กีกี้ ทูตสันถวไมตรีไร้สัญชาติ

โดย วนารัตน์

เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ ผ่ านมาผู้เขียน ได้มีโอกาสไปเป็นพี่ เลี้ยงในกิจกรรมเยาวชนที่ มีชื่ อเล่ นว่ า “ค่ายลูกยางนา” ซึ่งจัดโดยมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) มีเนื้อหาเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อและการผลิตสื่อในรูปแบบต่างๆ ให้กับกลุ่มเยาวชนชาติพันธุ์ต่างๆ จากเขตภาคเหนืออายุระหว่าง 10 – 25 ปี จำนวนประมาณ60 คน โดยมีพี่เลี้ยงและวิทยากรรวมกัน6 คน


วันแรกของการเริ่มค่าย น้องๆ ได้ร่วมกันทำกิจกรรมสันทนาการต่ างๆ เพื่ อละลายพฤติกรรมให้ทุกคนทำกิจกรรมร่ วมกันได้อย่ างสนุกสนาน ไม่แปลกหน้าต่อกัน โดยทุกคนจะต้องแนะนำตัวเองให้เพื่อนจดจำชื่อของตนเองได้ง่าย แต่ละคนจึงงัดลีลาเด็ดๆ ออกมาแนะนำตัวเพื่อสร้างความประทับใจกันอย่างสนุกสนาน บ้างมีท่าประกอบ บ้างแนะนำตัวแบบโกอินเตอร์ คือ มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาถิ่นหรือภาษาประจำชาติพันธุ์ ในบรรดาเยาวชนที่ลีลาโดดเด่นกว่าใครๆเรียกว่า ทั้งร้องทั้งเต้นแบบฮิพฮอพ ซึ่งดูแล้วแปลกกว่าและกล้ากว่าใครและจากการแนะนำชื่ อ ทำให้เพื่ อนๆ จำชื่ อเธอได้อย่ างง่ ายดายว่ า“กีกี้”

หลังจากการแนะนำตัวเสร็จแล้วก็แบ่งน้องๆ ออกเป็นกลุ่ม 4กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสมาชิกประมาณ 15 คน เพื่อจะได้ง่ายต่อการทำกิจกรรมเพราะรูปแบบกิจกรรมส่ วนใหญ่ จะเน้นเป็นการทำกิจกรรมกลุ่ มเพื่ อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ภารกิจแรกหลังจากแบ่งสมาชิกออกเป็นกลุ่มแล้วก็คือ การคิดชื่อกลุ่มและท่าประจำกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็คิดชื่อที่ให้ความหมายแตกต่างกันไป ได้แก่ กลุ่มแรก ชื่อ First Star กลุ่มที่ 2 ชื่อRay Of Hope กลุ่มที่ 3 ชื่อ กลุ่มพันธุ์ใหม่ และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มของวิทยากร และเป็นครั้งแรกที่สมาชิกกลุ่มแต่ละคนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นกัน

กีกี้เป็นสมาชิกของกลุ่ม First Star เธอได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่สมาชิกของกลุ่มนี้ดูน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะกลุ่มอื่นจะมีเด็กเล็กเด็กโต ผู้ใหญ่ คละกันไป เฉลี่ยแล้วอายุประมาณ 20 ปี แต่กลุ่มของกีกี้ส่วนมากเฉลี่ยแล้วไม่เกิน 15 ปี ทำให้การทำงานดูยากกว่ากลุ่มอื่นนอกจากสมาชิกกลุ่มจะเป็นเด็กแล้ว ยังมีอุปสรรคในการสื่อสารด้วยเพราะสมาชิกบางคนก็เป็นชาวกระเหรี่ยง บางคนเป็นชาวพม่าซึ่งฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ กีกี้ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มจึงต้องรับภาระในการดูแลน้องๆ และทำหน้าที่เป็นล่ามไปในตัวด้วย เพราะเธอสามารถพูดได้ถึง4 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ กระหรี่ยง และภาษาพม่า สาเหตุที่สาวน้อยคนนี้สามารถพูดได้หลายภาษาเป็นเพราะความใฝ่ รู้และพร้อมจะเก็บเกี่ ยวสิ่ งที่ ดีจากการเรียนและทำงานร่ วมกับกลุ่ มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ทำให้เธอกลายเป็น “ทูตสันถวไมตรี” ผู้ทำหน้าที่ส่งผ่านความคิดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไปโดยปริยาย

เมื่อการอบรมสื่อช่วงแรกเสร็จสิ้น วิทยากรก็ให้แต่ละกลุ่มคิดเรื่องและผลิตสื่อจากดินน้ำมัน โดยการปั้นตัวละครตามเรื่องที่แต่งไว้จากนั้นถ่ายภาพ แล้วนำมาตัดต่อให้เป็นเรื่องราว กลุ่มอื่นๆ หัวหน้าก็จะแบ่งหน้าที่ให้สมาชิกแต่ละคนทำ แต่กลุ่มของกีกี้ แม้ว่าเธอจะเป็นหัวหน้าแต่สั่งงานเพื่อนในกลุ่มเพราะความเกรงใจ ทั้งๆ ที่หากดูภายนอกเธอจะเป็นสาวมั่น กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น เฮฮา สนุกสนาน หัวเราะเก่งแต่ในเวลาทำงาน กีกี้กลับแสดงความอ่อนโยน ห่วงใย และเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงต้องแบกรับภาระในการทำงานหลายๆ อย่างแทนคนอื่น รวมทั้งยังต้องคอยทำหน้าที่ “ทูตสันถวไมตรี” ให้สมาชิกกลุ่มอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ท้อถอย กลับมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และมีความตั้งใจให้การทำงานเป็นอย่างมากเมื่ อกลุ่ มอื่ นทำงานเสร็จแล้ว กลุ่ มของกีกี้ยังไม่ เสร็จเธอก็นั่ งทำงานต่อไป ยังเหลือแต่การตัดต่อให้เป็นเรื่องราวซึ่งเป็นหน้าที่หลักของกีกี้เธอจึงนั่งทำงานของเธอจนแล้วเสร็จโดยมีสมาชิกกลุ่มคอยเป็นกำลังใจให้และอยู่รอจนกกว่าจะเสร็จ ไม่ทิ้งกันไปไหน นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กีกี้มีกำลังใจในการทำงาน แม้งานจะเสร็จช้ากว่ากลุ่มอื่น แต่ไม่มีใครว่ากล่าวหรือตำหนิกันเลย มีแต่จะคอยให้กำลังใจกันและกัน

เมื่อถึงเวลาการนำเสนอผลงาน แต่ละกลุ่มต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยดูผลงานทั้งของกลุ่มตัวเองและกลุ่มของเพื่อนๆ ...แต่ละกลุ่มผ่านไปเป็นที่สนุกสนานในการรับชม แต่เมื่อถึงกลุ่ม FIRST STAR กีกี้กลับดูจะไม่พอใจผลงานของกลุ่มตัวเองและไม่อยากอยู่ดู เพราะเธอบอกว่าผลงานการตัดต่อของเธอยังไม่ดีพอ ยังขาดรายละเอียดอะไรหลายๆ อย่างแต่สุดท้ายก็อยู่ดูผลงานของเธอ

เมื่อการนำเสนอผลงานแต่ละกลุ่มก็เสร็จสิ้นลงและจากการฟังคำแนะนำ และติชมจากเพื่อนๆ และกลุ่มวิทยากร กลุ่ม FIRST STARกลับเป็นกลุ่มที่ได้รับคำชมมากที่สุด เพราะมีรายละเอียดและความคิดสร้างสรรค์ดี เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆ แต่กีกี้กลับมองว่างานของกลุ่มตนเองยังไม่ดีพอ เธอเชื่อว่าหากมีเวลาในการทำมากกว่านี้ เธอจะทำให้ดีกว่านี้แน่นอน แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่ตั้งใจและมีความพยายามมากทีเดียว หลังจากได้รับกำลังใจจากเพื่อนๆสาวน้อยจึงเริ่มสบายใจมากขึ้น

