เขียนโดย : มูมู (อินลยาะ)
แปลโดย : Numripan
แปลโดย : Numripan
สามวันแล้วที่ไฟฟ้าดับ ผู้คนที่นี่เริ่มซึมเซาและสิ้นหวัง แม้ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์จะก้าวไกลไปมากแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ไฟฟ้าดับเหมือน ย้อนอดีตไปในสมัยที่โลกเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ไม่มีผิด นาฬิกาเพิ่งบอกเวลาหนึ่งทุ่ม แต่บนท้องถนนในเวลานี้กลับไร้ผู้คนไม่มีเสียงดนตรีเหมือนที่เคย กลุ่มเด็กๆ ที่มักวิ่งเล่นบนถนนก็เหลือแต่ความว่างเปล่า ร้านเหล้าขาวตรงปากซอยที่เคยมีลูกค้าหนาแน่นตอนนี้เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ข่าวสารจากเสียงตามสายก็ไม่ได้ยินมาหลายวันล้ว ทุกสิ่งรอบๆ ตัวช่างเงียบเหงาและตกอยู่ในความมืดใต้ท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์
ข้าวสารที่ฉันแช่น้ำไว้เตรียมจะบดส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยมาเป็นระยะๆ เพราะ ไฟฟ้าดับ ฉันตัดสินใจเททิ้งเพราะทนกลิ่นของมันไม่ไหว ทันใดนั้นก็มองไปเห็นหญิงสาวเชื้อสายอินเดียถือตะกร้าผ้าย่างกรายเข้ามาใกล้ฉันอย่างช้าๆ ทันทีที่เธอเห็นฉันก็อดบ่นให้ฉันฟังไม่ได้
“พี่รู้ไหมฉันไม่ได้ขายขนมมาสามวันแล้ว จนที่บ้านแทบไม่มีจะกินแล้วเนี่ย” เธอพูดพลางนำเสื้อผ้าของเธอมาซักทีละชิ้นๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจฟังสักเท่าไหร่เพราะกำลังคิดเรื่องของตัวเองอยู่
“ไฟดับ น้ำก็ไม่ไหล อย่าใช้น้ำเยอะ ก็แล้วกันนะ” ฉันจบบทสนทนาเพียงแค่นั้นเวลานี้ทุกคนต่างก็เดือดร้อนเหมือนๆ กัน ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ลำพังตัวเองและครอบครัวก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว
ปั๊มน้ำคันโยกหน้าหมู่บ้านดูเหมือนจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ เพราะทุกบ้านตักน้ำจากปั๊มน้ำแห่งนี้ไปใช้แต่พวกเราก็ต้องใช้อย่างประหยัด เช้านี้ฉันต้องเตือนลูกสาวตนโตเพราะเธอชอบล้างหน้านาน
นิตยสารหลายฉบับที่ออกมาใหม่ถูกกองไว้รวมกันเป็นตั้ง มีเล่มหนึ่งที่เพื่อนให้เป็น ของขวัญ แต่ตั้งแต่ไฟฟ้าดับ ฉันยังไม่มีโอกาส อ่านซักเล่ม คิดว่าถ้าคืนนี้ลูกๆ หลับแล้วจะ หยิบขึ้นมาอ่านดู ฉันมองไปยังร้านเช่าหนังสือสองแห่งที่อยู่ใกล้บ้าน ป่านนี้เจ้าของคงปิดประตูเข้านอนกันหมดแล้ว
ฉันนึกถึงเหตุการณ์ตอนกลางวันที่ทำให้หงุดหงิดใจ เพราะลูกทั้งสองคน แทนที่จะทำการบ้านกลับนั่งอ่านการ์ตูนอย่างสบายอารมณ์ ฉันจึงบอกลูกๆ ว่า
“เวลากลางวันอ่านหนังสือเรียนและทำการบ้านสิลูก เพราะถ้าอ่านตอนกลางคืนต้องใช้เทียนนะ เทียนเล่มหนึ่งราคาตั้งจั๊ตหนึ่งนะลูก”
ในคืนที่มืดสนิทอย่างคืนนี้ ดูเหมือนว่า ทุกอย่างรอบตัวน่ากลัวไปหมด ยิ่งมืดเท่าไหร่ ความกลัวก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น ปกติเวลานอน ฉันจะเปิดไฟดวงเล็กเล็กๆ ไว้ แต่ตอนนี้มันมืด ไปหมด ถ้าได้ดนตรีขับกล่อมเบาๆ ก็คงจะรู้สึก สบายใจมากกว่านี้
