Offside ผู้หญิงก็มีหัวใจ

โดย หมอกเต่หว่า

“สนามกีฬาไม่ใช่ที่ของผู้หญิง และฟุตบอลก็ไม่ใช่กีฬาสำหรับผู้หญิง”หากผู้หญิงที่รักฟุตบอลได้ยินคำพูดนี้คงรู้สึกเจ็บใจและน้อยใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว แม้ว่ายุคนี้สิทธิสตรีจะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ในอีกหลายประเทศก็ยังเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม
หนังเรื่อง Offside (ผู้หญิงก็มีหัวใจ) เป็นหนังสไตล์สารคดีอีกเรื่องที่สะท้อนให้เห็นปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงในประเทศอิหร่านได้เป็นอย่างดี หนังเปิดตัวด้วยภาพชายวัยกลางคนกำลังนั่งแท็กซี่เพื่อไปตามหาลูกสาวที่แอบไปดูการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติอิหร่ านกับทีมชาติบาห์เรนที่ สนามอะซาดิในกรุงเตหะราน ซึ่ งทั้งสองทีมต้องชิงกันไปฟุตบอลโลก สิ่งที่พ่อคนนี้ห่วงลูกสาวไม่ใช่เหตุผลเพียงเพราะว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะว่าลูกสาวของเธอแอบปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อเข้าไปดูฟุตบอล ซึ่งเป็นข้อห้ามสำหรับผู้หญิงในประเทศนี้ และหากถูกจับได้ก็จะถูกลงโทษ

“ผมหวังว่าผมจะเจอเธอก่อนพวกนั้น(เจ้าหน้าที่ตำรวจ) ไม่งั้นเธอตายแน่ๆ”ชายคนนี้กล่าว

ภาพขบวนคนที่แห่กันไปดูฟุตบอลนัดสำคัญแสดงให้เห็นว่าคนในอิหร่านคลั่งไคล้ฟุตบอลไม่แพ้ชาติไหนๆ ในโลก และไม่ใช่เพราะหนุ่มๆ เท่านั้น สาวๆ อิหร่านก็รักฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจจนถึงขนาดทำให้เด็กสาวเหล่ านี้ยอมปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่ อให้ได้อยู่ ขอบสนาม เด็กสาวหลายคนโชคดีสามารถเข้าไปในสนามโดยที่เจ้าหน้าที่จับไม่ได้แต่นั่นไม่ใช่กับทุกคน

เหมือนเช่นเด็กสาวห้าคนที่ถูกจับตัวคนละเวลาและถูกคุมตัวอยู่ด้านนอกสนาม (ซึ่งทั้งหมดเป็นนักแสดงหลักที่คอยเดินเรื่องแต่ไม่มีชื่อในหนัง) คนหนึ่งถูกจับในระหว่างพยายามเข้าไปในสนาม แต่เด็กสาวบางส่วนถูกจับตัวหลังจากที่เข้าไปอยู่ในสนามได้ไม่นาน

“ปล่อยฉันไปเถอะพี่ทหาร ฉันขอดูแค่นิดเดียวเอง” เด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกจับพยายามอ้อนวอนกับเจ้าหน้าที่แต่ได้คำตอบเหมือนเดิมคือ ไม่อนุญาตให้เธอดูฟุตบอล ในขณะที่เสียงเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งสนามเมื่อการแข่งขันฟุตบอลเริ่มขึ้นเด็กสาวทั้งห้าคนผู้โชคร้ายทำได้แต่เพียงยืนอยู่ข้างกำแพงฟังอย่างใจจดใจจ่อและผิดหวังไปพร้อมๆ กัน

