ทุกวันนี้การแลกที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์กับเพื่อนใหม่กลายเป็นเรื่องที่ “เอ๊าท์”(out-of-date) หรือล้าสมัยไป เสียแล้ว ยุคนี้มันต้องอีเมล์แอดเดรส เฟซบุ๊ค ไฮไฟว์ หรือ ทวิตเตอร์ถึงจะดูดี โดยเฉพาะในกลุ่ม “คนวัยทีน”(teen) ซึ่ง บางคนรู้จักกันผ่านเกมส์ออนไลน์โดยที่ไม่เคยเจอตัวจริงด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ต หรืออีกชื่อหนึ่งเก๋ๆ ว่า “อินเทอร์เน็ตคาเฟ่” ที่ผุดขึ้นมาทั่วทุกมุมถนนในเมืองโดยเฉพาะย่านสถาบันการศึกษา จึงสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากคนรุ่นใหม่เหล่านี้
สำหรับลุงคุณป้าทั้งหลายที่ยังจดเบอร์โทรศัพท์ลงในกระดาษแลกกันอยู่ โปรดฟังทางนี้..เพราะประเทศพม่า ข้างบ้านเรา ถึงผู้คนส่วนใหญ่จะยังนุ่งโสร่ง เคี้ยวหมาก ดำรง ชีวิตตามวิถีดั้งเดิม แต่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างย่างกุ้งและ มัณฑะเลย์ เขาก็มีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เหมือนกัน แถมมีเยอะ เสียด้วยสิ ทว่า นั่นก็ไม่เซอร์ไพรซ์เท่ากับตอนที่พบว่า นอกเหนือจากวัยรุ่นแล้ว ลูกค้าประจำอีกกลุ่มหนึ่งคือ “ผู้สูงอายุ” วัยห้าสิบหกสิบอัพ
ลุงอ่องกับป้าขิ่นวัยหกสิบปี เป็นลูกค้าประจำร้านอินเทอร์เน็ตแห่งหนึ่งในแถบมเย่าดะกง ชานเมือง ย่างกุ้ง คุณลุงกับคุณป้าเข้าร้านอินเทอร์เน็ตครั้งแรกเมื่อต้นปี 2552 ที่ผ่านมาเพื่อใช้บริการ “วีดีโอแช็ท” โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการสนทนากันผ่าน อินเทอร์เน็ตที่มีทั้งภาพและเสียงในเวลาเดียวกัน เสมือนหนึ่งได้นั่งคุยกันจริงๆ
ลองหลับตาแล้วนึกภาพคนแก่สองคนสวมเฮดโฟนและไมโครโฟน นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมในร้านอินเทอร์เน็ตท่ามกลางกลุ่ม วัยรุ่น ถึงจะดูแตกต่าง ผิดที่ผิดทาง และเคอะเขินไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่า ภาพของชายหนุ่มผิวเข้มวัยสามสิบต้นๆ หน้าตาละม้ายคล้ายป้าขิ่นไม่มีผิด ที่โผล่ขึ้นมาในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บน จอคอมพิวเตอร์ จะทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองลืมนึกถึงเรื่องอื่นๆ รอบข้างไปชั่วขณะ เพราะนั่นคือลูกชาย ที่จากบ้านเกิดไปอยู่ต่างประเทศและไม่ได้เจอกันมาหกปีแล้ว
ปัจจุบัน มีคนหนุ่มสาวในพม่าจำนวนมาก ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ บางส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง (อย่าง กรณีของลูกชายลุงอ่องกับป้าขิ่น) แต่ส่วนมากจะหนีความแร้นแค้นไปทำงานต่างประเทศเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวเสียมากกว่า หลายคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว เริ่มหันมาติดต่อกับพ่อแม่และญาติที่น้องโดยการใช้วีดีโอแช็ท ลูกค้าอาวุโสในร้านอินเทอร์เน็ตจึงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ก่อนหน้านี้การติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกมีเพียงโทรศัพท์เท่านั้น ขณะที่การส่งจดหมาย โอกาสที่จะถึงมือผู้รับที่อยู่ต่างประเทศนั้นพอๆ กับโอกาสที่จะถูกหวย แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้มีโทรศัพท์กันทุกบ้าน ถึงจะเป็นในเมืองใหญ่อย่างย่างกุ้งก็ตาม ละแวกบ้านหนึ่งจะมีโทรศัพท์ซักเครื่องหนึ่ง อยากโทรทีนึงก็ต้องไปบ้านคนที่มีโทรศัพท์ คุยกันไม่กี่นาทีต้องเสียค่าโทรหลายพันจั๊ต แถมคิดเงินตั้งแต่วินาทีแรกที่โทรติดก่อนที่จะรับสาย และเมื่ออินเทอร์เนตเริ่มเข้ามาในพม่าก็เริ่มมีบริการโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศผ่านอินเทอร์เน็ตราคาถูกกว่าค่า
โทรศัพท์พื้นฐานที่ว่ามาอยู่หลายเท่า ซึ่งผู้อาวุโสหลายคนเคยใช้บริการนี้ ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นวิดีโอแช็ทอย่างทุกวันนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ผู้สูงอายุในพม่านั้นไฮเทคสามารถแช็ทข้ามทวีปได้เชียวหรือ อันที่จริงแล้ว หลายคนไม่เคยจับคอมพิวเตอร์
ด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่แรกๆ ก็จะมากับลูกหลานที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็น แต่ถ้า ใช้ไม่เป็นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเพียงแค่เดินเข้าไปในร้าน พนักงานก็จะ จัดการให้ทุกขั้นตอน บางครั้งถ้าลูกค้าไม่มีอีเมล์แอดเดรส หรือ แอคเคาท์ สำหรับแช็ทเป็นของตัวเอง ก็สามารถใช้ของทางร้านได้อีก แค่ถืออีเมล์แอดเดรสของคนที่ต้องการจะคุยด้วยมาที่ร้าน และนั่งรอเฉยๆ โดย ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวก็ได้คุยกับลูกแบบเห็นหน้าค่าตากันแล้ว แถมอัตรา ค่าบริการซึ่งอยู่ที่ประมาณ 400 - 500 จั๊ตต่อชั่วโมง ก็ยังถูกกว่าค่าโทรศัพท์ หลายเท่า
สำหรับลูกค้าบางคนที่ยืมอีเมล์แอดเดรสของทางร้านติดต่อกับญาติ อย่างนี้ทางร้านก็รู้ข้อมูลส่วนตัวหมดน่ะสิ...? เอาเป็นว่า ถึงจะมีอีเมล์แอดเดรสเป็นของตัวเองก็ไม่ได้ช่วยป้องกันความเป็นส่วนตัวได้ซักเท่าไหร่ เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพม่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงต้องพูด เสียงดัง(ถึงดังมาก)กว่าปกติ จนคนทั้งร้านเป็นได้รู้กันหมดว่า ลุงคนนี้ ทำงานอะไร ติดหนี้เท่าไหร่ คนข้างบ้านชื่ออะไร ญาติยืมเงินไปเท่าไหร่...ฯลฯ โดยไม่ต้องแอบฟังเลยสักนิด ขณะที่คนปลายสายอาจได้ยินแค่เสียงกระซิบ ซึ่งเจ้าตัวเองก็มัวแต่ดีใจเพราะคิดถึงลูก ไม่ทันได้สนใจคนอื่นที่อยู่ในร้าน
หนุ่มพม่าคนหนึ่งที่แช็ทกับพ่อแม่ในย่างกุ้งเป็นประจำบอกว่า “เวลาที่อินเทอร์เน็ตช้า โปรแกรมแช็ทบางโปรแกรมมีแต่ภาพ แต่ ไม่ได้ยินเสียง บางโปรแกรมเสียงมาแต่ภาพหาย เราต้องแก้ปัญหา ด้วยการเปิดมันทั้งสองโปรแกรม อันหนึ่งเอาไว้ดูหน้า อีกอันหนึ่งใช้ ฟังเสียง” แต่ถึงจะช้าจะอืดขนาดไหน อินเทอร์เน็ตก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับหลายคน
พูดถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพม่าที่เดาใจไม่ถูก เอาแน่เอานอน ไม่ได้ บางครั้งก็ดับไปดื้อๆ โดยไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ ก็ทำให้คุณลุงคุณป้า หลายคนที่อุตส่าห์เข้าร้านอินเทอร์เน็ตมารอคุยกับลูกหลานตามที่นัดไว้ต้องพลาดโอกาสหลายครั้ง แต่สำหรับลุงอ่องกับป้าขิ่น แกก็มีวิธีรับมือกับ สถานการณ์ดังกล่าว โดยการเขียนจดหมายด้วยลายมือลงบนกระดาษ แล้วฝากไว้กับทางร้านให้ช่วยสแกน(scan) และส่งอีเมล์ไปให้ลูกชายเมื่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตใช้ได้ จะได้ไม่มาเสียเที่ยว ก็เพิ่งเคยเห็นบริการแบบนี้ในพม่านี่แหละ
“บางครั้งก็อดขำไม่ได้เวลามีใครบ่นว่า เฮ้อ...วันนี้แม่ฉันไม่ ออนไลน์ ฟังดูเหมือนเรื่องตลกสำหรับประเทศล้าหลังอย่างพม่า แต่มันก็เป็นเรื่องจริง” หนุ่มพม่าคนเดิมบอกและเล่าต่อว่า คนที่นี่นิยมใช้ โปรแกรม Gtalk Gmail VZO และ Skype เพราะเว็บเมล์อย่าง Hotmail กับ Yahoo ที่คนใช้กันทั่วโลก ถูกรัฐบาลบล็อกไว้ไม่ให้ใช้ในประเทศ เช่นเดียวกับเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ หรือเว็บไซต์ต่อต้านรัฐบาลที่หมดสิทธิ์เข้าถึงคนในพม่า แถมใครที่ส่งหรือนำข้อมูลต้องห้ามขึ้นเว็บไซต์ อาจติดคุกหัวโต ยิ่งกว่าโทษคดีอาญาบ้านเราเสียอีก ซึ่งมีคนถูกจับกันมา แล้วนักต่อนัก
สำหรับประเทศที่อะไรก็เกิดขึ้นได้อย่างพม่า ฟังอย่างนี้แล้วก็อด คิดไม่ได้ว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งรัฐบาลเกิดสั่งห้ามใช้พวกโปรแกรมวิดีโอแช็ทขึ้นมา หรือถึงขั้นห้ามใช้อินเทอร์เน็ตล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น หากเป็น เช่นนั้นจริง นอกจากข่าวสารที่เกิดขึ้นในประเทศจะไม่ได้รับการเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกแล้ว การติดต่อสื่อสารระหว่างคนในประเทศกับนอกประเทศก็จะลำบากมากเช่นกัน
ในขณะที่บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่หรือพ่อแม่หลายคนก็แค่กลับไปใช้โทรศัพท์ติดต่อกับลูกๆ เหมือนเดิม พอลูกหลานทำงานเก็บเงินได้ อีกไม่ กี่ปีเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แต่สำหรับลุงอ่องกับป้าขิ่นที่ลูกชายของพวกเขาถูกรัฐบาลหมายหัวไว้ ไม่สามารถกลับประเทศได้ มันอาจเป็นยิ่งกว่า ฝันร้าย
“ผมทำงานเกี่ยวข้องกับการเมืองจึงต้องหนีออกจากประเทศ สำหรับผมตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาเงินจำนวนมากเพื่อให้พ่อแม่เดินทางมาหาผมที่ชายแดน เวลาผมได้แช็ทกับพวกเขา ความรู้สึกของผมมันเหมือนกับได้เจอกัน ได้นั่งคุยกันในห้องจริงๆ มันทำให้ผมมีความสุขมาก ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ต ผมก็คงได้ยินแค่เสียง จากโทรศัพท์ ขณะที่โอกาสที่จะได้พบหน้ากับพ่อแม่แบบนั้นอีก มันก็คงเหลือศูนย์” นี่คือเสียงของลูกชายของป้าขิ่นกับลุงอ่อง