คืนที่หนึ่ง คืนที่สอง และคืนที่สามกำลัง จะผ่านไปแล้ว ความมืดและความเงียบเหงายังคงปกคลุมไปทั่วย่านนี้ ทำให้รู้สึกเหมือน ช่วงเวลากลางคืนยาวนานกว่าปกติ ชีวิต ประจำวันยุ่งยากมากขึ้น ยิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้า ทุกอย่างใช้การไม่ได้ เสียงพร่ำบ่นของผู้คนก็ดัง ขึ้นเรื่อยๆ เจอกันเมื่อไรก็คุยแต่เรื่องไฟฟ้าดับ ทั้งแม่ค้าข้าวเหนียว แม่ค้าถั่วต้ม หรือในร้านเสริมสวยต่างก็พูดเรื่องนี้ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า
สิ่งที่ฉันกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องของลูกทั้งสองเพราะใกล้จะสอบแล้ว จึงต้องจุดเทียนอ่านหนังสือลูกสาวก็กำลังจะสอบขึ้นชั้นแปด ไม่รู้ว่าปีนี้จะสอบได้คะแนนดีไหม เมื่อต้องมาเจอกับเหตุการณ์ไฟดับอย่างนี้
คืนไหนที่ลูกๆ ไม่ได้อ่านหนังสือเราจะ จุดเทียนแค่เล่มเดียวและจะมารวมกันอยู่จุดเดียว แต่ฉันก็เตรียมเทียนสำรองเอาไว้เสมอพอเทียนดับ ลูกชายคนเล็กก็มักจะพูดว่า “เฮ้อ เทียนดับอีกแล้ว” เมื่อถึงเวลานั้น พวกเด็กๆ ก็จะคะยั้นคะยอให้ฉันเล่าเรื่องผีให้พวกเขาฟังเพราะเล่าตอนไฟดับมันได้บรรยากาศขนหัวลุก หลังจากนั้นลูก ๆ ก็จะไม่กล้าไปห้องน้ำคนเดียว ต้องยกโขยงกันไปทั้งบ้าน
แต่ถึงอย่างไร ฉันยังนอนไมค่อยหลับและเริ่มเกลียดความมืดมากขึ้นทุกที เพราะปกติ ฉันจะเปิดไฟทิ้งไว้ เวลาลูกชายคนเล็กตื่นขึ้นมา กลางดึก แสงสว่างทำให้เขาหาฉันเจอและก็จะหลับต่อ แต่ในตอนนี้ครอบครัวเราและหมู่บ้านของเราอยู่ในความมืดมาสามวันแล้ว ทุกคน กำลังกลุ้มใจมาก
ฉันนึกถึงตอนที่มีไฟฟ้าใช้ เวลาค่ำๆ เด็กๆ ในหมู่บ้านก็จะออกมาเล่นบนถนนอย่างมีความสุข พอถึงทุ่มครึ่ง บ้านไหนมีทีวีทุกคนก็จะมารวมตัวกันอยู่หน้าทีวี เพราะในวัน ธรรมดาสถานีโทรทัศน์ของพม่าจะเริ่มออกอากาศเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็จะ ออกอากาศตอนกลางวันด้วย พอถึงสองทุ่ม ก็จะเป็นรายการข่าว เวลานี้พ่อแม่จะเรียกเด็กๆ กลับบ้านและกินข้าวอ่านหนังสือ แต่บางครั้ง เด็กๆ ก็แอบพ่อแม่ออกมาดูการ์ตูน แต่ถ้าเป็นวันเสาร์ที่มีหนังพม่า เด็กๆ และพ่อแม่ บางคนก็จะไปรวมตัวกันที่บ้านที่มีทีวีเพื่อรอดูหนัง บรรยากาศเหมือนกับสมัยก่อนตอนที่มีวิทยุออกมาใหม่ๆ บ้านไหนมีวิทยุ คนทั้งหมู่บ้านก็จะไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อฟังวิทยุ แต่ ตอนนี้ทุกบ้านมีวิทยุก็เลยก็ไม่ค่อยมีใครไปฟังวิทยุบ้านคนอื่นเหมือนแต่ก่อนแล้ว
นอกจากนี้ คืนวันเสาร์ยังมีรายการเพลงของนักร้องชื่อดัง ซึ่งเป็นรายการโปรดของ ผู้ใหญ่และวัยรุ่นในย่านนี้กันเลยทีเดียว ผู้ชมหลายคนต่างตั้งตารอคอยคืนวันเสาร์อย่างใจจดใจจ่อ แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ในคืนวันเสาร์ ประมานหนึ่งทุ่ม ไฟฟ้าก็มักจะดับเป็นประจำ ผู้คนที่รอดูทีวีต้องกลับบ้านด้วยความผิดหวัง บางคนทนไม่ไหวถึงกับสบถออกมาว่า“ไอ้ไฟฟ้าเฮงซวย..!!”
วันนี้เป็นวันเสาร์ ฉันเชื่อว่าทุกคนก็คงเฝ้ารออย่างลุ้นระทึกว่า คืนนี้ไฟฟ้าจะมา หรือเปล่า บางคนก็บอกว่าสายไฟซ่อมเสร็จแล้ว อีกไม่นานไฟก็คงจะมา
“ไม่ได้เห็นแสงไฟมาสามวันแล้ว เสียงานเสียการมาก็สามวันแล้วตักน้ำมาก็สามวันแล้ว เงินซื้อเทียนก็หมดแล้ว วันนี้ไฟน่าจะมา ได้แล้ว”
อีกเหตุผลหนึ่งที่หลายคนลุ้นให้ไฟฟ้ามาวันนี้เพราะมีละครที่ “จ่อตู กับ มุมุมิ้นอ่อง” ดารายอดนิยมร่วมแสดงด้วย การได้ดูละครที่มีดาราที่ชื่นชอบ ถึงจะน้ำเน่าไปซักนิด แต่ก็เป็น ความสุขอย่างหนึ่ง ฉันเชื่อว่า ในโลกนี้คงไม่มีใคร อยากปฏิเสธความสุขหรอก
“ไฟฟ้าจ๋า คืนนี้กลับมาเถอะ คนกับไฟฟ้าไม่ควรแยกกันอยู่นานแบบนี้นะ คืนนี้กลับ มาให้ทันละครด้วยเถอะถ้ามาทันรายการดนตรีก็จะดีมาก แต่ถ้าไม่ทันรายการดนตรีก็ขอ ให้ทันละครนะ นะ..นะ” ฉันพูดกับตัวเองในใจ
‘หนึ่งทุ่มแล้ว ใจฉันเริ่มเต้นแรง ไฟฟ้า จะวิ่งมาทางไหนนะ ถ้าต้อนรับไฟฟ้าได้ ฉันจะ ต้อนรับอย่างดีเลย หนึ่งทุ่มสิบห้า หนึ่งทุ่มครึ่ง รายการดนตรีไม่ทันแล้วทำยังไงดี แต่หลัง รายการพยากรณ์อากาศก็ยังมีรายการที่น่าสนใจอยู่นี่นา แต่ว่าเลยสองทุ่มแล้ว เริ่มหมดหวัง เสียแล้วเรา คืนมืดมิดและน่ากลัวกำลังจะมาถึง แล้ว’ ฉันมองดูนาฬิกาและพูดกับตัวเองเหมือนคนบ้า
‘สองทุ่มครึ่งแล้วจะรอไปทำไมน้า จุดเทียนแล้วให้เด็กๆ อ่านหนังสือเหมือนเดิม ดีกว่า ถ้าคืนไหนดับแล้วไม่ให้เด็กอ่านหนังสือ เด็กในหมู่บ้านนี้คงโง่กันหมด’ ฉันเริ่มหมดหวัง จนเวลาเดินไปจนถึงเวลาสองทุ่มสี่สิบห้า
“เย้ๆๆ” เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความดีใจ ฟังแล้วมันมีพลัง อย่างบอกไม่ถูก เด็กๆ ก็ตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความดีใจไม่แพ้กัน ทุกคนมีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมาหลายวัน ตอนนี้แสงจากไฟฟ้าส่องสว่างไปทั่วหมู่บ้าน เหมือนสว่างไปทั้งโลกด้วยซ้ำสำหรับคนที่นี่ บนถนนเต็มไปด้วยเด็กๆ วิ่งเล่น ส่งเสียงดังจอแจ ในขณะที่บางส่วนมารวมตัวกัน หน้าบ้านฉันเพื่อที่จะเข้ามาดูทีวี บางคนก็เคาะ ประตูเรียก
“ป้าจ๋าเปิดประตูให้หน่อย เปิดทีวีเร็วๆ ยังทันละครอยู่ ได้เห็นแค่ ชายเสื้อของจ่อตูเห็นแค่ไฝใต้คางของมุมุมิ้นอองก็ดีใจแล้ว”
ฉันเปิดประตูต้อนรับพวกเขาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นไม่นานทุกคนต่าง สงบนิ่ง สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปยังหน้าจอทีวีอย่างมีความสุข
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารสาละวินโพสต์ ฉบับที่ 58 ( มีนาคม - เมษายน 2553)