ตลอดระยะเวลาเข้าค่าย หากมีเวลาว่างผู้เขียนและกีกี้จะชอบคุยเล่นกัน ตอนแรกก็คุยเรื่องทั่วๆ ไป ต่อมาเธอได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นว่า เธอรู้สึกน้อยใจตัวเองที่เกิดเป็นคนไร้สัญชาติ เพราะคิดว่าตนเองขาดโอกาสทางสังคมหลายๆ อย่าง กีกี้เล่าว่าเธอเคยเรียนหนังสืออยู่ในอันดับดีด้วยแต่ก็ต้องหยุดเรียนไป เพราะสงสัยว่าเรียนแล้วจะได้อะไร เรียนไปก็เอาไปทำอะไรไม่ได้ เพราะเธอไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน แต่ด้วยนิสัยชอบทำงานด้านสื่อ เธอจึงสนใจเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ ทั้งศึกษาเองและถามผู้รู้บ้าง นอกจากนั้น เธอยังมีความสามารถในการแต่งเพลง ร้องเพลง กำกับ แล้วก็ตัดต่อวิดีโอเอง และช่วงที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับสึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่นทำให้เกิดความสูญเสียมากมายเธอได้ร่วมกับเพื่อนๆ ที่เป็นกลุ่มเยาวชนด้วยกันทำวิดีโอเพื่อให้กำลังใจชาวญี่ปุ่นด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความคิดที่ดีและสร้างสรรค์มากเลยทีเดียวและกีกี้ยังบอกอีกว่า เธอเป็นดีเจเยาวชนของสถานีวิทยุประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดตากอีกด้วย โดยรูปแบบรายการจะเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารบ้านเมือง สาระน่ารู้ต่างๆ และเปิดเพลงให้ฟัง ซึ่งเวลาจัดรายการจะจัดเป็นภาษาพม่าบ้าง กระเหรี่ยงบ้าง ภาษาไทยไม่ค่อยจัดเพราะเธอคิดว่าสามารถหาฟังที่ไหนก็ได้

เวลากีกี้เล่าถึงการทำงานท่าทางของเธอดูมีความสุขมาก เพราะเธอเป็นคนที่จริงจังและเต็มที่กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ เธอยังมีความคิดดีๆอีกหลายอย่างที่อยากทำ แต่เธอก็บอกก็ว่า เธอไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ทำเพราะไม่ค่อยมีใครเปิดโอกาสให้ทำ เธอจึงรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ตัวตนของสังคม เพราะทำอะไรไปแล้วไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่าเพราะเธอเป็นคนไร้สัญชาติ

ในวันสุดท้ายของการเข้าค่าย เมื่อกิจกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้นลงก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน น้องกีกี้ได้ถักสร้อยข้อมือให้เป็นของที่ระลึกกับผู้เขียนเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้เขียนคอยดูแลและเอาใจใส่เธอและเป็นกำลังใจให้เสมอ และเราก็ได้แลก E-mail และเบอร์โทรกันเพื่อจะได้จะได้ติดต่อกันต่อไป ผู้เขียนได้แต่ขอบคุณและกอดเพื่อเป็นการอำลาก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ... การอบรมเสร็จสิ้นลง แต่มิตรภาพยังไม่จางหาย

ตลอดระยะเวลาในการอบรม 3 วัน ที่ค่ายลูกยางนานี้ ทำให้ผู้เขียนได้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมในด้านของสิทธิและโอกาสของกลุ่มคนไร้สัญชาติว่ามีน้อยเหลือเกิน และเป็นที่น่าเสียดายว่าสิ่งดีๆความคิดดีๆ ของกลุ่มเด็กไร้สัญชาตินั้น ไม่ค่อยมีใครให้โอกาส ทั้งๆที่พวกเขามีศักยภาพต่างๆ มากมายไม่น้อยไปกว่าคนทั่วไป และด้วยเพราะไม่ค่อยมีใครให้โอกาสหรือมองเห็นความสำคัญ พวกเขาจึงต้องผลักดันและพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มากกว่าคนทั่วไป

น่าเสียดายที่เด็กมีความสามารถอย่างกีกี้กลับถูกปิดกั้นโอกาสในชีวิตเพียงเพราะคำว่า “ไร้สัญชาติ” หากคนเราเลือกเกิดได้ ทุกคนก็คงจะอยากเกิดเป็นคนมีสัญชาติ มีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นในสังคม ถ้าสังคมไทยเปิดกว้างให้ทุกคนได้แสดงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกสัญชาติ สังคมไทยก็จะมีคนที่มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น และในทางกลับกัน คนไทยที่เคย “มีโอกาส” แต่ไม่ไขว่คว้าไว้ก็จะได้มองเห็นคุณค่ าของโอกาสที่ มีอยู่ ในมือมากขึ้นและพยายามพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมหากถึงวันนั้น สังคมไทยก็จะมีคนดีมีความสามารถแบบไม่เลือกสัญชาติและเป็นสังคมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริง.