Free Burma Ranger ฮีโรในป่าลึก

โดย หมอกเต่หว่า

หากพูดถึงฮีโร่ในดวงใจ ภาพอุลตร้าแมนและเหล่าขบวนการ5 สี รวมไปถึงยอดมนุษย์แปลงร่างทั้งหลายจากในหนังคงผุดขึ้นมาในใจหลายๆ คน แต่สำหรับชาวบ้านในเขตสู้รบในพม่าแล้ว ฮีโร่หรือขวัญใจของพวกเขาเป็นเพียงคนเดินดินธรรมดาที่มีแค่มือเปล่าแต่ต้องการต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในประเทศสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ฮีโร่ของชาวบ้านแม้จะไม่มีอำนาจพลังวิเศษเหมือนในหนัง แต่สิ่งที่พวกเขามีก็คือ จิตวิญญาณที่เข้มแข็งและพร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชนแม้ต้องสละชีวิต พวกเขาเหล่านี้เรียกตัวเองว่า Free Burma Ranger (ฟรีเบอร์ม่าเรนเจอร์)หรือ FBR ขบวนการปลดปล่อยอิสรภาพพม่า

“จงรักและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และทำงานเพื่อสันติภาพความสงบและความยุติธรรม จงอธิฐานด้วยความศรัทธา ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญโดยไม่ยอมแพ้” นี่คือคำขวัญของ FBR หรือที่หลายคนรู้จักในฐานะหน่วยงานบรรเทาทุกข์ไม่กี่กลุ่มที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่อยู่ในเขตพื้นที่สู้รบและที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าตามรัฐต่างๆเพื่อหนีการโจมตีจากกองทัพพม่า กลุ่ม Free Burma Ranger ก่อตั้งโดยอดีตทหารจากหน่วยรบพิเศษของอเมริกา หรือที่ชาวกะเหรี่ยงเรียกเขาว่าทา อู วา อะ พา (Tha U Wah A Pah) ซึ่งเป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่าพ่อของลิงขาว* ทา อู วา อะ พา ได้ก่อตั้ง FBR ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2540ซึ่งเป็นช่วงที่กองทัพพม่าเข้าโจมตีรัฐกะเหรี่ยงอย่างหนัก จนทำให้มีชาวกะเหรี่ยงนับแสนคนต้องทิ้งบ้านเรือนเพื่อเอาชีวิตรอด และด้วยความคิดที่ ว่ า ไม่มีใครจะสามารถหยุดยั้งการมอบความรักและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้ จึงทำให้เกิด FBR ขึ้นในตอนนั้น

เริ่มแรกนั้น FBR ได้ประสานงานและร่วมมือกับองค์กรอิสระที่อยู่ภายใต้เคเอ็นยูในการที่จะเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านในรัฐกะเหรี่ยงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงคราม จึงทำให้ทหารหนุ่มกะเหรี่ยงจากเคเอ็นยูเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้าร่วมทำงานกับ FBR ซึ่งมีรัฐกะเหรี่ยงเป็นพื้นที่ แรกที่ ทางกลุ่ มได้ปฏิบัติภารกิจลงพื้นที่ ช่ วยชาวบ้านโดยมีหมอทหารชาวกะเหรี่ยงที่ชื่อ “เอลียาห์” เป็นเจ้าหน้าที่ FBR คนแรก

จากทีมช่วยเหลือกลุ่มเล็กๆ สู่การมีสมาชิกที่เพิ่มขึ้น จนในเวลาต่อมา FBR ได้ขยายการทำงานไปสู่เขตสู้รบในรัฐอื่นๆ บ้าง โดยร่วมมือและได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังทหารชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลพม่า ดังนั้น เจ้าหน้าที่ FBR ส่วนใหญ่จึงเป็นหมอทหารหรือพยาบาลทหาร รวมถึงคนที่ทำงานให้กับกองทัพของชนกลุ่มน้อยอยู่ก่อนแล้ว และแม้จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก FBR แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนของกองทัพอยู่เช่นเดิม

ด้านภารกิจหน้าที่หลักๆ ของเจ้าหน้าที่ FBR ได้แก่ การให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนให้กับชาวบ้านตามเขตพื้นที่สู้รบหรือที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่า ทั้งในด้านการรักษาพยาบาล อาหาร ที่พัก สิ่งของเครื่องใช้จำเป็นอย่างเช่นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค รวมไปถึงการแจ้งเตือนชาวบ้านล่วงหน้าเกี่ยวกับการเข้าโจมตีของทหารพม่าและการอพยพชาวบ้านไปอยู่ในที่ปลอดภัย ในทุกๆ วันของการปฏิบัติหน้าที่ สิ่งที่เจ้าหน้าที่ FBR ได้รับรู้และได้เห็นคือ ความเศร้าโศกและความทุกข์ท่วมท้นจากการสูญเสียพลัดพรากของชาวบ้าน อีกหนึ่งภารกิจที่พวกเขาต้องทำก็คือ การเยียวยาด้านจิตใจควบคู่กับการเยียวยาทางร่างกาย นั่นคือการให้ความรัก ความหวัง และให้กำลังใจกับชาวบ้าน

“มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกเล่าเรื่องราวของเธอให้ฉันฟังพร้อมกับร้องไห้ออกมา ในฐานะพยาบาลฉันไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้เพราะถ้าหากฉันร้องไห้ ทุกคนก็จะยิ่งเศร้ามากขึ้น” นางพยาบาลคนหนึ่งของ FBR ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี

แม้การทำงานจะเสี่ยงถึงชีวิต แต่สิ่งที่สัมผัสได้จากเจ้าหน้าที่FBR ทุกคนก็คือ พวกเขาภูมิใจที่ได้ทำงานเพื่อประชาชน เช่นเดียวกับนอแอ้ ทาดาวา นางพยาบาลสาวอีกคนหนึ่งที่กล่าวไว้ในรายงานชื่อA campaign of brutality (ปี พ.ศ. 2551) ของ Free Burma Ranger ว่า“แน่นอน ฉันกลัวทหารพม่า แต่ฉันไม่มีทางยอมแพ้ เพราะฉันเชื่อในพระเจ้า และเมื่อทหารพม่ามา ฉันจะวิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้านเมื่อพวกทหารพม่ากลับไป เราก็จะเริ่มชีวิตใหม่และเริ่มทำงานอีกครั้ง ฉันมีความสุขที่ได้ทำสิ่งนี้”

ทหารเคเอ็นยูยังคงปฏิบัติหน้าที่คุ้มครอง
ผู้พลัดถิ่นภายในแม้จะเหลือขาเพียงข้างเดียว
อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของพวกเขาในการลงพื้นที่ในแต่ละครั้งคือการหาข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากทหารพม่าเผยแพร่ออกไปยังโลกภายนอก ดังนั้น ภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับผู้พลัดถิ่นภายในที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ ชนกลุ่มน้อยที่เราเห็นตามเว็บไซต์ข่าวต่างๆ หรือในเว็บไซต์ยูทูปส่วนใหญ่จึงเป็นผลงานของเจ้าหน้าที่ FBRแม้จะไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ จากการเข้าร่วมกับองค์กร แต่ก็ยังมีหนุ่มสาวที่ รักชาติทยอยเข้ามาเป็นอาสาสมัครอย่ างต่ อเนื่ อง รวมทั้งชาวต่างชาติจากหลากหลายประเทศ

ปัจจุบัน FBR มีสมาชิกทั้งหมด 250 คน จาก 59 ทีม ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายกว่า 10 ชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในพม่า โดยทีมเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ใน 7 รัฐ ซึ่งรัฐกะเหรี่ยงมีทีม FBR มากที่สุดโดยผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าหน้าที่ FBR จะต้องผ่านการอบรมเป็นเวลา 6 - 8สัปดาห์ ซึ่งจะจัดอบรมทุกๆ ปีในประเทศพม่า โดยในระหว่างการอบรมพวกเขาจะได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสื่อสาร ทั้งการถ่ายรูปและถ่ ายภาพวิดีโอ การใช้วิทยุสื่ อสารซึ่ งมีประโยชน์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำเป็นรายงาน ได้รับการอบรมในด้านการรักษาพยาบาลซึ่งรวมไปถึงการทำคลอด การผ่าตัดช่วยเหลือผู้ที่เหยียบกับระเบิด การอ่านแผนที่และการเก็บกู้ระเบิดเป็นต้น นอกจากการส่งเสริมศักยภาพในด้านต่างๆ แล้ว สมาชิกทุกคนยังได้รับการฝึกฝนในการเป็นผู้นำ รวมถึงการส่งเสริมความสามัคคีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย

“การอบรมและให้ความรู้โดยเฉพาะในเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่กับกลุ่มชาวบ้านที่เป็นคนในพื้นที่โดยตรง ถือเป็นการส่งเสริมความสามารถของพวกเขาในการที่จะช่วยเหลือคนของพวกเขาเองได้ต่อไป และหากคุณในตอนนี้เป็นเด็กที่อยู่ในหมู่บ้านและพบเห็นสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัว คุณอาจจะถามตัวคุณเองว่า ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาติเดียวกัน ทางเลือกทางเดียวคือการเข้าร่วมกับกองทัพ แต่ตอนนี้สิ่งที่เราอบรมไปได้ส่งผลให้คนหนุ่ มสาวได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง ซึ่ งหากวันหนึ่ งมีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลพม่า พวกเขาเหล่านั้นก็พร้อมในฐานะผู้นำที่จะปกครองประเทศต่อไป” เจ้าหน้าที่ Free Burma Ranger เคยกล่าวให้สัมภาษณ์กับนักเขียนที่ชื่อ Antonio Graceffo
ทีม FBR ขณะเดินทางไปปฏิบัติงานในเขตสู้รบ

