เจ้ายอดศึกกับอนาคตรัฐฉาน

นับตั้งแต่เจ้าน้อย (ซอหยั่นต้ะ) ได้ก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติ หนุ่มศึกหาญ” (Noom Serk Harn - NSH) ที่รัฐฉานใต้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา กองทัพรัฐฉานได้ล้มลุกคลุกคลานยืนหยัด-พังทลาย เปลี่ยนแปลงผู้นำไปแล้วหลายครั้ง มาถึงปีปัจจุบัน เพิ่งผ่านพ้นงานเฉลิมฉลองครบรอบ 53 ปีของการก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ไปหมาดๆ โดยกองทัพรัฐฉาน (Shan State Army – SSA) และสภากอบกู้รัฐฉาน (Restoration Council of the Shan State - RCSS) ภายใต้การนำของพลโทเจ้ายอดศึก ได้จัดงาน วันปฏิวัติประชาชนรัฐฉาน” (Shan State People Resistance Day) ครบรอบปีที่ 53 ณ ฐานที่มั่นดอยไตแลง ฝั่งรัฐฉาน ตรงข้าม อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2554 โดยมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นพันธมิตรกับกองทัพรัฐฉานเข้าร่วมงานอย่างอบอุ่น คับคั่ง อันได้แก่ ตัวแทนจากองค์กรปลดปล่อยแห่งชาติปะโอ (Pa-O National Liberation Organization - PNLO) ตัวแทนจากองค์กรแห่งชาติว้าและกองทัพแห่งชาติว้า (Wa National Organisation - WNO / Wa National Army - WNA) นายพลบีทู ผู้บัญชาการทหารพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party - KNPP) ตัวแทนจากสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Keran National Union - KNU) และตัวแทนจากแนวร่วม ปลดปล่อยแห่งรัฐปะหล่อง (Palaung State Liberation Front - PSLF) รวมถึงองค์กรที่เป็นแนวร่วมในรัฐฉาน หลายกลุ่มได้ส่งแถลงการณ์แสดงความยินดีในวันนี้เช่นกัน 


ที่ น่าจับตามองอย่างยิ่งก็คือ ในวันเฉลิมฉลองอันน่ายินดีนี้ อดีตกองกำลังหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า- กองทัพรัฐฉาน เหนือ” (SSA/SSPP) ภายใต้การนำของพรรคก้าวหน้ารัฐฉาน (Shan State Progress Party – SSPP) ที่มีผู้นำสูงสุดคือเจ้าป่างฟ้าได้ส่งพันเอกเจ้าจายทู รองผู้บัญชาการกองทัพคนที่ 2 เป็นผู้แทน SSPP มาร่วม งาน และเจ้าจายทูได้ประกาศชัดเจนในงานนี้ว่าทางกองทัพรัฐฉานเหนือมีแนวทางที่จะ เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทั้งด้าน การเมืองและการทหารกับกองทัพรัฐฉาน และได้ประกาศต่อต้านกองทัพพม่าอย่างเป็นทางการ เนื่องด้วยหลังจาก กองทัพรัฐฉาน เหนือทำสัญญาหยุดยิงกันเมื่อปี พ.ศ.2532 โดยหวังจะเอาการเมืองมาแก้ไขปัญหาทางการเมือง แต่กองทัพพม่าไม่รับฟัง จนเมื่อกองทัพรัฐฉานเหนือไม่ยอมเปลี่ยนสถานะเป็นกองกำลังพิทักษ์พื้นที่ (BGF) กองทัพ พม่าก็ได้ใช้กำลังทหารข่มขู่ และมีการปะทะกับกองทัพรัฐฉานเหนืออย่างหนักตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2554 ที่ ผ่านมา ซึ่งกองทัพรัฐฉานเหนือยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจากับกองทัพพม่าอีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุที่ ต่อสู้ก็คือต่อสู้ ไม่มีเจรจา เพราะกองทัพเราอยู่กับสภากอบกู้รัฐฉานแล้ว"

ทาง พลโทเจ้ายอดศึก ประธานสภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ให้สัมภาษณ์หลังพิธีสวนสนามว่า ประชาชนในรัฐฉานอยากเห็นกองทัพในรัฐฉานแต่ละกองทัพหันมาปรองดอง สามัคคีกัน โดยการรวมกองทัพระหว่างสองกองทัพรัฐฉาน จะมีการรวมกันอย่างจริงจัง โดยภายในปีนี้จะเห็นความชัดเจน ส่วนรูปธรรมขณะนี้เราทั้งสองกองทัพพูดคุยกัน เข้าใจกัน โดยจะมีการลงรายละเอียดในเรื่องระเบียบวินัยของกองทัพกันอีกครั้ง และไม่ว่ากลุ่มไหนในรัฐฉานตอนนี้เราสามัคคีกันทุกกลุ่ม

จากรุ่น สู่รุ่น ยาวนานถึง 53 ปีของการต่อสู้ปลดปล่อยประเทศจากการปกครองอันไม่เป็นธรรมของรัฐบาลทรราช เผด็จการทหารพม่า จนเริ่มประสบผลสำเร็จในการหาแนวทางปรองดองระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในรัฐฉาน มาบัดนี้พลโทเจ้ายอดศึกผู้นำคนที่ 4 ของกองทัพรัฐฉาน ได้วางแนวทางอนาคตทางการเมือง ทางการทหารของรัฐฉาน และการตอบโต้กับรัฐบาลพม่าด้วยวิสัยทัศน์เช่นไร?

จาก มุมเล็กๆ ของบ้านพักมีนอกชานกว้างแบบไทใหญ่โบราณ ที่ปลูกสร้างวางเสาอยู่ ณ เนินเขาของดอยไตแลงโอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงลิบซับซ้อนทอดตระหง่าน ท่ามกลางม่านฝนขาวหม่น และละอองชื้นของสายหมอก พลโทเจ้ายอดศึกผู้นำ RCSS ได้ตอบคำถาม-ทุกข้อสงสัยอย่างละเอียดกระจ่างชัด ระหว่างวางแผนการทำงาน และวางแผนชีวิตของปีปัจจุบัน เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา


หลังการจัดตั้งรัฐบาลพม่า มีข่าวการสู้รบในรัฐฉานรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทางกองทัพรัฐฉานได้เตรียมการรับมืออย่างไรบ้าง 

 เหมือน เดิมครับ เรายังไม่มีแผนการขยายใดๆ ส่วนคนที่สมัครใจมาเกณฑ์ทหารก็รับไว้เรื่อยๆ ที่จริงแล้วเมื่ออายุครบ 18 ปีถือเป็นหน้าที่ของผู้ชายไทใหญ่ทุกคนที่จะต้องมาเป็นทหารอย่างน้อย5 ปี ซึ่งทุกอย่างตอนนี้ยังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และเราก็ขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆ เท่าที่กองกำลังของเราจะไปถึง ปัจจัยสำคัญอยู่ที่กำลังทหารของเราเป็นหลัก ซึ่งถ้ามีกำลังทหารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็สามารถกำหนดพื้นที่ให้ขยายออกไปอีกได้เรื่อยๆ