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่เด็กสาวถูกคุมตัวไว้และการแข่งขันฟุตบอลดำเนินไป เราได้เห็นภาพและบทสนทนาโต้ตอบกันระหว่างเจ้าหน้าที่ ทหารกับเด็กสาวซึ่ งสะท้อนถึงสังคมอิหร่ านและการจำกัดสิทธิของผู้หญิงในประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี เช่น ผู้หญิงถูกห้ามสูบบุหรี่ห้ามไปโรงหนังกับผู้ชายและต้องแต่งตัวมิดชิด รวมถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในที่ผู้ชายอยู่ สำหรับในที่สาธารณะแล้ว ผู้หญิงอิหร่านจึงถูกจับแยกออกจากผู้ชายเหมือนอยู่กันละโลกอย่างสิ้นเชิง ยกเว้นกับผู้ชายที่เป็นพ่อและพี่ชายของเธอเท่านั้น และแม้รัฐบาลจะออกกฎหมายขึ้นมาจำกัดสิทธิผู้หญิงมากมาย แต่ ก็ไม่ สามารถมีอิทธิพลเหนือจิตใจของผู้หญิงได้ก็คือการชอบฟุตบอล ตัวแสดงในเรื่ องยังแสดงให้เห็นว่ าบางครั้งผู้หญิงก็รู้เรื่องฟุตบอลมากกว่าผู้ชายเสียอีก

แม้บทสนทนาระหว่างตัวแสดงจะมีเนื้อหาเป็นเรื่องหนักๆ แต่ก็ทำให้ผู้ชมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เพราะได้สอดแทรกไปด้วยมุขขำๆเชิงเสียดสีรัฐบาลอนุรักษ์นิยมอิหร่านไว้อยู่ไม่น้อยเช่น ตัวอย่างเช่นฉากที่เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ทหารขึ้นว่า “ทำไมผู้หญิงถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูฟุตบอล” เจ้าหน้าที่ทหารได้ตอบว่า มันเป็นสิ่งที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ ทำให้เด็กสาวคนเดิมโต้กลับไปว่า “แล้วทำไมสาวญี่ปุ่นถึงบินมาดูฟุตบอลที่เตหะรานได้ล่ะ” เจ้าหน้าที่คนเดิมตอบกลับว่า คนญี่ปุ่นกับคนอิหร่านไม่เหมือนกัน เด็กสาวคนเดิมจึงตอบกลับอีกครั้งว่า “ถ้าฉันเกิดในญี่ปุ่น ฉันก็คงดูกีฬาได้ใช่มั้ย”

ในความโชคร้ายยังพอมีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะทหารคนหนึ่งที่ อยู่ ติดประตูรั้วสนาม ซึ่ งเห็นความเป็นไปในสนามยอมพากย์การแข่งฟุตบอลให้เด็กสาวเหล่านี้ฟัง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ยังพอทำให้พวกเธอยิ้มได้ในสถานการณ์ที่คับขันได้ ขณะเดียวกัน เด็กสาวคนที่หกถูกจับในเวลาต่อมา หลังจากที่เธอเข้าไปชมการแข่งขันครึ่งแรกได้รับเสียงชื่นชมจากเด็กสาวคนอื่นๆ หลังเข้าไปในสนามด้วยการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ทหารโดยที่ไม่มีใครสังเกต แต่ท้ายสุดเธอถูกจับได้เพราะพลาดไปนั่งเก้าอี้ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงคนหนึ่ง

แต่ดูเหมือนเหตุการณ์จะชุลมุนมากขึ้น เมื่อเด็กสาวที่ถูกคุมตัวคนหนึ่งแอบหนีไประหว่างที่ไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งทำให้หัวหน้าทหารรู้สึกร้อนใจมากเพราะหากเด็กผู้หญิงหายไป ถือว่าเขาได้ทำงานผิดพลาดและอาจต้องอยู่ในกองทัพต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ ทหารคนดังกล่าวเริ่มเล่าถึงความยากลำบากในชีวิตของตัวเองให้เด็กสาวฟัง ซึ่งสิ่งนี้เริ่มสะท้อนให้เด็กสาวเห็นว่า ที่จริงแล้วทหารเหล่านี้ไม่ได้ต้องการอยู่ในกองทัพและไม่ต้องการที่จะจับตัวพวกเธอ แต่ที่ต้องทำไปก็เพราะหน้าที่เพราะลึกๆ แล้วทหารเหล่านี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การห้ามผู้หญิงดูบอลในสนามแข่งนั้นเป็นเรื่องผิดหรือถูก หรือบางทีพวกเขาอาจไม่เห็นด้วยกับข้อห้ามดังกล่าวเสียด้วยซ้ำไป

