สัมภาษณ์ : จิตติมา ผลเสวก

ในบรรดาศิลปิน นักเขียนที่ทำงานกับภาคประชาชน จิตติมา ผลเสวก เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานด้านนี้มานานด้วยใจรักและทุ่มเท ทั้งยังเชื่อมั่นว่าพลังของศิลปะสามารถสื่อสารเรื่องราวไปสู่สังคมได้ การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเรื่องเขื่อนปากมูล เกษตรอินทรีย์ เขื่อน การเมืองเรื่องพม่า งานของจิตติมาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวเหล่านี้เสมอ

ทศวรรษ 2540 ที่ผ่านมา จิตติมาได้สัมผัสความเคลื่อนไหวของศิลปะและสถานการณ์ของศิลปินในประเทศพม่า ทั้งยังมีโอกาสจัดกิจกรรมศิลปะร่วมกับศิลปินพม่าอีกด้วย  ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เธอมีเรื่อง "พม่า" มากมายที่อยากเล่าให้กับคนไทยรับรู้



อยากให้เล่าถึงที่มาของความสนใจในประเทศพม่าและประสบการณ์ทำงานศิลปะกับศิลปินพม่า

ดิฉันไม่ได้รู้สึกไม่ชอบพม่าเหมือนกับที่แบบเรียนไทยปลูกฝังเรื่องเสียกรุงศรีอยุธยา ดิฉันมองว่านั่นเป็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านไปแล้วประกอบกับติดตามสถานการณ์ในพม่าหลายๆ เรื่องมาอย่างต่อเนื่อง คิดว่าพม่าเป็นประเทศที่มีศิลปวัฒนธรรมยิ่งใหญ่มาก สมัยก่อนพม่ายังไม่เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว ก็ตั้งใจว่าเปิดเมื่อไหร่จะไปให้ได้ และได้ไปพม่าจริงๆ เมื่อปี พ.ศ. 2544 เพราะเพื่อนชาวสิงคโปร์ที่ทำงานด้านศิลปะเชิญเข้าไปทำกิจกรรมศิลปะร่วมกับศิลปินพม่า


เพื่อนของดิฉันคนนี้แต่งงานกับคนเยอรมัน ไปทำงานศิลปะที่ยุโรปเป็นเวลาสิบปี หลังจากนั้นเขาได้เงินจากกองทุนในทวีปยุโรปมาทำ กิจกรรมในพม่าผ่านองค์กรชื่อ "นิก้า"(NIKA) องค์กรนี้แหละที่เชิญดิฉันไปพม่า โดยให้ทุนเดินทางในพม่าหนึ่งเดือนเต็ม ก่อนจะมาเปิดเวิร์คชอปร่วมกับศิลปินพม่าที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะว่าไปถ้าเขาไม่เชิญดิฉันก็จะขอไปเองอยู่แล้ว


ตอนที่รู้ว่าจะได้ไปไม่ลังเล แม้จะพูดภาษาพม่าไม่ได้แต่ก็ไม่รู้สึกกลัว เพราะคิดว่าคนในองค์กรที่เชิญย่อมรู้จักพม่าดี แค่เราต้องระวังไม่ยุ่งเรื่องการเมืองของเขา ความคิดตอนนั้นคือถ้าไปแบบนักท่องเที่ยวก็ไม่น่าจะมีปัญหา อีกอย่างอันตรายน่าจะมาจากทหารมากกว่าประชาชน



ทราบว่ามีโอกาสเดินทางไปสถานที่สำคัญและน่าสนใจหลายแห่ง

ช่วงนั้นมีโครงการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวินที่จะส่งผลกับคนในพื้นที่ จึงตัดสินใจว่าจะทำ Perfomance Art เกี่ยวกับแม่น้ำ ดังนั้น จึงเดินทางไปดูวิถีชีวิตชาวบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อมริมแม่น้ำสองสาย คือ อิรวดีกับสาละวิน ใช้เวลาหนึ่งเดือนลงพื้นที่ เริ่มจากย่างกุ้ง ไปสะกาย มัณฑะเลย์ ขึ้นเหนือไปตองยีซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐฉานไปจนถึงทะเลสาบอินเล จากนั้นย้อนกลับมาย่างกุ้ง ลงใต้ไปพะอัน เมืองหลวงรัฐกะเหรี่ยง ไปต่อที่มะละแหม่งในรัฐมอญซึ่งเป็นปากแม่น้ำสาละวิน ก่อนกลับมาทำเวิร์คชอปกับศิลปินพม่าในย่างกุ้ง ความจริงงบประมาณส่วนหนึ่งเราออกเอง เพราะเขาไม่ได้คิดว่าเราจะเดินทางมากขนาดนี้ 


ที่ตั้งใจมากคือไปตองยี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐฉาน เพราะอ่านข้อมูลมาว่าแม่น้ำสาละวินไหลผ่านรัฐฉานด้วย ดิฉันขึ้นรถโดยสารซึ่งเก่ามากเป็นรถมือสองจากเกาหลี ถนนที่ไปคดเคี้ยวขึ้นเขาสูงยิ่งกว่าถนนไปแม่ฮ่องสอน แต่ธรรมชาติบริสุทธิ์มาก การไปตองยีทำให้ได้สัมผัสคนไทยใหญ่ ได้ไปที่อนุสาวรีย์นายพลอองซาน ยังได้พบคนไทยใหญ่ที่พูดไทยได้ซึ่งช่วยดิฉันหลายเรื่อง พาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไป "บ้านปะโอ"  หรือชาวตองสู หนึ่งในชนกลุ่มน้อยซึ่งในอดีตเคยร่วมลงนามในสนธิสัญญา "ปางโหลง" สมัยที่นายพลอองซานขอความสนับสนุนจากชนกลุ่มน้อยเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษโดยมีข้อแม้ว่า ในสิบปีหากชนกลุ่มน้อยไม่พอใจก็แยกเป็นประเทศอิสระได้ หมู่บ้านนี้ถ้าไปเองคงไม่มีโอกาส เพราะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป


แต่ไปตองยีก็ไปไม่ถึงพื้นที่ที่แม่น้ำสาละวินไหลผ่าน เริ่มได้สัมผัสสาละวินจริงๆ คือช่วงลงใต้ไปพะอันและเมาะละแหม่ง ที่นั่นเราเห็นแม่น้ำแผ่กว้างไหลลงอ่าวเมาะตะมะ เป็นที่สุดของเราแล้วที่ได้เห็นมะละแหม่งยังเป็นเมืองมอญที่ไม่เปลี่ยนมากนัก เช้าๆ ยังได้ยินเสียงรถม้าวิ่งผ่านที่พัก ที่นี่ยังมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับไทยด้วย คนมะละแหม่งหลายคนพูดไทยได้เพราะเคยมาทำงานในเมืองไทย ดิฉันได้เพื่อนคนหนึ่งชื่อทน ทำงานอยู่ที่โรงแรมที่ไปพัก พูดภาษาอังกฤษเก่งมากและให้ความช่วยเหลือหลายเรื่อง เทียบสถานที่ทั้งหมดแล้วชอบพื้นที่แถบนี้มากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้



เคยได้ยินว่าบางเขตของรัฐกะเหรี่ยงและมอญยังไม่เปิดให้ท่องเที่ยว
มีบางพื้นที่ในรัฐที่เคยเป็นของชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลพม่าไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไป ดิฉันก็ไปในพื้นที่ที่เขาไม่หวงห้าม ดิฉันยังไปเจอฝรั่งในเมืองเหล่านี้ แต่แน่นอนว่าจำนวนฝรั่งน้อยกว่าที่มัณฑะเลย์หรือพุกามซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของพม่า



อุปสรรคระหว่างเดินทาง
ทำอะไรที่เจาะลึกมากไม่ได้ ข้อจำกัดมีมาก พอลงจากเครื่องที่สนามบินมิงกาลาดง คนมารับก็มาเตือนว่าไม่ควรพูดอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเมืองเพราะพม่ามีการจับตามองเรื่องนี้  ยิ่งกับคนทำงานศิลปะด้านสื่อก็ยิ่งโดนตาม บ้านอองซาน ซูจีก็ห้ามเด็ดขาดแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้บริเวณหรือถนนแถวนั้น เราต้องทำตามคำแนะนำเพราะไม่อย่างนั้น
เวลามีเรื่องเราอาจโดนแค่ส่งกลับประเทศ แต่คนที่เชิญเราไปจะเดือดร้อนมากดิฉันใช้วีซ่าแบบนักท่องเที่ยวเพราะไม่มีทางขอวีซ่าแบบอื่นได้นอกจากขอวีซ่านักธุรกิจซึ่งแพงขึ้นไปอีก อีกอย่างคือวีซ่าสำหรับนักปฏิบัติธรรม ซึ่งต้องมีสถานปฏิบัติธรรมในพม่ารับรอง ที่พม่ามีกฎว่านักท่องเที่ยวห้ามพักตามบ้านคนทั่วไป ซึ่งน่าจะเป็นนโยบายเพื่อดูดเงินเข้าประเทศและป้องกันปัญหาทางการเมือง แต่ดิฉันพักอยู่ในบ้านที่เป็นสำนักงานของนิก้าซึ่งทราบว่ามีการติดต่อเป็นกรณีพิเศษกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น


อยากให้เล่าความประทับใจระหว่างการเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ในพม่า
ดิฉันเดินทางคนเดียว ไปหยุดอยู่ตามเมืองต่างๆ จุดละหลายวัน แรกๆ กลัวบ้างเพราะที่ผ่านมาประเทศนี้ปิดมาตลอด ที่ประทับใจคือชาวบ้านในพม่าเป็นมิตรมาก เข้าใจว่าสิ่งที่น่ากลัวในพม่าคือรัฐบาลทหารมากกว่าประชาชน ยิ่งคนไทยใหญ่กับมอญจะชอบและรู้สึกใกล้ชิดกับคนไทยมาก อีกอย่างคือดิฉันประหลาดใจเรื่องห้องน้ำตรงที่พักรถโดยสารบางจุดบ้านเขาสะอาดกว่าห้องน้ำบ้านเราเสียอีก แม้จะไม่ได้หรูหรามากมาย


ช่วงที่นั่งรถกลับจากตองยีมาย่างกุ้ง ดิฉันขึ้นรถผิดแล้วเด็กบนรถพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งพูดกับเรา แม้จะพูดได้น้อยแต่ก็ช่วยถือของย้ายรถ บอกคนขับให้ ประทับใจเรื่องนี้มาก  เราดื่มด่ำกับวิถีชีวิตคนพม่ามากอาจเพราะวิธีการเดินทางที่เราหยุดตามจุดต่างๆ แล้วเดินไปตามตรอกซอกซอย จริงๆ จะขึ้นเครื่องบินระหว่างเมืองก็ได้ แต่การนั่งรถนี่แหละทำให้เราได้สัมผัสกับผู้คน



ช่วยเล่ากิจกรรมที่เกิดขึ้นในเวิร์คชอปกับศิลปินพม่าครั้งนั้น
มีกิจกรรมร่วมกับศิลปินพม่า 2 วัน เริ่มจากการเสวนาแลกเปลี่ยนจากนั้นแต่ละคนนำเสนอ Performance Art ของตัวเอง งานที่ดิฉันทำเรียกว่า Performance Art เป็นงานศิลปะสดปะทะกับผู้ชมโดยตรง มีกระบวนการทำงาน ต้องมีการเตรียมตัว เตรียมวัสดุ จัดการความคิด ใช้สื่อต่างๆ แต่จะไม่มีการติดตั้งผลงานแสดงอย่างถาวรเท่านั้น ในบ้านเราศิลปะด้านนี้อาจนำไปผูกกับการแสดงออกทางการเมือง เพราะที่ผ่านมาศิลปินกลุ่มนี้อาจมีความสนใจปัญหาสังคมและการเมืองค่อนข้างมาก ช่วงนั้นคนพม่าสนใจศิลปะแบบนี้มากเพราะศิลปินอาวุโสของเขาบางคนมาร่วมงาน "เอเชียโทเปีย" งานแสดง Performance Art ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งเริ่มจัดที่เมืองไทยเมื่อปี 2542 แล้วศิลปินชาวพม่าที่มาร่วมงานได้กลับไปเผยแพร่ศิลปะสาขานี้ให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น


ดิฉันเล่าเรื่องศิลปะแขนงนี้ในเมืองไทยให้เขาฟัง เล่าถึงการทำงานของเรา ฉายสไลด์ให้ดู เรื่องฉายสไลด์นี่ทำได้เฉพาะกับกลุ่มคนที่เราไว้ใจเท่านั้น เพราะเสี่ยงต่อสายลับของพม่า ส่วนงานที่แสดงเป็นลักษณะให้ทุกคนที่มาชมเขียนความรู้สึกเกี่ยวกับแม่น้ำลงบนกระดาษ จากนั้นเอามาอ่าน เสร็จแล้วเอาทั้งหมดจุ่มในปูนปลาสเตอร์ เอาออกมาวางๆ ให้มันแข็งตัว เป็นการเล่นกับความคิดและความรู้สึกของคนที่มีต่อแม่น้ำ   เพราะสิ่งที่เขียนในกระดาษคือสิ่งที่ออกมาจากภายในของเขา ซึ่งในที่สุดมันถูกทำลายลง เหมือนกับว่าถ้าแม่น้ำโดนทำลายแล้วมันก็ไม่เหลืออะไร จำได้ว่ามีศิลปินเข้าร่วมเยอะ มีคนเข้าชมมาก