กอง กำลังในรัฐฉานปัจจุบันมีกี่กลุ่ม ที่เจ้าเคยกล่าวไว้ว่ารัฐฉานต้องมีกองทัพเดียวขณะนี้มีความเป็นไปได้มากแค่ไหน อะไรคือเงื่อนไขที่จะทำให้รวมกันได้

กอง กำลังในรัฐฉานตอนนี้มีอยู่ 4 กลุ่มหลัก คือกลุ่ม SSASหรือกลุ่ม RCSS (สภากอบกู้รัฐฉาน Restoration Council ofthe Shan State) กลุ่มกองกำลังไทใหญ่เหนือ SSA-N กลุ่มว้าแดง(กองทัพสหรัฐว้า United Wa State Army- UWSA ) แล้วก็กลุ่มจายลืน (กองทัพพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ -NDAA) ถ้าพูดถึงจะให้มารวมกันมันก็เป็นจุดประสงค์ของเรา เพียงแต่ความคิดทางการเมืองของแต่ละกลุ่มยังแตกต่างกัน อย่างเช่น กลุ่มจายลืนส่วนใหญ่เขาเป็นชาวอาข่า ชนเผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่งในรัฐฉาน ซึ่งไม่ได้เป็นชาวไทใหญ่เหมือนเรา ตัวของจายลืนเองเป็นลูกครึ่งจีน-ไทใหญ่ขณะนี้ก็มีการพยายามเข้ามาปรึกษาพูด คุย ทำความเข้าใจกัน ถ้าทุกกลุ่มมีความเข้าใจกันแล้วผมว่าเราน่าจะรวมกันได้

แต่กลุ่ม UWSA เขามีปัญหาเรื่องค้ายาเสพติดอยู่ จะทำความเข้าใจและรวมกลุ่มกับทางเจ้าได้อย่างไร 

การ ค้ายาเสพติดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องของพ่อค้าเราต้องพยายามแยกระหว่างพ่อค้ากับคนรักชาติออกจาก กัน ถ้าคนรักชาติทำผิดกฎหมายโลก ประชาคมโลกย่อมไม่เห็นดีเห็นงามด้วยผมว่าเขาไปไม่รอด เขาก็น่าจะรู้อยู่

จนถึงขณะนี้การรวมกองทัพในรัฐฉานก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว

สิ่ง สำคัญมีอยู่ 3 ประเด็น อย่างแรกคือ เขารักชาติจริงหรือเปล่า เขาจะทำงานเพื่อชาติจริงๆ หรือเปล่า นี่คือประเด็นแรกประเด็นที่สอง ถ้าเขาตั้งใจทำงานเพื่อชาติจริงๆ ที่เราเรียกร้องให้ปรองดองสามัคคีกันเขาต้องเห็นด้วย ถ้าเขาไม่เห็นด้วย มีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้ไม่เห็นด้วย อันนั้นต้องถามตัวเองดู ประเด็นที่สามคือเขาชอบพม่าอยู่หรือเปล่า เขาอยากอยู่กับพม่าด้วยหรือเปล่า ถ้าเขาไม่อยากอยู่กับพม่า อยากแยกตัวจากพม่าอย่างจริงจัง เขาก็น่ามารวมกับเราได้ เพราะเราชัดเจนอยู่แล้วว่านโยบายของเราคือ ต้องเป็นเอกราช

ถ้า ถามถึงเวลาเหมาะสมในการปรองดองสามัคคีมันมีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าขึ้นอยู่กับผู้นำของแต่ละกลุ่มจะคิดอะไรอยู่ เรื่องความสามัคคีไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานี้ หรือไม่ใช่เวลานี้ แต่ขึ้นอยู่กับว่า คนที่เป็นผู้นำเขาคิดอะไรอยู่

แต่ว่าก่อนหน้านี้ ทุกฝ่ายยังไม่ได้โดนรัฐบาลทหารพม่ากดดันอย่างรุนแรงอย่างนี้ ต่างคนต่างอยู่แต่ละกลุ่มก็ยังอยู่กันได้

เรื่อง ความคิดและการกระทำ เขาคิดและทำไปคนละแบบบางกลุ่มที่หยุดยิงไม่ได้หมายความว่าพม่าไม่บีบ ไม่ใช่ ที่หยุดยิงเขาเพียงอยากเอาการเมืองแก้กับการเมือง เพราะถ้าสู้รบกันประชาชนก็เดือดร้อน นี่คือวัตถุประสงค์ของกลุ่มหยุดยิง แต่พม่าไม่คิดเหมือนกับเขา พม่าหลีกเลี่ยงไม่คุยเรื่องการเมือง พม่าพยายามหลอกใช้เขาเป็นเครื่องมือ พม่าดูถูกว่ายังไงก็ใช้กลุ่มหยุดยิงเป็นเครื่องมือต่อไปได้จนเมื่อพม่าบีบ มากขึ้นเรื่อยๆ ให้กลุ่มหยุดยิงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องใช้วิธีทางทหารกับทหารแก้ปัญหา ถ้าทหารกับทหารแก้ปัญหากัน การสู้รบก็ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาเรื่องพวกนี้

การประสานงานของกลุ่มต่อต้านในรัฐฉาน เจ้าคิดว่าเงื่อนไขใดถือเป็นอุปสรรคยากที่สุดในการรวมกลุ่มกัน

เงื่อนไขยากลำบากก็มีอยู่ ขึ้นกับคนกล้าพูดหรือไม่กล้าพูด กล้าแสดงจุดยืนชัดเจนไหม ทาง RCSS กล้าประกาศชัดว่าเราต้องการเอกราช แต่กลุ่มต่อต้านอื่นเขาบอกว่าเขาต้องการสหภาพสองประเด็นนี้แหละที่ต้อง ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นรวมกลุ่มกัน ถ้าเป็นอย่างกลุ่มของจายลืน กลุ่มว้าแดง กลุ่มปะโอ เขาพูดว่าต้องการเป็นสหภาพ อันนี้ถูกของเขาเพราะเขาไม่เคยมีประเทศมาก่อน ในประวัติศาสตร์เขาไม่มีประเทศเป็นของตัวเอง เขาถึงต้องการเป็นสหภาพ แต่ RCSS-ไทใหญ่ของเราประกาศชัดว่า เราต้องเป็นเอกราช 

การจะเป็นเอกราชจะต้องครบ 4 องค์ประกอบ คือ1.มีแผ่นดินและเขตแดนเป็นประเทศอย่างชัดเจน 2.ต้องมีประชาชนอยู่ข้างใน 3.มีทรัพยากรเพียงพอ 4.มีวัฒนธรรมประเพณีของตัวเองครบถ้วน ทั้ง 4 องค์ประกอบนี้รัฐฉาน-ไทใหญ่มีมาครบตั้งแต่ในประวัติศาสตร์ แต่พวกจายลืน ว้าแดง ปะโอเขาไม่เคยมีองค์ประกอบเหล่านี้ เขาไม่เคยมีเขตแดนเพราะพวกเขาเป็นคนเผ่าหนึ่งในรัฐฉานของไทใหญ่แค่นั้น

ดังนั้นถ้าว่าถึง เอกราชจายลืน ว้า ปะโอ เขาพูดถึงสิทธินี้ไม่ได้ เขาถึงพูดได้แต่การเป็นสหภาพ ทางไทใหญ่เรามีแผ่นดินขอบแดนชัดเจน เรามีประวัติศาสตร์มายาวนาน เคยมีเจ้าฟ้าปกครองของแผ่นดินนี้ ถ้าถามเรื่องประเพณีวัฒนธรรมเราก็มีครบถ้วน เรามีทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน มีตัวหนังสือของไทใหญ่เอง ทรัพยากรรัฐฉานก็มีมากเพียงพอ ประชาชนก็มากเพียงพอ ในรัฐฉานตอนนี้ที่สามารถเรียกร้องเอกราชได้ก็มีแต่ไทใหญ่ เพราะเรามีองค์ประกอบครบถ้วนที่จะเป็นเอกราชได้

ถ้าเจ้าบอกว่าชนชาติอื่นจะเรียกร้องเอกราช ของแต่ละกลุ่มไม่ได้เพราะเขาไม่มีสิ่งนี้มาก่อน หากเป็นเช่นนี้การที่ไทใหญ่จะพยายามรวมกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อเรียกร้องเอกราช ของรัฐฉาน ชนชาติอื่นเหล่านั้นเขาจะไม่คิดว่า ทางไทใหญ่จะหลอกใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องเอกราชของไทใหญ่เอง ล่ะหรือ

เขาก็ระแวงอยู่ครับ เขาก็ต้องมีกองกำลังของเขา ถ้าไทใหญ่ได้เอกราชคืนมา เราก็บอกชัดว่าคุณจะแยกตัวจากไทใหญ่ไปร่วมกับพม่าไม่ได้ ทำอย่างนั้นไทใหญ่ไม่ยอม แล้วนั่นก็จะต้องรบกันต่อถ้าในรัฐฉานรบกันต่อ ผมว่ารุนแรงกว่ารบกับพม่าขณะนี้เสียอีกเพราะคนไทใหญ่ไม่พร้อมให้เขาแยกออกไป แต่ถ้าเป็นเขตปกครองตัวเอง ไทใหญ่ให้ได้เลย เพราะเขาอยู่ในรัฐฉาน แต่จะแยกออกเป็นเอกราชไม่ได้

นำเสนอแบบนี้เขาจะยอมตั้งแต่ต้นหรือ

นั่นอยู่ที่วิธีการปกครอง เรื่องนี้แหละที่เป็นปัญหาสำคัญและเราก็พยายามแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น พยายามพูดคุยให้เขาเข้าใจ

แล้วเขาจะไม่กลัวหรือว่าประวัติศาสตร์จะ ซํ้ารอย อาจเป็นเหมือนกรณีอองซาน คือเจ้ายอดศึกรับปากไว้ แต่กลับถูกยิงโป้งเดียวตายไปแบบอองซาน คนที่เหลือก็ผจญกรรมต่อไป

นั่นอยู่ที่โชคชะตา แต่ที่ผมเสนอว้า ปะโอ จายลืนอย่างนี้พูดกันให้ชัดเจนแต่ต้นว่าเราจะต้องอยู่ร่วมกัน เพราะในประวัติศาสตร์ไทใหญ่กับชนกลุ่มต่างๆ เราเคยอยู่ร่วมกันมาเป็นพันปีแล้วเราอยู่กันมาได้ในรัฐฉานอย่างไม่มีความ รุนแรงใดๆ เอาล่ะถ้าคุณอยากปกครองตัวเองอย่างอิสระ คุณอยากปกครองตัวเองไม่เป็นไรเป็นเขตปกครองพิเศษได้ เพียงแต่ว่าเราต้องร่วมกันในเงื่อนไขสำคัญสี่ประเด็น คือ 1. ประเทศนี้แผ่นดินฉานนี้ต้องไม่แยกออก 2.ฉานต้องมีกองทัพเดียว 3.ต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับเดียว 4. ต้องมีรัฐบาลเดียว ถ้าเขาไม่ยอมเขาอยู่สงบไม่ได้

ถ้าเจ้านำเสนอกลุ่มอื่นๆ ในรัฐฉานแบบนี้ นอกจากเขาจะถูกพม่ากดดันมาแล้ว ยังมาถูกไทใหญ่บีบหนักๆ อีกด้วยนะนี่

ไทใหญ่ไม่บีบเขา แต่เราจะคุยกับเขาชัดๆ ตรงๆ ที่สุด ที่ผ่านมาเขาเพิ่งอยู่กับพม่าห้าสิบหกสิบปี เขาก็รู้อยู่ว่าพม่าทำอะไรเขาไว้หนักหนาสาหัสแค่ไหน ก่อนนี้เขาเคยอยู่กับไทใหญ่มาเป็นพันๆ ปี ไทใหญ่ไม่เคยทำร้ายเขาเลย ถึงตอนนี้เราจะอยู่ด้วยกันต่อ เขาจะมีอิสระขึ้นมา จะมีเขตปกครองพิเศษขึ้นมา อยู่แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ นี่คือสิ่งที่ผมจะนำเสนอกับกลุ่มต่างๆ

ผมประกาศชัดอยู่แล้วว่า แนวทางของRCSS อย่างไรก็ต้องเป็นเอกราช มีเอกราชของรัฐฉาน ถ้าจะเป็นสหภาพก็ต้องเป็นสหภาพรัฐฉาน รวมกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในรัฐฉานของเรา แต่ไม่ใช่สหภาพกับพม่าแน่นอน นโยบายของผมคือเป็นเอกราช แนวคิดนี้ประกาศมาตั้งแต่สมัยเจ้ากอนเจิงเป็นผู้นำ SURA แล้ว ผมก็ยังมีนโยบายเดิมคือเราต้องมีเอกราชเป็นประเทศของเราเองก่อน ถ้าได้เอกราชขึ้นมา อยากจะเป็นสหภาพกับใครค่อยมาทีหลัง นั่นขึ้นอยู่กับประชาชนของเรา ถ้าอยากให้เป็นสหภาพกับพม่าก็อยู่ที่ประชาชนอยากให้เป็นสหภาพกับจีนก็อยู่ ที่ประชาชน อยากให้เป็นสหภาพกับไทยก็อยู่ที่ประชาชน ประชาชนจะตัดสินใจเอง

ตลอด 53 ปีมานี้กองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ต่อสู้ทางการทหารมาอย่างไม่หยุดยั้ง แล้วการพูดกับชาวโลกล่ะคะทำอย่างไรกันบ้าง ที่ผ่านมาชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มได้พยายามนำเสนอข้อมูลการถูกทำร้ายถูกละเมิด สิทธิมนุษยชน หลายสิบปีพูดแล้วพูดอีกในเรื่องนี้จนโลกชาชิน คนฟังชาชิน เหมือนปัญหายํ่าอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปถึงไหนไม่มีประเด็นใหม่เลยบ้างหรือ

ก็ พม่ามันละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่สม่ำเสมอ มันก็ต้องพูดแบบนี้ สม่ำเสมอ แต่โลกไม่สนใจแค่นั้น ดูรอบตัวคุณสิ จีนละเมิดสิทธิมนุษยชนก็พูดมาตลอด พม่าละเมิดสิทธิมนุษยชน เราก็พูดมาตลอด มันจำเป็นที่ต้องพูดเรื่องเดิม พูดไม่หยุด เพราะปัญหามันไม่เคยได้รับการแก้ไข เพียงแต่โลกไม่สนใจเราเอง ที่โลกไม่สนใจเพราะว่าในรัฐฉาน ในสหภาพพม่าไม่มีแหล่งน้ำมันเหมือนอย่างลิเบียหรืออิรัก เพราะนักการเมืองสมัยนี้เขาสนใจธุรกิจมากกว่าจะมารักมนุษย์

แล้วถ้ามันเป็นแบบนี้ เจ้าจะมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไรให้โลกหันมาฟังเจ้าหรือฟังกลุ่มชาติพันธุ์พูดได้บ้าง

เราไม่ต้องเห็นโลกมากเกินไป เราต้องเห็นประชาชนเรามากกว่าโลก โลกสนใจหรือไม่สนใจก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าเราต้องพยายามปกป้องประชาชน ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนด้วยทุกมือขาของเราเป็นอันดับหนึ่ง ผมว่าถ้าเรายืนด้วยขาของเราได้ เรามีกำลังป้องกันประชาชนของเราได้ วันหนึ่งโลกก็ต้องมาสนใจเรา

ที่ผ่านมาโลกมองที่พม่าก็เห็นแต่ปัญหาเรื่องซูจีทั้งนั้น อะไรบังตาพวกเขาไว้ แล้วทำไมเหตุการณ์ข่าวคราวต่างๆ ของไทใหญ่หรือกองทัพไทใหญ่ถึงไม่อาจทำให้โลกหยุดฟังหรือหันมามองพวกคุณได้

โลกสนใจซูจีเพราะซูจีนำประชาชนประท้วงคัดค้านพม่าได้แต่เราไม่ได้นำ ประชาชนไปประท้วงพม่า โลกก็ไม่มองเรา โลกติดตามแต่กระแสข่าว เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นยังไง เพราะพม่าปิดกั้นสื่อไว้จากชาวโลก พม่าปิดกั้นไว้หมดเลย

ทุกวันนี้ดอยไต แลงขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ คนอยู่มากเจริญมากขึ้น ครั้งหนึ่งมาเนอร์ปลอว์ของ KNU ก็เคยใหญ่มากๆ เจริญมากๆหรือหัวเมืองของขุนส่าก็เคยเจริญมากแบบนี้ แต่ทั้งหมดก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว กับดอยไตแลงล่ะคะ เจ้าวางอนาคตไว้อย่างไรที่จะไม่ให้ดอยไตแลงกลายเป็นเพียงซากอดีตที่ผุพังแตก แตกสลายเหมือนมาเนอปลอว์หรือหัวเมือง

ให้มันอยู่ที่โชคชะตาบ้างเถอะ(หัวเราะ)

อย่างนี้เจ้าเชื่อว่าโชคชะตากำหนด เจ้าไม่ได้กำหนดเองหรอกหรือ
โชคชะตาก็มีส่วน คนกระทำก็มีส่วน

แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้เป็นแบบนั้น
ก็พยายามให้เต็มที่

อย่างในกรณีของ KNU หรือของขุนส่า ปัญหาคล้ายๆ กันคือพังจากข้างในเป็นหลัก แล้วเจ้าป้องกันอย่างไร ถึงจะไม่ให้พังจากข้างใน

เรา ได้บทเรียนมาแล้ว ว่าเป็นเพราะการเมืองภายในที่แตกแยกกันเอง พม่ามันไม่เก่งเท่าไหร่หรอก ไม่กล้าหาญเท่าไหร่หรอก แต่ KNU กับ MTA พังเพราะการเมืองภายในแตกแยกกันเองที่ผ่านมาการเมืองภายในแตกแยกกันเพราะ

1.เรื่อง นโยบายทางการเมืองไม่พูดให้ชัดเจน เหมือนมาหลอกใช้กันเอง ตอนนี้ผมก็วางนโยบายให้ชัดเจน คุณเห็นด้วยมาคุณไม่เห็นด้วยไม่ต้องมาไม่เป็นไร อันนี้ป้องกันได้บ้าง

2. เมื่อโตกันขึ้นมาแล้ว เรื่องการส่วนตัวอย่าเอามารวมกับส่วนรวม อะไรที่ทำส่วนตัวจะเอามาร่วมกับส่วนรวมไม่ได้ ต้องแยกกัน สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม อย่าให้มาเกี่ยวข้องกัน ให้แยกกันชัดเจนแต่แรก โดยเฉพาะของผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาตรงนี้แหละเป็นปัญหา

หมายถึงในอดีตเคยมีที่กระเป๋าของกองทัพก็เป็นกระเป๋าของผู้ใหญ่ด้วยแบบนั้นใช่ไหม
นั่นแหละๆ

แสดงว่าทุกวันนี้เจ้าชัดเจนเรื่องนี้

ชัดเจน เลย ตรวจสอบได้ เพราะฝ่ายการเงินของเราแยกออกไว้ต่างหากนานแล้ว แม้ผมจะเป็นผู้ใหญ่แต่ผมไม่ถือเงินไว้เอง ผมมีหน้าที่สั่งให้ใช้อะไรบ้าง ถ้าไม่ได้คำสั่งผมก็ใช้ไม่ได้ เราไม่ได้ถือเงินของกลุ่ม เรื่องนี้ผมทำให้ชัดเจน ได้ป้องกันปัญหาไว้แล้วตั้งแต่กองทัพโตขึ้นมา เมื่อยังไม่โตขึ้นผมควบคุมทุกอย่าง พอโตขึ้นมางานมันเยอะ เราต้องแบ่งแยกกันให้ชัดเจน ให้โปร่งใส ใครมาเป็นผู้นำก็ให้อยู่ในระบบนี้ต่อได้ ผมวางระบบไว้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องนโยบาย เรื่องระเบียบวินัย เรื่องระบบควบคุมตรวจสอบภายใน วางไว้ทุกอย่าง

ไปเอาความรู้การบริหารเหล่านี้มาจากไหนคะ

ผม ได้เรียนรู้จากเจ้ากอนเจิงบ้าง ได้อ่านหนังสือบ้างหนังสือเยอะแยะที่เขาเขียนออกมา มีหลายอาจารย์เขียนกันออกมา ทั้งหนังสือเรื่องผู้นำ หนังสือเรื่องการบริหารจัดการ ผมว่าผู้นำทั่วไปเขาก็ต้องอ่านหนังสือ ต้องศึกษาหาความรู้แบบนี้ไม่ขาดหรอกให้ใช้วิสัยทัศน์คนๆเดียวมันมีน้อย ไม่พอ มันต้องเอาหนังสือมาช่วยหาความรู้มาช่วย

แล้ว กับประชาชนในรัฐฉานล่ะคะ กองทัพของเจ้าได้มีการเตรียมพร้อมให้พวกเขารู้จักและเข้าใจใน ประชาธิปไตยไว้บ้างหรือไม่ เจ้าทำอย่างไรและทำ อะไรได้บ้าง เพราะรัฐบาลพม่าปิดกั้นมาตลอด ประชาชนจะมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิหน้าที่ของตนได้อย่างไร

ตอน นี้เรายังไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาประชาชน เราทำได้เพียงให้ความรู้กับประชาชนว่าที่เราสร้างกองทัพมาขึ้นมา จุดประสงค์เรามีอะไรบ้าง ที่สำคัญคือให้ประชาชนได้เข้าใจ ได้รู้ว่าถ้าไม่ได้เอกราช เราไม่มีโอกาสพัฒนาประชาชน ชีวิตประชาชนจะทุกข์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เราพยายามให้ประชาชนเข้าใจกองทัพของเราให้เข้าใจนโยบายของเรา ให้เขามีส่วนร่วมมีหน้าที่ในการต่อสู้ เมื่อได้เอกราชคืนมาก็ไม่ใช่ของกองทัพอย่างเดียว แต่ประชาชนก็มีส่วนร่วมนี่แหละสำคัญที่สุดในตอนนี้แล้ว

เจ้ามุ่งหวังให้ทหาร SSA กับเจ้าหน้าที่ RCSS มีทักษะความรู้ด้านใดเป็นพิเศษด้วยไหม

สำหรับ ทหารนี่ส่วนใหญ่วิชาการรบสำคัญที่สุด กองทัพเรามีการอบรมเสนาธิการทุกปี ให้นายทหารไทใหญ่ในรัฐฉานยศร้อยตรีขึ้นไป หมุนเวียนเข้ามาอบรมที่ดอยไตแลง ให้ได้เรียนรู้ ให้มีความรู้หลายด้าน อย่างเรื่องการเป็นผู้นำเรื่องการบริหาร การวางแผนการหาข่าว วิชาการรบต่างๆ เรื่องทางประวัติศาสตร์ นี่แหละที่สอนกัน นายทหารเข้ามาเรียนกันใช้เวลา 1 ปี ตอนผมเป็นนายทหารเด็กๆ กองทัพไทใหญ่ก็เคยมีอบรมแบบนี้ เพียงแต่ไม่มีบ่อยเหมือนเรา หลายปีจะจัดสักครั้ง อันนี้เราจัดให้มีการเรียนการสอนทุกปี นายทหารที่ได้มาเรียนเขาก็ยินดี ใครๆ ที่ได้มาเรียน ความคิดความอ่านก็แตกต่างไปจากเดิม มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น

แต่ การการสร้างคนให้มีความรู้มีความสามารถ มันก็มีโอกาสที่จะเป็นดาบสองคมอยู่ด้วย เขาอาจจะรวมกลุ่มปฏิวัติยึดอำนาจจากเจ้า หรือมีความรู้แล้วเอาตัวรอดไปมีชีวิตที่รุ่งเรืองของตนเองขึ้นมา อะไรจะเป็นสิ่งป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ เจ้าได้วางมาตรการป้องกันปัญหาเช่นนี้ไว้บ้างไหม

ขงเบ้ง เขาพูดไว้นะ เวลาเราสอนคน ให้ความรู้กับคน เพราะอะไร เพราะเราเชื่อใจเขาถึงให้ความรู้กับเขา เราให้ความรู้เขาเพื่อให้เป็นประโยชน์ของชาติ ไม่ได้ให้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ให้ความรู้เขาไปแล้ว เวลาเราใช้เขาไม่ต้องสงสัยเขา ถ้าสงสัยเขาก็ไม่ต้องใช้เขา เราให้ความรู้เขาเพื่อประโยชน์ของเขา เพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผม

แล้วไม่มีความคิดอยู่ในหัวเลยหรือว่าคนเหล่านั้นจะเอาความรู้ที่ได้ไปใช้หาประโยชน์ส่วนตัว

นั่น มันอยู่ที่โชคชะตาของเขา ถ้าคุณให้ความรู้ไปแล้ว เขาใช้ที่ผิด ผมว่าเขาอยู่ได้ไม่นาน สักวันหนึ่งมันไปไม่ได้ เพราะในวิชาความรู้ที่เราให้ต้องมีสัจจะ สัจจะเป็นสิ่งมีกำลัง เป็นกำลัง คนเราไม่มีสัจจะมันอยู่ไม่นาน อยู่ไม่ได้ แล้วก็ไม่เจริญ ผมเชื่อตรงนี้ ผมจึงให้ความรู้เขาเต็มที่ ผมไม่เชื่อและผมไม่คิดด้วยว่าเขาจะไม่มีสัจจะ ผมทำดีที่สุดแล้วเพื่อชาติ

แต่ ตัวอย่างในเมืองไทย ในวิชาชีพใดๆ ไม่เห็นใครสนใจอบรมสั่งสอนหรือเชื่อถือในเรื่องสัจจะกันเลยนี่ ก็เห็นหาเงินเข้ากระเป๋ากันโครมๆ อยู่ทั่วไป

ทุก วันนี้ประเทศไทยอยู่ด้วยบุญบารมีของประเทศ ไทยมีเอกราชแล้วไง ที่มีเอกราชแบบนี้จะไม่เสียหรือ ไม่ใช่ ถ้าไม่มีสัจจะซึ่งกันและกัน สักวันหนึ่งมันก็เสีย สักวันหนึ่งพังสลายได้ เจริญอย่างไหนก็แล้วแต่ ประเทศที่เจริญแล้วพังสลายก็มีมาแล้วถ้าไม่มีสัจจะ ประเทศไทยมีเอกราช มีพระเจ้าอยู่หัว ก็เหมือนว่าพระบารมีพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครองอยู่ สักวันหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวไม่มี ถ้าไม่มีสัจจะซึ่งกันและกัน เขาฆ่าเราเราฆ่าเขา เขาตีเราเราตีเขา เขาเห็นแก่ตัวเราเห็นแก่ตัว ใครๆ ก็ไม่ดูแลประเทศ วันนั้นแหละจะเสียได้คนเราถ้าไม่มีสัจจะไม่เจริญหรอกครับ แล้วก็ไม่ดีด้วยคนเราไม่ว่าเรื่องอะไรต้องมีสัจจะ ทุกเรื่องต้องค่อยๆ ทำไป ค่อยๆก้าวหน้าถึงจะดี ไม่ว่าศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ทุกศาสนาเชื่อถือเรื่องสัจจะ สอนให้ดีทุกศาสนาเพียงแต่ว่าคนทำ คนที่นับถือศาสนามันทำไม่ดีเอง

อำนาจ เปรียบแล้วก็เหมือนอาวุธหรือสัตว์ร้าย ซึ่งหากควบคุมได้อำนาจก็ยังให้ประโยชน์กับเราอยู่ แต่ทุกคนยิ่งเติบโตขึ้นมา ก็มักอยากได้อำนาจมากขึ้นทั้งนั้น เจ้าคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังขี่หลังเสือหรือยังคะ

