แปลโดย Numripa
ผมเป็นคนหนึ่งที่ เลี้ยงชีพด้วยการเขียนหนังสือนามปากกาของผมคืออ๊อกโทเบอร์(October)อองจี ภรรยาผมชื่อมะละหยี่ ผมมีลูกสาวหนึ่งคน เธอชื่อว่าอ๊อกโทเบอร์ เคเค ตอนนี้อายุได้ 8 ขวบแล้วและกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.3 ลูกสาวของผมยังเด็กมากเมื่อเทียบกับอายุของผมและภรรยาที่ย่างเข้า 49 ปีด้วยกันทั้งคู่ นั่นเป็นเพราะเราสองคนแต่งงานช้า
ครอบครัวเราอยู่ที่หมู่บ้านเล็ตเยซานตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองย่างกุ้ง ลูกสาวผมเรียนหนังสือที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน ภรรยาผมเป็นแม่ บ้านดูแลครอบครัว ส่ วนผมที่ มีอาชีพเป็นนักเขียนจึงต้องเดินทางไปในตัวเมืองย่างกุ้งเกือบทุกวันเพื่อไปส่งต้นฉบับที่โรงพิมพ์ผมเข้าออกโรงพิมพ์หลายแห่งอยู่เป็นประจำถ้าทางโรงพิมพ์รับพิมพ์งานเขียนของผม นั่นหมายความว่าผมจะได้ค่าต้นฉบับกลับบ้าน
อาจารย์อูบะมู ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วเคยพูดไว้ว่า อาชีพนักเขียนอย่างผมก็ไม่ต่างจากแม่ ค้าที่ ต้องแบกสินค้าไว้บนหัวแล้วเดินเร่ ขายตามท้องถนน เข้าซอยนี้ออกซอยนั้นพวกเรานักเขียนก็เหมือนกัน ต้องเอาต้นฉบับใส่กระเป๋าและส่ งตามโรงพิมพ์ แต่ แม่ ค้ากับนักเขียนอาจจะต่างกันตรงที่ ถ้ามีคนซื้อของแม่ค้าก็จะได้เงินทันที เร็วกว่านักเขียนที่ต้องรอให้บรรณาธิการชอบงานเขียนและตีพิมพ์ก่อนจึงจะได้รับเงิน
ถ้าส่งงานเขียนตีพิมพ์ในวารสารจะได้เงินสัปดาห์ละครั้ง แต่หากตีพิมพ์ลงนิตยสารก็จะได้เงินเดือนละครั้ง นามปากกาของผมนอกจากอ๊อคโทเบอร์ อองจีแล้ว ผมยังมีอีกหลายชื่ อที่ ใช้ในงานเขียนหนังสือ ถ้าไม่ ใช้หลายนามปากกาและไม่เขียนงานให้หลาก-หลายมุมมอง ผมเชื่อว่าปากท้องของครอบครัวคงไม่อิ่ม นี่ขนาดผมพยายามเขียนงานหลายๆแบบแล้วยังได้แค่พออยู่พอกินเท่านั้น นอกจากเขียนหนังสือแล้วผมก็แทบจะทำอย่ างอื่ นไม่เป็นเลย ดังนั้นผมจึงต้องเลี้ยงสามชีวิตด้วยการเขียนหนังสือ และที่ผ่านมาครอบครัวเราdHพยายามใช้จ่ายอย่างระมัดระวังที่สุด
แต่ แล้ววันหนึ่ งพายุไซโคลนนาร์กิสภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ก็ถาโถมเราเหมือนกับคนอื่ นๆ เมื่ อเจอกับมรสุมเช่ นนี้ครอบครัวที่ มีฐานะไม่ มั่ นคงและไม่ มีเงินเก็บอย่างครอบครัวของผมก็ต้องประสบพบเจอกับความลำบากหนักหนาสาหัสจนแทบลืมตาอ้าปากไม่ได้เช่นกัน ในตอนนั้น ผมคิดแต่เพียงว่าผมอาจต้องทิ้งศักดิ์ศรี ทิ้งอาชีพนักเขียนไปทำอย่างอื่นเสียแล้ว เพื่อปากท้องและความอยู่รอดของคนในครอบครัว
- - - - - - - - - - - - - - -
“ มีแขกมาขอพบพี่อองจีน่ะ ”เสียงของภรรยาร้องบอก แต่ นั่ นยิ่ งทำให้ผมผิดหวังและหงุดหงิดมาก เพราะจะมีใครมาหาและช่ วยผมได้ในตอนนี้ คงจะมีแต่ คนมาขอความช่วยเหลือจากผมเสียมากกว่า ตัวผมเองก็คงช่วยใครไม่ได้ ผมคิดอยู่ในใจคนเดียวและบอกภรรยากลับไปว่า
“ช่ วงนี้ไม่ มีเงิน แขกที่ ไหนมาถึงบ้านน่ะ มะละหยี่จ๋า บอกเขาไปเลยนะว่าพี่ไม่อยู่”
สิ้นเสียงผมไม่ ทันไร ระหว่ างนั้นเองลูกสาวตะโกนบอกผมว่า “พ่ อจ๋า คุณย่ าจากตาหมุ่ ยมาหาเราจ้า” พอได้ยินเสียงลูกสาวพูดขึ้น ผมรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินออกไปที่หน้าบ้าน ผมรู้สึกแน่ นหน้าอกพลันน้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม
“แม่ ...” ผมเรียกชื่ อแม่ เบาๆ และปล่อยโฮอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นแม่ถือของพะรุงพะรังเพื่อมาช่วยผมและครอบครัว
“เอ๊ะ..อองจี ลูกร้องไห้ทำไม มาช่วยแม่ยกของหน่อยสิจ๊ะ” ได้ยินเสียงแม่พูดกับผมผมจึงได้สติและรีบช่วยยกของเข้าบ้าน หลังจากที่แม่เอาของมาให้แม่ก็รีบกลับทันที ระหว่างที่แม่เดินกลับ ผมมองตามหลังแม่แล้วถอนหายใจยิ่งมองดูข้าวสาร น้ำมัน เกลือ หอมแดง และเงินอีกห้าหมื่นจั๊ดที่แม่เอามาให้ มันยิ่งทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ อยู่ ด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจของแม่ที่มีต่อผมและครอบครัวแม่ก็เปรียบดังแสงไฟท่ามกลางพายุที่ส่องสว่างให้กับผม.