ใช้วิธีใดสื่อสารกับศิลปินพม่า

ดิฉันไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ ภาษาพม่าก็พูดไม่ได้ เบื้องต้นใช้ภาษาอังกฤษง่ายๆ ใครที่คิดว่าพม่าเคยเป็นอาณานิคมอังกฤษแล้วคนจะเก่งภาษา ลืมความเชื่อนี้ไปเลยเพราะไม่จริง คนพม่าไม่ต่างกับคนไทยถ้าได้รับการศึกษาจะพูดภาษาอังกฤษได้ ตอนอยู่นิก้าดิฉันได้คุณปัญญาซึ่งเป็นคนดูแลสถานที่คอยช่วยเรื่องนี้ ส่วนตอนที่แสดงงานและแลกเปลี่ยนกับศิลปินพม่าได้แม่ชีไทยท่านหนึ่งช่วยเป็นล่ามให้ แม่ชีไปปฏิบัติธรรมในพม่าร่วม 20 ปี ซึ่งท่านฟังเราแล้วแปลจากไทยเป็นพม่าได้เลย ทำให้คุยกันในเรื่องที่ลึกๆ ระหว่างศิลปินด้วยกันได้ง่ายขึ้น



ทราบว่าการไปพม่าครั้งนั้นได้เขียนหนังสือหนึ่งเล่ม 

"พม่าคราหนึ่ง" งานรวมเล่มนี้มาจากการเขียนลงในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์เป็นตอนๆ น่าจะสามสี่เดือนแล้วสำนักพิมพ์อมรินทร์ไปพิมพ์รวมเล่มให้ เป็นผลงานเขียนเพียงชิ้นเดียวที่เกิดจากการเดินทางเข้าไปพม่าในครั้งนั้น ดิฉันได้กลับไปพม่าอีกครั้งน่าจะประมาณปี 2547 ไปที่รัฐมอญรัฐกะเหรี่ยง เจอเรื่องตื่นเต้นคือรถโดยสารที่ขึ้นข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสาละวินนอกเมืองพะอัน เราโผล่หัวไปถ่ายรูปสะพาน มีทหารคนหนึ่งตรงเชิงสะพานเห็นแล้วชี้มาที่เรา แต่โชคดีว่ารถวิ่งต่อไปโดยที่ไม่จอด ตอนนั้นเขาค่อนข้างเข้มงวดเพราะนายพลตานฉ่วยจะไปเปิดสะพานแห่งหนึ่งที่มะละแหม่ง ด้วยความระแวงชนกลุ่มน้อยจะมาลอบสังหารก็ปล่อยข่าวลวงว่าจะมาวันนั้นวันนี้ ข้าราชการก็ต้องเกณฑ์คนไปยืนแถวต้อนรับเก้ออยู่หลายวัน ฝรั่งบางคนโดนกักอยู่ในรถไม่ให้เข้าเมืองอยู่เป็นวันด้วยสาเหตุนี้ นี่แสดงให้เห็นถึงคนที่อยู่ในอำนาจอย่างไม่ชอบธรรม พอออกจากวงล้อมของตัวเองก็มีแต่ความหวาดระแวงไม่เป็นสุข



อยากให้เล่าสถานการณ์ของศิลปินพม่า ผลงานของเขามีจุดเหมือนและต่างกับผลงานของศิลปินไทยอย่างไร

ศิลปินพม่าส่วนมากใช้งานศิลปะสื่อถึงความงามของธรรมชาติ ศาสนา ไม่ค่อยมีเรื่องการเมืองเพราะถูกปิดกั้น ศิลปินพม่าบางคนอาทิ จิตรกร แสดงออกในภาวะนี้ด้วยงาน Abstract  ส่วนคนทำงาน Performance Art ก็มีที่พยายามพูดเรื่องการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่โดดเด่น อาจเป็นเพราะชั่วโมงบินในการทำงานศิลปะแนวนี้ของศิลปินพม่าอาจยังน้อยเมื่อเทียบกับบ้านเรา อีกอย่างตามความรู้สึกส่วนตัวของดิฉันศิลปินพม่ายังอยู่อย่างกระจัดกระจายไม่มีเอกภาพ