ผมว่าผมไม่ค่อยมีอำนาจหรอกครับ

ทั้งที่มีกองทัพในมือมหาศาลนี่นะ

นั่น ไม่ใช่อำนาจ จริงๆ ถ้ามาพูดถึงอำนาจ มันต้องเป็นประชาชนตั้งให้ นั่นน่ะคืออำนาจ ถ้ามาพูดถึงสิ่งที่ผมมีตอนนี้ไม่ได้หมายถึงการมีอำนาจ แต่เป็นเหมือนการเชื่อถือซึ่งกันและกัน เขาเชื่อถือผม เห็นผมมีประสบการณ์ จึงให้ผมเป็นผู้นำเขา เขาไม่ได้มาแต่งตั้งผม ผมก็ไม่ได้กินเงินเดือนของประชาชน

แล้วเจ้ากินเงินเดือนของใคร

ก็ ของที่ค้าขาย ของที่เก็บภาษีมาได้ ไม่ใช่ประชาชนเอามาให้ไม่ใช่นะ ไม่เหมือนรัฐบาลของประเทศไทย ถ้ามีรัฐบาลนั่นแหละคืออำนาจ ไม่เหมือนกับนายกฯอภิสิทธิ์ ประชาชนให้อำนาจเขาอันนี้เขามีอำนาจเต็ม การมีอำนาจประชาชนต้องมาแต่งตั้งให้มอบให้ อย่างนี้ถึงจะมีอำานาจเต็มๆ ตอนนี้ผมมาอาสาประชาชนไม่ได้มาแต่งตั้งผม ผมอาสาทำเอง ถ้าผมยังทำงานได้ผมก็ทำต่อไปถ้าวันหนึ่งผมทำงานไม่ได้ ผมก็หยุดไปไม่มีใครมาว่าผมหรอก ถึงวันนี้ผมจึงยังไม่มีอำนาจ กลุ่มของเราเป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งทำงานในบริเวณหนึ่ง มีพวกพ้องอยู่กลุ่มหนึ่ง ดังนั้นผมจึงยังไม่ได้ขี่หลังเสือ (หัวเราะ) เพราะประชาชนยังไม่ได้มอบอำนาจให้ผมขี่ ถ้าผมขี่หลังเสือเมื่อไหร่อาจจะมีวิธีป้องกันบ้างมั้ง ทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าผมยังไม่มีอำนาจอะไรเลย ผมดูแลลูกน้องของผมเหมือนพ่อดูแลลูก ผมไม่มีอำนาจเหนือเขา ผมมีแต่เมตตาให้เขา เพียงแต่ว่าผมมีวิชาความรู้มากกว่าเขา เขาช่วยเหลือผม ผมก็ช่วยเหลือเขา

แล้ว สิ่งที่มีอยู่ในมือตอนนี้ อาวุธต่างๆ ที่เจ้าใช้ในการทำงาน เจ้ามีมาตรการป้องกันไหม ไม่ให้วันหนึ่งปากกระบอกปืนเหล่านั้นจะหันกลับมายิงเจ้า

ผม ไม่ได้ป้องกันและไม่คิดว่าเขาจะมายิงผมด้วย เพราะผมอาสาทำงาน เขาเห็นผมมีความสามารถเขาก็เชื่อถือผม ผมไม่ได้บังคับใคร ไม่มีที่ว่าคุณไม่ทำไม่ได้นะ ผมไม่ได้บังคับ เวลาประชุมกันเขามีความเห็นให้ผมเป็นผู้นำ เมื่อผมเป็นผู้นำผมก็ต้องวางแผนงานไว้ให้เขา ต้องทำอย่างนี้ๆ คุณเห็นด้วยไหม ถ้าเห็นด้วยก็เอาไปทำตามแผนที่ผมวางไวให้ ถ้าคุณทำงานตามแผนแล้วผิดพลาดขึ้นมาคุณต้องมารับผิด ถ้ายอมรับผิดผมไม่เอาโทษคุณ แต่ถ้าให้แผนไปแบบหนึ่งคุณไปทำอีกแบบหนึ่ง ทำไมล่ะ ทำไมไม่ทำตามแผน อันนั้นต้องโดนลงโทษ ก็คุยกันแล้วไง

การลงโทษของกองทัพไทใหญ่ในสมัย MTA มันมีการยิงลูกน้องทิ้งอยู่บ่อยๆ การลงโทษในสมัยเจ้ามาเป็นผู้นำนี้ถึงขั้นยิงทิ้งกันกันไหม

ตั้งแต่ ผมเป็นผู้นำมา หลังยุค MTA วางอาวุธแล้ว ผมยังไม่ได้ยิงใครทิ้งสักคน ไม่มีนะ เวลามีอะไรก็ติดคุก ตัดสินแล้วนะห้าปี แต่ยังไม่ถึงห้าปีก็สงสารมัน ปล่อยแล้ว

แบบนี้ไม่ใจอ่อนไปหรอกหรือ

ผม ก็ว่าเออ...ผมเอาเมตตาของผมคุ้มครองคุณ เพราะเห็นคุณห้าปีมันนานเกินไป เอาไปสองปีก็พอแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีนะ มีแบบนี้คือตัดสินห้าปี อยู่ไปๆ เขาน่าจะรู้ตัวแล้วมั้งว่าเขาผิด เอาไปสองปีก็พอล่ะ

แล้วอย่างกรณีทหาร SSA ที่ไปเข้ากับพม่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ก็เห็นยิงกันตายไปเยอะเลยนี่

อ๋อ ถ้าไปวางอาวุธกับพม่าก็สมควรแล้วไง นั่นไม่ใช่ยิงทิ้งแต่รบกัน ยิงทิ้งหมายถึงมัดเขาให้ไม่มีทางต่อสู้ การรบกันคือเขาก็ยิงเรา เราก็ยิงเขา ถ้าสู้ได้ก็ไปเลย ไปของคุณเลย กับทหาร SSA ที่ไปวางอาวุธให้พม่านั่นน่ะเรารบกันไม่ใช่ยิงทิ้ง การยิงทิ้งหมายถึงว่า มารวมกันมีกรรมการตัดสินว่าอย่างนี้ต้องฆ่าทิ้ง ตั้งแต่ผมเป็นผู้นำมายังไม่เคยทำ ในกฎหมายของเราก็มีไว้อยู่ เราก็เขียนไว้อยู่

ความ ผิดที่ในกฎหมายกองทัพตัดสินให้ฆ่าทิ้งมี 3 ประเด็น1.เอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไปวางให้ศัตรูไปยอมให้ศัตรูแบบนี้ต้องตาย2.เอา เงินของกองกลางจ่ายไปมากเกินจนไถ่คืนไม่ได้ก็ต้องตาย 3.เอาข้อมูลความลับของเราไปส่งให้ศัตรู นี่ก็ต้องตาย

ใน ส่วนของทหารSSA เองล่ะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ประชาชนรัฐฉานถูกทหารพม่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้บ้างไหม เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏออกมาก็ยังเหมือนเดิม คือ ประชาชนยังหนีเข้ามาเมืองไทยเรื่อยๆ แล้วก็มีข่าวถูกข่มขืน การถูกยึดบ้าน ยึดไร่ ยึดนา ถูกทำร้ายอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ทหาร SSA ขยายพื้นที่เข้าไปในรัฐฉานมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ประชาชนก็ยังโดนกระทำหนักขึ้นเรื่อยๆมาโดยตลอด