แต่ในเวลาต่อมา เด็กผู้หญิงที่หนีไปได้ตัดสินใจกลับมามอบตัวเพราะรู้สึกสงสารเจ้าหน้าทีทหารที่อาจเดือดร้อนจากการหายตัวไปของเธอ ความความเห็นอกเห็นใจระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและเด็กสาวทั้งหกคนได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายดีขึ้นตามไปด้วย โดยเจ้าหน้าที่ เริ่ มมีท่ าทีที่ อ่ อนลงและยอมทำตามสิ่ งที่ เด็กสาวเรียกร้องอย่างเช่น การลงไปซื้อน้ำให้เด็กสาวดื่มและปรับเสาอากาศในรถเพื่อให้เด็กสาวได้ฟังผลการแข่ งขันฟุตบอลในระหว่ างที่ ถูกนำตัวไปสถานีตำรวจ

และท้ายสุด ทีมชาติอิหร่านสามารถเอาชนะคู่แข่งและได้ไปต่อฟุตบอลโลก เด็กสาวต่ างตะโกนโห่ ร้องด้วยความดีใจและมีความสุขแม้จะต้องถูกนำตัวไปสถานีตำรวจ และยังไม่รู้ว่าอนาคตอันใกล้จะต้องเผชิญกับบทลงโทษเช่นไรบ้าง แต่พวกเธอเชื่อว่า สิ่งที่พวกเธอทำเป็นสิ่งที่ไม่ผิด

ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือ การลำดับเรื่องราวอย่างเรียบๆตรงไปตรงมา แต่กลับทำให้รู้สึกอยากติดตามอย่างบอกไม่ถูก ในหนังยังเผยภาพความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่าที่เป็นคนตั้งกฎหมายขึ้นมาตามแบบศาสนาอิสลามกับคนหัวสมัยใหม่ของอิหร่าน เช่น เด็กสาวมองว่าข้อห้ามดูฟุตบอลเป็นเรื่องไร้สาระซึ่งควรจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ในขณะที่วัยรุ่นชายในอิหร่านเองก็ไม่ได้ต่อต้านการที่ผู้หญิงเข้าไปดูฟุตบอล แต่ตรงกันข้ามพวกผู้ชายกลับเห็นใจ เป็นห่วง และพยายามช่วยให้ผู้หญิงเข้าไปในสนามเสียด้วยซ้ำ

ความแปลกของหนังเรื่อง Offside อีกอย่างหนึ่งคือ ฉากที่ถ่ายทำดูเหมือนการถ่ายในสถานที่จริงและเหตุการณ์จริง โดยนักแสดงทุกคนสามารถถ่ายทอดออกมาอย่างดีเยี่ยม แม้จะมีแต่บทพูดเยอะมากในหนังแต่หนังกลับไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหรือเครียดแต่อย่างใด เพราะบทสนทนาระหว่างตัวละครทุกคำเป็นสิ่งที่สื่อถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอิหร่านอย่างตรงไปตรงมา

หนัง Offside กำกับและเขียนบทภาพยนตร์โดยนายจาฟาร์ปานาฮี ผู้กำกับชาวอิหร่าน เปิดตัวฉายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2549 และได้รับรางวัล Silver Berlin Bear จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินในปีเดียวกัน แต่ทว่าหนังเรื่องนี้กลับถูกห้ามฉายในประเทศและผู้กำกับอย่ างนายจาฟาร์ ปานาฮีก็ถูกจับขังคุกเป็นเวลาหกปีในข้อหามีส่วนร่วมทางการเมืองประท้วงรัฐบาลอิหร่าน โดยตัวเขาเองยังถูกห้ามทำหนังและเขียนบทภาพยนตร์ รวมถึงถูกห้ามเดินทางไปต่างประเทศด้วย

สิ่งที่นายจาฟาร์กำลังเผชิญก็ไม่แตกต่างจากที่ผู้กำกับหรือดาราศิลปินหลายคนในพม่ าเผชิญ เพราะคนดังหลายคนในพม่ าที่ ยืนข้างประชาชนและประชาธิปไตยก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมพม่าและอาจต้องสูญเสียอาชีพที่ตนรัก แม้คนพม่าและคนอิหร่านจะอยู่ในสถานการณ์หัวอกเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วเชื่อว่า เผด็จการจะพ่ายแพ้ต่อพลังของประชาชนในสักวันนึ่งซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่ปลดปล่อยอิสรภาพของทั้งคนอิหร่านและคนที่อยู่ในพม่า.