แต่แล้วเราค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ยินข่าวว่า บริษัทเอกชน ในย่างกุ้งกำลังจะขยายการบริการอินเทอร์เน็ต Broadband ซึ่งเป็นการส่งผ่านข้อมูลแบบความเร็วสูงในย่างกุ้งและเมืองใหญ่ๆ ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีรับปีเลือกตั้งในปี 2010 แต่ดูสถานการณ์แล้ว อนาคตอินเทอร์เน็ต Broadband ภายใต้เงารัฐบาลเก่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปิดกั้นเสรีภาพการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนมืออันดับต้นๆ ของโลก
ลุงอ่องกับป้าขิ่นวัยหกสิบปี เป็นลูกค้าประจำร้านอินเทอร์เน็ตแห่งหนึ่งในแถบมเย่าดะกง ชานเมือง ย่างกุ้ง คุณลุงกับคุณป้าเข้าร้านอินเทอร์เน็ตครั้งแรกเมื่อต้นปี 2552 ที่ผ่านมาเพื่อใช้บริการ “วีดีโอแช็ท” โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการสนทนากันผ่าน อินเทอร์เน็ตที่มีทั้งภาพและเสียงในเวลาเดียวกัน เสมือนหนึ่งได้นั่งคุยกันจริงๆ
ลองหลับตาแล้วนึกภาพคนแก่สองคนสวมเฮดโฟนและไมโครโฟน นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมในร้านอินเทอร์เน็ตท่ามกลางกลุ่ม วัยรุ่น ถึงจะดูแตกต่าง ผิดที่ผิดทาง และเคอะเขินไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่า ภาพของชายหนุ่มผิวเข้มวัยสามสิบต้นๆ หน้าตาละม้ายคล้ายป้าขิ่นไม่มีผิด ที่โผล่ขึ้นมาในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บน จอคอมพิวเตอร์ จะทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองลืมนึกถึงเรื่องอื่นๆ รอบข้างไปชั่วขณะ เพราะนั่นคือลูกชาย ที่จากบ้านเกิดไปอยู่ต่างประเทศและไม่ได้เจอกันมาหกปีแล้ว
ปัจจุบัน มีคนหนุ่มสาวในพม่าจำนวนมาก ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ บางส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง (อย่าง กรณีของลูกชายลุงอ่องกับป้าขิ่น) แต่ส่วนมากจะหนีความแร้นแค้นไปทำงานต่างประเทศเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวเสียมากกว่า หลายคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว เริ่มหันมาติดต่อกับพ่อแม่และญาติที่น้องโดยการใช้วีดีโอแช็ท ลูกค้าอาวุโสในร้านอินเทอร์เน็ตจึงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ก่อนหน้านี้การติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกมีเพียงโทรศัพท์เท่านั้น ขณะที่การส่งจดหมาย โอกาสที่จะถึงมือผู้รับที่อยู่ต่างประเทศนั้นพอๆ กับโอกาสที่จะถูกหวย แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้มีโทรศัพท์กันทุกบ้าน ถึงจะเป็นในเมืองใหญ่อย่างย่างกุ้งก็ตาม ละแวกบ้านหนึ่งจะมีโทรศัพท์ซักเครื่องหนึ่ง อยากโทรทีนึงก็ต้องไปบ้านคนที่มีโทรศัพท์ คุยกันไม่กี่นาทีต้องเสียค่าโทรหลายพันจั๊ต แถมคิดเงินตั้งแต่วินาทีแรกที่โทรติดก่อนที่จะรับสาย และเมื่ออินเทอร์เนตเริ่มเข้ามาในพม่าก็เริ่มมีบริการโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศผ่านอินเทอร์เน็ตราคาถูกกว่าค่า
โทรศัพท์พื้นฐานที่ว่ามาอยู่หลายเท่า ซึ่งผู้อาวุโสหลายคนเคยใช้บริการนี้ ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นวิดีโอแช็ทอย่างทุกวันนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ผู้สูงอายุในพม่านั้นไฮเทคสามารถแช็ทข้ามทวีปได้เชียวหรือ อันที่จริงแล้ว หลายคนไม่เคยจับคอมพิวเตอร์
ด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่แรกๆ ก็จะมากับลูกหลานที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็น แต่ถ้า ใช้ไม่เป็นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเพียงแค่เดินเข้าไปในร้าน พนักงานก็จะ จัดการให้ทุกขั้นตอน บางครั้งถ้าลูกค้าไม่มีอีเมล์แอดเดรส หรือ แอคเคาท์ สำหรับแช็ทเป็นของตัวเอง ก็สามารถใช้ของทางร้านได้อีก แค่ถืออีเมล์แอดเดรสของคนที่ต้องการจะคุยด้วยมาที่ร้าน และนั่งรอเฉยๆ โดย ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวก็ได้คุยกับลูกแบบเห็นหน้าค่าตากันแล้ว แถมอัตรา ค่าบริการซึ่งอยู่ที่ประมาณ 400 - 500 จั๊ตต่อชั่วโมง ก็ยังถูกกว่าค่าโทรศัพท์ หลายเท่า
สำหรับลูกค้าบางคนที่ยืมอีเมล์แอดเดรสของทางร้านติดต่อกับญาติ อย่างนี้ทางร้านก็รู้ข้อมูลส่วนตัวหมดน่ะสิ...? เอาเป็นว่า ถึงจะมีอีเมล์แอดเดรสเป็นของตัวเองก็ไม่ได้ช่วยป้องกันความเป็นส่วนตัวได้ซักเท่าไหร่ เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพม่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงต้องพูด เสียงดัง(ถึงดังมาก)กว่าปกติ จนคนทั้งร้านเป็นได้รู้กันหมดว่า ลุงคนนี้ ทำงานอะไร ติดหนี้เท่าไหร่ คนข้างบ้านชื่ออะไร ญาติยืมเงินไปเท่าไหร่...ฯลฯ โดยไม่ต้องแอบฟังเลยสักนิด ขณะที่คนปลายสายอาจได้ยินแค่เสียงกระซิบ ซึ่งเจ้าตัวเองก็มัวแต่ดีใจเพราะคิดถึงลูก ไม่ทันได้สนใจคนอื่นที่อยู่ในร้าน
หนุ่มพม่าคนหนึ่งที่แช็ทกับพ่อแม่ในย่างกุ้งเป็นประจำบอกว่า “เวลาที่อินเทอร์เน็ตช้า โปรแกรมแช็ทบางโปรแกรมมีแต่ภาพ แต่ ไม่ได้ยินเสียง บางโปรแกรมเสียงมาแต่ภาพหาย เราต้องแก้ปัญหา ด้วยการเปิดมันทั้งสองโปรแกรม อันหนึ่งเอาไว้ดูหน้า อีกอันหนึ่งใช้ ฟังเสียง” แต่ถึงจะช้าจะอืดขนาดไหน อินเทอร์เน็ตก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับหลายคน
พูดถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพม่าที่เดาใจไม่ถูก เอาแน่เอานอน ไม่ได้ บางครั้งก็ดับไปดื้อๆ โดยไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ ก็ทำให้คุณลุงคุณป้า หลายคนที่อุตส่าห์เข้าร้านอินเทอร์เน็ตมารอคุยกับลูกหลานตามที่นัดไว้ต้องพลาดโอกาสหลายครั้ง แต่สำหรับลุงอ่องกับป้าขิ่น แกก็มีวิธีรับมือกับ สถานการณ์ดังกล่าว โดยการเขียนจดหมายด้วยลายมือลงบนกระดาษ แล้วฝากไว้กับทางร้านให้ช่วยสแกน(scan) และส่งอีเมล์ไปให้ลูกชายเมื่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตใช้ได้ จะได้ไม่มาเสียเที่ยว ก็เพิ่งเคยเห็นบริการแบบนี้ในพม่านี่แหละ
