวมถึงวัฒนธรรมและภาษาเมารีจากปู่และย่าเป็นอย่างดี ไพเคียฉายแววมีความสามารถเกินกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน หรือเกินกว่าเด็กผู้ชาย ด้วยซ้ำ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ปู่ของเธอไม่ต้องการ

จนวันหนึ่ง พ่อที่เคยห่างหายไปหลายปีได้กลับมาหาเธออีกครั้ง และการกลับมาของพ่อทำให้เธอได้รับรู้บางอย่างว่า ถึงเวลาแล้วที่ชนเผ่า ของเธอจำเป็นต้องมีผู้นำคนใหม่ อย่างไรก็ตามพ่อของไพเคียกลับปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งผู้นำอีกครั้ง จนทำให้ทั้งปู่และพ่อของเธอมีปากเสียงกันรุนแรง และปู่เผลอพูดคำๆ หนึ่งออกมาว่าไม่ต้องการไพเคีย อีกต่อไปแล้วเพียงเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง นั่นเป็นสิ่งที่เด็กสาวรู้สึกเจ็บปวดเป็นครั้งแรกและตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่กับพ่อ แต่ระหว่างเดินทางไปกับพ่อ เด็กสาวกลับได้ยินเสียงร้องของฝูงปลาวาฬเหมือนต้องการจะบอกให้เธอยกเลิกการเดินทางครั้งนี้ หรืออาจเป็นโชคชะตา ฟ้าลิขิตไว้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไพเคียตัดสินใจไม่ไปกับพ่อ แต่กลับเดินทางกลับไปอยู่กับปู่และย่าเช่นเดิม

ในขณะที่การหาผู้นำคนใหม่ได้เริ่มขึ้น โคโรได้เรียกเด็กชายซึ่งเป็น ลูกคนโตในหมู่บ้านทั้งหมดเพื่อมาฝึกฝนและเรียนรู้วิถีชีวิตและการต่อสู้แบบเมารี โดยเด็กทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบ และเด็กผู้ชายคนไหนสามารถผ่านด่านทดสอบของโคโรได้ก็จะถูกแต่งตั้งเป็นผู้นำคนต่อไป ในขณะที่เด็กผู้หญิงอย่างไพเคียกลับถูกห้ามเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ ด้วยเหตุผลเพียงสั้นๆ ว่า เธอเป็นผู้หญิง แต่เด็กสาวอย่างไพเคียกลับไม่ย่อท้อ ตรงกันข้าม เธอทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปู่ของเธอยอมรับความเป็นผู้นำในร่างผู้หญิงของเธอ เธอได้ขอร้องให้อาของเธอ(แสดงโดย Grant Roa) ช่วยสอนการต่อสู้แบบเมารีและการใช้พู่ให้กับเธอ จนเธอ สามารถใช้มันได้คล่อง ในขณะที่ปู่ของเธอกำลังสอนสิ่งนี้ให้กับเด็กชายคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

วันเวลาผ่านไปจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการค้นหาผู้นำ โคโร ได้ทิ้งฟันปลาวาฬลงในทะเลเพื่อให้เด็กชายชาวเมารีทั้งหลายดำน้ำลงไปหาฟันปลาวาฬ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำ แต่โคโรกลับต้องผิดหวัง ครั้งใหญ่เมื่อไม่มีเด็กชายคนไหนสามารถหาฟันปลาวาฬกลับขึ้นมาได้ ซึ่งโคโรเชื่อว่า ผู้นำของเผ่าได้สิ้นสุดลงแล้วในยุคของเขา ไพเคียเองเมื่อทราบเรื่องนี้จึงได้เดินทางไปยังทะเลลึกที่โคโรได้ทิ้งฟันปลาวาฬเอาไว้

และเหมือนกับว่าบรรพบุรุษได้กำหนดเอาไว้แล้วว่า ได้เลือกเด็กสาวอย่าง ไพเคียเป็นผู้นำคนต่อไป เมื่อเธอสามารถนำฟันปลาวาฬกลับมาให้ปู่ของเธอได้สำเร็จ โดยที่ปู่ของเธอเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ และการต่อสู้ทางความคิดของคนรุ่นก่อนและคนรุ่นใหม่ระหว่างโคโรกับหลานสาวก็ยังคงดำเนินต่อไป