อุปสรรคของศิลปินพม่าคือการเมือง ถ้าศิลปินพม่าจะพัฒนาตนเองต้องออกนอกประเทศอย่างเดียว แต่ก็ไม่ง่าย เป็นผู้หญิงก็ยิ่งยาก  ทำหนังสือเดินทางโดนตรวจสอบนานมาก ยกเว้นจ่ายใต้โต๊ะจะเร็ว ดังนั้นสำหรับศิลปินที่อยู่ในประเทศ การแสดงงานก็ทำยาก ที่ผ่านมาเคยมีศิลปินพม่ารุ่นใหม่จะจัดแสดงศิลปะ ขอทุนจากต่างประเทศและจะทำให้ถูกต้องด้วยการขออนุญาตทางการพม่า แต่ไม่สำเร็จ ทราบว่าหัวข้องานศิลปะของศิลปินบางคนโดนเซ็นเซอร์ จริงๆ ถ้าจะจัดงานศิลปะแลกเปลี่ยน  แบบนี้ก็จัดไปเลย ไม่ต้องไปขอ ถ้ามีศิลปินต่างชาติมาร่วมด้วยก็ให้เข้าไปแบบนักท่องเที่ยว ไม่งั้นไม่มีทางได้ทำ ในทางกลับกัน ศิลปินพม่าที่ออกมาถ้าพูดโจมตีรัฐบาลก็อาจกลับประเทศไม่ได้

ถ้าจะทำงานศิลปะในพม่า ศิลปินต้องแลกกับอะไรบ้าง
ในอดีตวงการศิลปะพม่าเจริญมาก ศิลปินหลายคนมีชื่อเสียงระดับโลก มหาวิทยาลัยศิลปะของเขาก็มี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแช่แข็งด้วยปัญหาการเมือง ศิลปินพม่าต้องศึกษาและพัฒนางานด้วยตัวเอง อาจศึกษาจากงานคนรุ่นก่อน เขาก็มีต้นแบบอยู่เช่นกันเหมือนกับศิลปินไทย ส่วนศิลปินที่ทำงาน Performance Art ก็มีต้นแบบของเขา


จะว่าไปแล้ววงการศิลปินพม่าเริ่มทำงานลักษณะนี้ในช่วงที่ใกล้เคียงกับวงการศิลปินบ้านเรา เพียงแต่ทุกสิ่งในประเทศเขาโดนตัดตอน ตอนนี้ ศิลปินบ้านเขาพยายามฟื้นฟู แน่นอนหลายคนอยากออกนอกประเทศเพราะรู้สึกว่ามีอะไรให้เรียนรู้ ที่สำคัญมีอิสระ จำได้ว่าศิลปินพม่าคนหนึ่งที่เชิญมาทำงานศิลปะที่ริมแม่น้ำสาละวินฝั่งไทยก็พูดในสิ่งที่พูดในประเทศไม่ได้ว่าแม่น้ำไม่ได้มีไว้ขาย เขาก็เต็มที่ในการทำงานเช่นกันถ้ามีโอกาส   คิดว่าถ้าเปิดประเทศเมื่อไหร่ศิลปะพม่าจะก้าวหน้า


จากการเดินทางพบว่าในพม่าแม้แต่เมืองเล็กๆ อย่างอินเลก็มีแกลเลอรี่เอกชน แต่กลับมาดูบ้านเราเมืองที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญกลับหาแกลเลอรี่ยาก ศิลปินพม่ายังพยายามผลิตงานภายใต้ภาวะกดดัน แม้วัสดุอุปกรณ์ไม่พร้อม อาทิ ต้องใช้สีคุณภาพต่ำจากจีนและอินเดียก็ตาม เราสัมผัสเรื่องนี้ได้ดี


ศิลปินในพม่าลำบากที่จะยึดเป็นอาชีพ ทำผลงานก็ไม่รู้จะขายใคร ส่วนมากทำอาชีพอื่นด้วย ที่เมืองไทยดีกว่า แต่เมืองไทยศิลปินจะร่ำรวยได้ก็เฉพาะคนที่มีชื่อเสียงนะ ต้องดังแล้วจะมีรายได้จากการขายผลงานให้ ไฮโซ ถ้าทำงานโหดๆ ไม่ขาย (หัวเราะ) ก็ต้องหาอาชีพอื่นทำด้วย ดิฉัน อยู่ได้ด้วยการเขียนหนังสือมากกว่างานด้านศิลปะ อย่างไรก็ตามศิลปินพม่าแม้มีข้อจำกัดเยอะแต่หลายคนฝีมือดี ยิ่งคนทำงาน Performance Art ตอนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ



ศิลปินพม่ามีความหวังกับการเปลี่ยนแปลงประเทศตนเองแค่ไหน
ทุกคนหวัง แต่ก็อย่างที่ทราบ รัฐบาลทหารพูดกับประชาชนด้วยปืน ทำอะไรหน่อยก็โดนขัง คุกก็โหดมาก อีกอย่างคิดว่าศิลปินของพม่าไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ไม่มีเอกภาพ การผลิตผลงานถูกนำเสนอในกลุ่มเล็กๆ คนที่ออกมานอกประเทศได้ก็ยังเป็นคนหน้าเดิมๆ วนกันไปวนกันมา จริงๆ ประเด็นเรื่องเสรีภาพไม่ใช่แค่เป็นปัญหากับศิลปินพม่า ศิลปินจากสิงคโปร์แม้ว่าจะเจริญรุดหน้าด้านเศรษฐกิจแต่ก็โดนจำกัดทางการแสดงออกในบ้านเมืองของเขาเหมือนกัน ต่างกับบ้านเราที่ถือว่าไปไกลและอิสระมากในแง่นี้หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ



ในฐานะศิลปินไทยมีมุมมองต่อการเมืองพม่าอย่างไร

ที่ผ่านมาคนพม่าพยายามต่อสู้แต่ทำอะไรไม่ได้ จริงๆ การเปลี่ยนแปลง ต้องมาจากคนในประเทศพม่าเท่านั้น ใครคิดว่าจะบุกจากข้างนอกแบบอเมริกาบุกอิรักก็น่าเกลียดเกินไป อยากตั้งข้อสังเกตว่าช่วงที่พระสงฆ์ลุกขึ้นมานำ ถ้าประชาชนลุกขึ้นหนุนเต็มที่ทำให้สุดๆ เลยอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่นั่นหมายถึงชีวิตประชาชนต้องล้มตายจำนวนมาก แต่โลกต้องช่วยกันกดดันด้วยอาจจะทำได้ก็ได้ แต่ก็ทราบดีว่าเรื่องนี้ใหญ่มาก   มันเกี่ยวกับคนหนุนหลังอย่างจีนกับอินเดียด้วยว่ามีท่าทียังไง


บอกตามตรงว่าในแง่การเมืองยังมองไม่เห็นว่ากลุ่มศิลปินจะทำอะไรได้ ดิฉันอาจไม่ได้รู้ลึกเรื่องนี้ แต่เท่าที่เห็นเขามีการเคลื่อนไหวแต่มันลำบาก อยากให้พวกเขาทำงานต่อไป แล้วพยายามหาโอกาสออกมา คุยกับศิลปินต่างประเทศมากๆ มาจัดงานแลกเปลี่ยนความคิดกันมาเจอกัน ศิลปินไทยก็นึกไม่ออกว่าจะช่วยเขาได้ยังไงในแง่การเมือง จะให้ไปอ่านบทกวีหน้าสถานเอกอัครราชทูตพม่าก็ไม่มีผล ตอนนี้หมดหวังกับการประท้วงหน้าสถานทูตแล้ว ที่น่าจะทำได้คือมีงานศิลปะก็พยายามดึงศิลปินพม่ามาแลกเปลี่ยนกัน แน่นอนศิลปินไทยบางคนก็อาจมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคนพม่า ประเทศพม่า บางคนมองในลักษณะเหยียดหยามผลงานด้วยซ้ำ แต่ก็ธรรมดาเพราะทุกสังคมมีคนแบบนี้


โครงการศิลปะแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่คิดมาตลอดแต่ไม่มีทุน อยากจัดงานศิลปะในพม่าแล้วเชิญศิลปินเมืองไทยไปร่วม อยากให้มีการอ่านบทกวีโดยผู้หญิงแถบเอเชีย เช่น ลาว พม่า เขมร ไทย ตอนนี้ก็คิดจัดงาน ศิลปะลุ่มน้ำโขงเชิญศิลปินจากจีน เวียดนาม พม่า ลาว เขมร และไทย มาทำงานในพื้นที่แม่น้ำโขงที่กำลังจะมีโครงการสร้างเขื่อน คิดมาตลอดแต่เงินทุนทำอะไรแบบนี้หายากมากหากมีโอกาสยังอยากกลับไปเยือนพม่าอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่มีงานอะไรให้เข้าร่วมก็ตาม.