“บางครั้งก็อดขำไม่ได้เวลามีใครบ่นว่า เฮ้อ...วันนี้แม่ฉันไม่ ออนไลน์ ฟังดูเหมือนเรื่องตลกสำหรับประเทศล้าหลังอย่างพม่า แต่มันก็เป็นเรื่องจริง” หนุ่มพม่าคนเดิมบอกและเล่าต่อว่า คนที่นี่นิยมใช้ โปรแกรม Gtalk Gmail VZO และ Skype เพราะเว็บเมล์อย่าง Hotmail กับ Yahoo ที่คนใช้กันทั่วโลก ถูกรัฐบาลบล็อกไว้ไม่ให้ใช้ในประเทศ เช่นเดียวกับเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ หรือเว็บไซต์ต่อต้านรัฐบาลที่หมดสิทธิ์เข้าถึงคนในพม่า แถมใครที่ส่งหรือนำข้อมูลต้องห้ามขึ้นเว็บไซต์ อาจติดคุกหัวโต ยิ่งกว่าโทษคดีอาญาบ้านเราเสียอีก ซึ่งมีคนถูกจับกันมา แล้วนักต่อนัก
สำหรับประเทศที่อะไรก็เกิดขึ้นได้อย่างพม่า ฟังอย่างนี้แล้วก็อด คิดไม่ได้ว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งรัฐบาลเกิดสั่งห้ามใช้พวกโปรแกรมวิดีโอแช็ทขึ้นมา หรือถึงขั้นห้ามใช้อินเทอร์เน็ตล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น หากเป็น เช่นนั้นจริง นอกจากข่าวสารที่เกิดขึ้นในประเทศจะไม่ได้รับการเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกแล้ว การติดต่อสื่อสารระหว่างคนในประเทศกับนอกประเทศก็จะลำบากมากเช่นกัน
ในขณะที่บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่หรือพ่อแม่หลายคนก็แค่กลับไปใช้โทรศัพท์ติดต่อกับลูกๆ เหมือนเดิม พอลูกหลานทำงานเก็บเงินได้ อีกไม่ กี่ปีเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แต่สำหรับลุงอ่องกับป้าขิ่นที่ลูกชายของพวกเขาถูกรัฐบาลหมายหัวไว้ ไม่สามารถกลับประเทศได้ มันอาจเป็นยิ่งกว่า ฝันร้าย
“ผมทำงานเกี่ยวข้องกับการเมืองจึงต้องหนีออกจากประเทศ สำหรับผมตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาเงินจำนวนมากเพื่อให้พ่อแม่เดินทางมาหาผมที่ชายแดน เวลาผมได้แช็ทกับพวกเขา ความรู้สึกของผมมันเหมือนกับได้เจอกัน ได้นั่งคุยกันในห้องจริงๆ มันทำให้ผมมีความสุขมาก ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ต ผมก็คงได้ยินแค่เสียง จากโทรศัพท์ ขณะที่โอกาสที่จะได้พบหน้ากับพ่อแม่แบบนั้นอีก มันก็คงเหลือศูนย์” นี่คือเสียงของลูกชายของป้าขิ่นกับลุงอ่อง
แต่แล้วเราค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ยินข่าวว่า บริษัทเอกชน ในย่างกุ้งกำลังจะขยายการบริการอินเทอร์เน็ต Broadband ซึ่งเป็นการส่งผ่านข้อมูลแบบความเร็วสูงในย่างกุ้งและเมืองใหญ่ๆ ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีรับปีเลือกตั้งในปี 2010 แต่ดูสถานการณ์แล้ว อนาคตอินเทอร์เน็ต Broadband ภายใต้เงารัฐบาลเก่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปิดกั้นเสรีภาพการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนมืออันดับต้นๆ ของโลก
เห็นทีคงจะกลายเป็น “Broad Ban” (Broad = กว้าง / Ban = การสั่งห้าม ) เสียมากกว่าแล้วมั้งงานนี้.