ส่ วนคุณสมบัติของผู้ที่ จะไปเป็นเจ้าหน้าที่ FBR จะต้องอายุ18 ปี ขึ้นไป สามารถอ่านเขียนภาษาท้องถิ่นได้อย่างน้อย 1 ภาษา และต้องมีร่างกายแข็งแรง เพราะต้องเดินเท้าเป็นเวลานานในการเดินทางเข้าไปหาชาวบ้าน ซึ่งเคยมีเจ้าหน้าที่ของ FBR กล่าวเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

“ความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ของ Free BurmaRanger ทุกคนต้องมีก็คือ กำลังขาที่แข็งแรงและวิ่งได้เร็วเหมือนนักวิ่ง ซึ่งจำเป็นมากในยามที่ต้องเผชิญหน้ากันกับทหารพม่า”แม้เจ้าหน้าที่ FBR จะหลีกเลี่ยงในการเผชิญหน้ากับทหารพม่าโดยตรงแต่ พวกเขาจะไม่ หนีในกรณีที่ ชาวบ้านไม่ สามารถหลบหนีจากทหารพม่าได้ ซึ่งการไม่ทอดทิ้งชาวบ้านในยามที่เผชิญอันตรายนั้นถือเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญมากที่สุด นอกจากจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งแล้ว พวกเขายังต้องมีความเข้มแข็งด้านจิตใจ มีความกล้าหาญและพร้อมเผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่อยู่เบื้องหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา


 เจ้าหน้าที่ FBR แบกร่างผู้ป่วย
ส่วนการลงพื้นที่ในแต่ละครั้งของ FBR ต้องใช้เวลาราว 1 – 2 เดือนหรือมากกว่ านั้น ขึ้นอยู่ กับสถานการณ์ในพื้นที่ จะดีขึ้น ทั้งนี้ในแต่ ละทีมจะประกอบด้วย ผู้นำประจำทีม ช่ างภาพวิดีโอ หมอที่ปรึกษา นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านอีกกว่า 20 ชีวิตที่ทำหน้าที่แบกสิ่งของสัมภาระที่จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้าน อย่างไรก็ตาม แม้ทหารพม่าและหนทางอันยากลำบากจะเป็นอุปสรรค์สำคัญในการทำงาน แต่ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา พวกเขาสามารถปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือชาวบ้านได้มากกว่า 400 ครั้ง และช่วยเหลือผู้ป่วยได้กว่า 4 แสนคน และมีชาวบ้านได้รับความช่วยเหลือมากกว่า 1 ล้านคนแล้ว

รอยยิ้มของเด็กๆ ขณะทำกิจกรรมที่จัดโดย FBR
“ผลดีในระยะยาวเกี่ยวกับงานที่เราทำก็คือ ช่วยให้ชาวบ้านมีกำลังใจ ไม่มีใครพูดได้ว่ามันจะได้ผลแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในเขตสู้รบรับรู้ว่าโลกภายนอกไม่เคยลืมพวกเขาซึ่งนั่นทำให้พวกเขามีความหวังอยู่เสมอว่า สิ่งเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเขาจะจบลงในสักวันหนึ่ง และนั่นทำให้พวกเขาเดินได้ต่อไป”เจ้าหน้าที่ FBR กล่าว

นับตั้งแต่ FBR เริ่มปฏิบัติหน้าที่จนถึงปัจจุบัน มีเจ้าหน้าที่ FBRเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือชาวบ้านแล้วจำนวน 10 คนโดยเสียชีวิตจากการเหยียบระเบิด ถูกสังหารจากทหารพม่า นอกจากนี้บางส่ วนยังเสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย ขณะที่ ปัจจุบันพม่ ามีผู้ผลัดถิ่ นภาย ใน (Internally Displaced Persons - IDP) ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าประมาณ 1 ล้านกว่าคน

อาจกล่าวได้ว่า FBR ไม่เพียงแค่เปรียบเสมือนเป็นแสงไฟในคืนมืดมิดให้กับชาวบ้านอีกนับหลายแสนหลายล้านชีวิตในพม่ าเท่ านั้นแต่เชื่อว่า พวกเขายังเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นในอนาคตของพม่าได้ และจากการทุ่มเททำงานและเสียสละให้กับชาวบ้านอย่างแท้จริง

คงไม่ผิดนักหากเราจะยกย่องพวกเขาในฐานะฮีโร่ตัวจริง ในยุคนี้.