เรื่อง ประชาชนโดนละเมิดสิทธิมนุษยชนนี้เราป้องกันไม่ได้ เพราะพม่ามันไปได้ทุกที่ แต่ที่เราขยายพื้นที่เพราะต้องขยายอาณาจักรของเรา ขยายเขตแดนก่อน ในที่ที่เราเข้าไปถึงก็ไปประชาสัมพันธ์ประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่ม ขึ้น แต่ให้เราป้องกันประชาชนมันไม่ได้ ที่ทำได้ก็ที่ดอยไตแลง เราอยู่ในรัฐฉานทหารเราไปแบบกองโจรทุกที่ ไปแล้วไปต่อ ไปแล้วไปต่อ พม่าก็เข้ามาหมู่บ้านเขาได้ เราก็เข้าไปหมู่บ้านเขาได้ ที่เราป้องกันได้ก็มีบางส่วนพื้นที่ที่เราควบคุมได้อันนั้นประชาชนมีอะไรเขา ก็มาหาเราในป่าประชาชนไทใหญ่ที่หนีเข้ามาในประเทศไทยก็มีอยู่สามประเด็น  

ประเด็น แรกไม่ใช่เพราะหนีทหารพม่าอย่างเดียว ที่หนีทหารพม่าก็มีบางส่วน ประเด็นที่ 2 คือเขาตั้งใจหาเงินหาทองในประเทศไทยอยู่ในประเทศเราไม่มีโอกาสหาเงินหาทอง เพราะพม่าใช้งานฟรีอยู่ตลอด เขาก็ยกครอบครัวมาหาเงินหาทองในเมืองไทย ประเด็นที่ 3 ก็คือหนีที่เราเกณฑ์ทหาร เขาไม่อยากเป็นทหาร เขาไม่รู้เรื่องการบ้านการเมือง เขารู้แต่ว่าถ้าเป็นทหารไปรบแล้วมันก็ตาย เขากลัวตายอย่างเดียว กับความรักชาติและหน้าที่ต่อชาติเขาไม่รู้ มันมีสามประเด็นที่หนีเข้ามาประเทศไทย ไม่ใช่ว่าหนีทหารพม่าทั้งหมดที่เข้ามามากส่วนใหญ่มักพาครอบครัวมาหาเงิน ทำงานได้แล้วส่งเงินส่งทองให้พ่อแม่ ให้ญาติของเขา มาทำงานก่อสร้างแล้วส่งเงินให้พ่อแม่เขาเอาเงินไปทำบ้านหลังใหญ่ๆ ไปทำนา แบบนี้ก็มีเยอะแยะ

ทหาร SSA ของเราที่ป้องกันภัยให้ประชาชนเราทำได้บางส่วน เพราะว่าทหารของเราจุดประสงค์ก็เพื่อปกป้องประชาชน เพียงแต่เราไม่มีอำนาจพอที่จะป้องกันประชาชนทั้งหมดได้ การป้องกันประชาชนไม่ใช่ว่าป้องกันเฉยๆ มันต้องดูแลเขาทุกอย่างให้ครบถ้วนไม่ดูแลเขาก็ไม่ได้ แต่มันก็ลำบาก ดูแลกองทัพก็ลำบากแล้ว

ทุกวันนี้กับกองทัพ SSA ขยายกำลังขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆ เจ้าวางการเติบโตของกองทัพไว้อย่างไร จุดสูงสุดของการเติบโตอยู่ตรงไหน

หน้าที่ ของกองทัพมันมีอยู่สามประเด็น ประเด็นแรกคือต้องป้องกันประเทศ เขตแดนประเทศอยู่ตรงไหนทหารต้องไปถึงที่นั่น ประเด็นที่สองต้องป้องกันความมั่นคงของประเทศ ถ้าประชาชนที่ไม่ถูกกันทะเลาะกัน หรือนักการเมืองทะเลาะกัน ทหารต้องป้องกันอย่าให้มีคนทะเลาะกัน อย่าจูงศึกข้างนอกเข้ามาภายใน ประเด็นที่สามทหารมีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประชาชน ปกป้องประชาชนพัฒนาประชาชน นี่คือหน้าที่ทหาร แต่ตอนนี้ทหาร SSA ยังทำได้แค่ป้องกันประเทศ ขยายพื้นที่ป้องกันได้อย่างเดียว ในหน้าที่ 100เปอร์เซ็นต์ ของทหารเราเพิ่งทำได้แค่ 30-40 เปอร์เซ็นต์ ทำได้แค่นี้แหละ เพราะทหารทุกเผ่าเรายังไม่สามัคคีกันได้ทั้งหมด เราต้องสามัคคีกันก่อน ถ้าเราปรองดองสามัคคีกันทุกกลุ่มแล้ว เออ...นั่นแหละหมายถึงว่า 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว และจะทำให้กองทัพของเราไปได้ทั่วถึงรัฐฉาน ทุกวันนี้กำลังเราพอไหม กำลังเรายังไม่พอหรอกอย่างน้อยกำลังต้องมีถึงห้าหมื่น เรากำลังพยายามขยายให้ถึง

สิบกว่าปีที่เป็นผู้นำมา ความคิด-ชีวิตเจ้าเปลี่ยนไปมากไหม ได้เคยใช้เวลาทบทวนตัวเองบ้างไหม

ถ้า ถามชีวิตเปลี่ยนไปไหม มันเปลี่ยนไปก็ตรงที่เฒ่าแก่ขึ้นนั่นล่ะ(หัวเราะ) ความคิดประสาคนแก่มันก็มีมาบ้าง ตอนหนุ่มความคิดมันก็เป็นไปตามประสาคนหนุ่ม เพียงแต่ว่าถ้ามาพูดถึงเรื่องการเมืองวิชาความรู้ผมก็เพิ่มขึ้น เพราะอะไรเพิ่มขึ้นล่ะ ก็เพราะได้เจอคนทุกแบบ ไม่ว่าคนชั้นสูง คนชั้นกลาง คนชั้นตำ่ ได้เจอทุกแบบแล้วก็ประสบการณ์ที่ผ่านมาทางการเมือง ไม่ว่าการรบ การพูดคุยการเจรจา ก็เจอมาหลายแบบ ถ้ามาดูสถานการณ์ตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงทุกวันๆ แล้วผมก็มีโอกาสฟังข่าว ดูข่าวอยู่ตลอด สมัยผมเป็นเด็กหนุ่มๆ อย่าว่าแต่ดูโทรทัศน์เลย แค่วิทยุยังไม่มีโอกาสได้ฟัง วิชาความรู้มันแคบ เดี๋ยวนี้ไม่ว่าข่าวบีบีซี วีโอเอ ข่าวโทรทัศน์ในเมืองไทย ซีเอ็นเอ็น เราก็ดูบ้างว่าโลกมันเป็นอะไรเราก็ติดตามเหมือนกับว่าความรู้มันเพิ่มขึ้น หน่อย แต่ชีวิตมันไม่เปลี่ยนหรอก