ความผิดหวังทำให้โคโรไม่ยอมพบหน้าใครและไล่ให้ไพเคียไปอยู่ที่อื่น โดยโทษว่าเธอเป็นต้นเหตุของเรื่องที่ผิดพลาดทั้งหมด เมื่อ งานประจำโรงเรียนมาถึง แต่ปู่ก็ไม่ได้โผล่ไปชมการแสดงของเธอ นั่นยิ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกเสียใจและน้อยใจผู้เป็นปู่มากขึ้น จนระบายความเสียใจ นั้นออกมาเป็นเพลงภาษาเมารีโดยไม่รู้ว่าเพลงที่เธอได้ร้องออกมานั้นได้ส่งผ่านไปยังฝูงปลาวาฬที่ได้ยินเสียงเรียกของเธอ เช้าวันต่อมาชาวบ้านต่างแปลกประหลาดใจเมื่อฝูงปลาวาฬได้เกยตื้นบนชายหาดในหมู่บ้าน ฝูงปลาวาฬเหล่านี้ไม่ยอมเคลื่อนย้ายไปไหน ราวกับว่ากำลังรอ ใครบางคนอยู่ ในขณะที่โคโรเองก็ยังคงไม่ยอมรับในตัวหลานสาว และโทษว่าไพเคียเป็นต้นเหตุของเรื่องในครั้งนี้อีกครั้ง จนเมื่อเขาเห็นภาพของไพเคีย หลานสาวเรียกให้ฝูงปลาวาฬทั้งหมดกลับคืนสู่ท้องทะเล และเธอเองได้ขี่หลังปลาวาฬตัวที่ใหญ่ที่สุดออกไปยังท้องทะเลลึก เหมือนที่ผู้นำคนแรกในตำนานที่เล่าสืบกันมาเคยทำ จนถึงตอนนี้ โคโรถึง ได้ยอมรับว่า แท้ที่จริงแล้ว เขาเองต่างหาก ที่คิดผิดมาตลอด ทั้งที่บรรพบุรุษได้เลือกแล้วว่าเด็กสาวคือผู้นำคนใหม่ 

แม้จะขี่ปลาวาฬออกไปกลางทะเลลึก แต่เด็กสาวกลับรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ ความสุขและรอยยิ้มได้กลับคืนสู่หมู่บ้านเมารีแห่งนี้อีกครั้ง เพราะพวกเขาได้พบผู้นำคนใหม่แล้ว และความสุขนั้นก็ได้กลับคืนสู่โคโรด้วยเช่นกัน ถึงวันนี้ปู่ของเธอยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แล้วว่า ผู้นำคนใหม่เป็นเด็กผู้หญิงที่เก่งและแกร่งไม่แพ้ชาย และเขา ยังได้ตระหนักดีว่า บางทีความเชื่อบางอย่างสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามยุคสมัย แต่อคติในใจของคนที่ได้รับการพร่ำสอนมาอย่างผิดๆ  หรือคนที่ไม่ยอมเปิดใจต่างหาก ที่อาจปิดโอกาสและไปทำร้ายคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว และคำกล่าวที่ว่า “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” คงใช้ไม่ได้กับยุคสมัยนี้ เพราะหญิงเก่งหลายๆ คนได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า ผู้หญิงเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาย

ถ้าหากหันมามองเพื่อนบ้านเราอย่างพม่า สิ่งแรกที่คนทั้งโลก นึกถึง นอกจากรัฐบาลทหารที่มีแต่ภาพลบแล้ว หญิงร่างผอมรูปลักษณ์งดงามนามว่าอองซาน ซูจี ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยวิธีอหิงสาไม่ใช้ความรุนแรง ที่เคยทำให้รัฐบาลทหารพม่าที่มีทั้งปืนและอำนาจต้องหวาดหวั่นมาแล้วหลายครั้ง ก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ทั่วโลก นึกถึง อองซาน ซูจีไม่ได้เป็นเพียงแค่แรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงในพม่าลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น แต่เธอยังเป็นแบบอย่างหญิงแกร่งให้กับผู้หญิงจากทั่วโลก แม้เป้าหมายของเธอ นั่นคือการนำประเทศสู่ประชาธิปไตยจะยังไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้ แต่เธอก็สามารถเอาชนะใจและได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลกแล้วในวันนี้ และทุกคนพร้อมที่จะเดินข้างหญิงแกร่งคนนี้ต่อไป ชื่อของเธอจะยังคงอยู่ในใจของใครหลายคน ตราบเท่าที่แสงแห่งประชาธิปไตยจะยังไม่ส่องสว่างในพม่า.