ไม่เปลี่ยนไปหรือ เพราะแต่ก่อนเห็นรบอยู่แต่ในรัฐฉาน

ตอน นี้ก็ยังอยากรบอยู่นะ ทั้งชีวิตผมน่ะอยากรบ จริงๆแล้วผมรบมานาน แล้วก็มีประสบการณ์เยอะ 33 ปีแล้วที่ผมอยู่ในสนามรบ ผมน่ะมีนิสัยชอบรบมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ถ้าเสียงปืนแตกแล้วไม่ได้ไปหาใจก็ไม่ดีแล้ว มันเหมือนเห็นคนตั้งวงกินเหล้ากันอยู่แล้วคนชอบกินเหล้าไม่ได้ไปกินด้วยมัน จะทนอยู่ไม่ได้ (หัวเราะ) ผมออกสนามรบครั้งแรกเมื่ออายุ 22 ปี แล้วที่เพิ่งรบหนักๆ กับว้าไปก็เมื่อปี พ.ศ.2548วิถีชีวิตผมก็คือทหาร ถ้าทหารลูกน้อง ประชาชน อยากให้ผมทำงานให้เขา ผมก็ต้องทำต่อไป ถ้าผมทำไม่ได้แล้วผมก็ต้องเลิก

แล้วเจ้ามีเวลาทบทวนในสิ่งที่ผ่านไปบ้างไหม หรือว่าทำงานเฉพาะหน้าไปวันๆ แก้ปัญหาที่เข้ามาสุมเต็มไปหมด

ชีวิต ผม ผมวางแผนเหมือนว่า งานเพื่อชาติผมก็วางแผนงานอนาคตเรื่องลูกหลานก็วางแผนให้เขาบ้าง ส่วนเวลาแก่เฒ่าจะทำอะไรผมก็วางแผนไว้แล้ว คิดทบทวนตลอด เพราะชีวิตเราไม่มีเงินบำนาญ เราต้องวางแผนชีวิตไว้บ้างล่ะ ถ้าเวลาไม่ได้ทำงานกองทัพไม่ทำงานการเมืองแล้ว เราก็ทำไร่ทำนา ตอนนี้ผมก็มีไร่มีนามีสวน

ทุก วันนี้เจ้าทำหลายบทบาท เป็นทั้งทหาร เป็นนักบริหาร เป็นผู้นำเป็นครูของลูกน้อง เป็นพ่อเฒ่าของเด็กๆกำพร้า เป็นมาสารพัดสำหรับตัวเองแล้ว เจ้ายอดศึกเป็นใครกันแน่คะ

ผม เป็นคนธรรมดา เป็นคนทำไร่ทำนา ผมรู้สึกอยู่อย่างนั้นผมไม่รู้สึกอย่างนั้นว่าตัวเองเป็นเจ้าเป็นขุน ผมเป็นคนธรรมดาเหมือนลูกน้องของผมนั่นแหละ เหมือนกัน

ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นทหารเลยหรือ

เป็นทหารก็รู้สึก แต่ก็แค่ทหารธรรมดาไม่มีพิเศษอะไรทหารเขารักชาติเราก็รักชาติ เขากล้าหาญเราก็กล้าหาญ เราเป็นเพื่อนกัน

อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นชาวไร่ชาวนาได้อยู่ เพราะทุกวันนี้ก็ไม่ได้ลงไปทำนาเลย

ทุก วันนี้ถึงไม่ได้ทำนาผมก็ทำสวนกาแฟ มีเวลาว่างๆ ก็ไปเดินดูเขาทำสวนกาแฟ ไปพูดคุย อันนี้ไม่ถูกนะ อันนี้ไม่ดี ต้องทำแบบนี้ ก็ไปสอนเขาอย่างนั้น เรื่องเกษตรผมศึกษาหลายอย่าง ผมชอบทำเกษตร ผมมันลูกพ่อไร่แม่นา ถ้าไม่มาเป็นทหารผมก็เป็นคนทำาไร่ทำนา ทำการเกษตร บ้านผมมีนา มีสวนส้มเขียวหวาน ทำสวนทุกอย่าง เราเป็นคนบ้านนอกไม่ใช่คนในเมือง ผมนี่เป็นคนบ้านนอกนะ

แล้วตอนนี้เจ้ายังอยากทำอะไร อยากสร้างอะไรแล้วยังไม่ได้ทำอยู่บ้างไหม

ชีวิต ของผมให้ผมได้เห็นแล้วค่อยตายมีอยู่สองประเด็นหนึ่งสูงสุดก็อยากให้ได้ ประเทศ สองรองลงมาคืออยากให้กองทัพทุกเผ่าในรัฐฉานปรองดองสามัคคีกันให้ได้ รวมกันเป็นกองทัพเดียวกันให้ได้ ชีวิตของผมเห็นสองอย่างนี้พอล่ะ ตายได้แล้ว อันนี้แหละจุดประสงค์จุดมุ่งหมายสูงสุด ผมพยายามเต็มที่ให้สามัคคีกัน ถ้าทุกเผ่าในรัฐฉานสามัคคีกันได้ก็เหมือนเอกราชอยู่ในมือแล้ว ได้ครึ่งหนึ่งแล้วนะ นี่แหละที่กำลังพยายามอยู่เต็มที่ตอนนี้ทุกวันนี้ความพยายามของผมมีสาม ประเด็น หนึ่ง-สร้างกองทัพของผมให้เข้มแข็ง สอง- พยายามเข้าหา อธิบายเรื่องการปรองดองกับทุกเผ่าอย่างเต็มที่ สาม-รบเพื่อเอาเอกราชให้ได้ ไล่พม่าออกจากประเทศให้ได้ก่อนผมตายนี่ต้องให้เกิดความสามัคคีของทุกเผ่าให้ ได้ ต้องสร้างกองทัพให้เข้มแข็งเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อยึดเอกราชคืนมาให้ได้ ที่แหละคือสิ่งที่ผมอยากได้เห็นก่อนตาย

คิดว่าจะได้เห็นไหม
ผม ว่าน่าจะได้เห็นนะ เพราะผมมองเห็นสถานการณ์ข้างหน้าของโลก เรายังมีโอกาสอยู่มาก เนื่องจากว่า หนึ่ง-โลกทุกวันนี้เราโกหกกันไม่ได้ พม่าทำอะไรไว้ ทำอะไรอยู่ ที่ผ่านมาห้าหกสิบปีจะปกปิดไว้แค่ไหนมันก็เริ่มโผล่ขึ้นมาๆ โลกวันนี้มันเป็นโลกออนไลน์ มันโกหกกันไม่ได้ ใครทำอะไรเลวร้ายไว้มันต้องโผล่ขึ้นมาฟ้องชาวโลกไม่มีทางปิดบังได้ สอง-ผมยังเชื่ออยู่ว่าสหประชาชาติเป็นที่พึ่งของคนทั้งโลกได้ถึงมีคนดีบ้าง ไม่ดีบ้างก็ไม่เป็นไร คนส่วนใหญ่ที่ดีๆ มีอยู่ สาม-ผมเชื่อมั่นว่าคนไทใหญ่หรือคนทุกเผ่า คนที่มีความสามารถคนที่รักชาติมีเยอะอยู่ เขาก็อยากได้ประเทศของเขาอยู่ เพราะเป็นสมบัติของเขา เขาสู้ไม่เลิก นั่นแหละผมเชื่อ.