ตั๋วเครื่องบิน

เรื่อง : หม่องหม่องทุนอ่อง
แปล : Numripan จากนิตยสารเหย่ซยา

ผมย้ายมาทำงานที่เมืองโจนได้ประมาณหนึ่งปีแล้ว เมืองโจนเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีทะเลล้อมรอบ สมัยก่อน เมืองแห่งนี้ถือว่าทุรกันดารและแห้งแล้งมาก และเพิ่งเริ่มติดต่อค้าขายกับภายนอกมากขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมานี้    



หลังจากที่มีการสร้างถนนหนทางเสร็จ การเดินทางและการติดต่อกับโลกภายนอกก็เริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้แต่การเดินทางโดยเครื่องบินก็เริ่มมีผู้ใช้บริการมากขึ้น และหน้าที่ของผมก็คือผู้ดูแลการขายตั๋วเครื่องบินให้กับผู้โดยสาร แต่ดูเหมือนว่าเที่ยวบินที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะเครื่องบินมีน้อย



สำหรับคนธรรมดา กว่าจะได้ตั๋วเครื่องบินสักใบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะช่วงที่ข้าราชการเดินทางเยอะ บางครั้งอาจต้องรอนานเป็นสัปดาห์หรือสิบๆ วัน แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนก็ไม่ค่อยมีใครเดินทางโดยเครื่องบิน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า เครื่องบินในพม่ามีสภาพทรุดโทรมและเก่ามาก ผู้คนจึงไม่มั่นใจในความปลอดภัยสักเท่าไหร่สำหรับพวกเรา การขายตั๋วเครื่องบินแต่ละที่นั่ง ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของคนๆ เดียว ผู้ที่ลงทะเบียนจองที่นั่งไว้จะได้หรือไม่ได้ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ทหาร หรือคนจากกองทัพ และผู้ที่มีอำนาจในการปกครองท้องถิ่น ซึ่งจะมีการติดประกาศรายชื่อที่สำนักงานขายตั๋วว่าใครจะได้เดินทางบ้าง คนที่มีรายชื่อต่างก็ดีใจ ส่วนคนที่ไม่มีชื่อก็เดินคอตกไปตามๆ กัน นี่คือภาพที่ผมเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ผมได้แต่ถอนหายใจและคิดว่าถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะสร้างเครื่องบินหลายๆ ลำเสียจริง  


วันนี้อากาศร้อนมากจนเหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัว หลังจากประชุมเรื่องขายตั๋วเครื่องบินเสร็จ ผมกลับไปที่ห้องพักซึ่งอยู่บนตึกออฟฟิศ ฝูงนกพิราบและสุนัขมารออาหารจากผมเหมือนทุกวัน ผมลุกขึ้นหาข้าวให้พวกมันกิน  แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในออฟฟิศวันนี้ทำให้ผมทั้งเหนื่อยใจและเหนื่อยกายจึงจะงีบสักพัก และพยายามลืมมันให้หมด ผมหลับตาลงช้าๆ และ ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน จนกระทั่งเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น       

“พี่ครับ....พี่ครับ” 
เสียงเรียกจากลูกน้องทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีและมองเขาอย่างไม่พอใจ ขณะที่แววตาของเขาก็มองผมด้วยความเกรงใจอยู่ไม่น้อย

“เอ่อ...พี่ครับผมไม่ได้ละเลยคำสั่ง ของพี่นะครับ แต่มีลูกค้าคนหนึ่งมาขอพบพี่ ผมอธิบายให้เขาฟังแล้ว ที่จริงผมไม่กล้าปลุกพี่ แต่เขาอยากพบพี่จริงๆ” น้ำเสียงเขาสั่นเล็กน้อย เหมือนจะรู้ว่าตัวเองบกพร่องที่ละเลยคำสั่งของผม    

“อืม...ช่างมันเถอะหม่องวิน เขามีธุระอะไรถึงต้องมาพบผม  เขาชื่ออะไร ใช่เพื่อนผมที่มาประจำคนนั้นรึเปล่า”


“ไม่ใช่คนที่มาประจำครับ ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อน เขาบอกว่าขอพบผู้จัดการ
คนเดียว ผมห้ามแล้ว ผมบอกว่าพี่ไม่ว่าง แต่เขาก็ไม่ยอม” 
ผมพอรู้จุดประสงค์ของผู้ชายคนนี้จึงบอกหม่องวินว่า 
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นให้เขาเข้ามาถ้าอยากเจอผู้จัดการก็คงไม่พ้นเรื่องตั๋วเครื่องบินแน่ๆ” 

ผมลุกขึ้นใส่เสื้อที่ถอดไว้ และนั่งรอที่โต๊ะทำงาน ร่างกายผมอ่อนเพลียมาก เพราะช่วงนี้ผมปวดตามข้อตามกระดูกบ่อยๆ ทันใดนั้น ชายแปลกหน้า หน้าตาดี บุคลิกดีก็เดินเข้ามาและยิ้มให้ผม        

“คุณเป็นผู้จัดการใช่ไหมครับ” เขาเอ่ยถามผม ขณะที่ผมสังเกตเห็นว่าเขาดีใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เจอกับผม ผมจึงตอบเขาไปว่า  “ใช่ครับผมเป็นผู้จัดการออฟฟิศนี้ครับ มีอะไรให้ช่วยหรือครับ ไม่ต้องเกรงใจ พูดมาเถอะครับ” 

เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า 
“ผมเป็นคนที่นี่ครับ ผมทำงานค้าขาย คือพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ผมจึงมาขอความช่วยเหลือจากผู้จัดการครับ ถ้าผมทำให้คุณต้องลำบากใจก็ขอโทษด้วยครับ” 

ผมรู้ทันทีถึงจุดประสงค์ของเขา ผมถอนหายใจก่อนจะตอบไปว่า  “เสียใจด้วยครับ ตั๋วเครื่องบินสำหรับ พรุ่งนี้ขายหมดแล้วครับ ผมคงช่วยอะไรคุณ ไม่ได้”


สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก แต่ก็รีบพูดขึ้นว่า“ผมคิดว่าผู้จัดการช่วยผมได้แน่ ผมจึงเข้ามาหาคุณ แม่ผมเป็นโรคหัวใจและกำลังป่วยหนัก ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้ผมต้องไปถึงที่นั่นให้ได้ผมเกรงว่าถ้าผมขึ้นรถไฟอาจไม่ทันการณ์” 


คำพูดของเขาทำให้ผมไม่สบายใจและคิดถึงแม่ที่อยู่เมืองมัณฑะเลย์ขึ้นมาทันทีเวลานี้แม่ก็คงรอผมอยู่เหมือนกัน ปกติแล้วผมจะกลับไปหาแม่ช่วงสงกรานต์ซึ่งตรงกับวันเกิดของแม่พอดี ทุกปีที่ผ่านมา พี่น้องจะอยู่กันครบและจัดงานวันเกิดให้แม่และเที่ยวสงกรานต์ไปด้วย แต่ปีนี้ผมไม่ได้กลับบ้าน จึงคิดถึงแม่มาก 


ตอนนี้แม่ของผมอายุเจ็ดสิบกว่าจะ แปดสิบแล้ว แต่ยังแข็งแรงอยู่ เมื่อเห็นหน้าลูกๆ พร้อมหน้าพร้อมตาแม่จะดีใจมาก แม่อยู่กับ น้องสาวสองคนและชอบทำอาหารมาก เวลาที่พวกผมกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ แม่กับลูกสะใภ้จะแข่งกันทำอาหารให้พวกเรากินตลอด บางครั้งที่ผมโทรศัพท์บอกแม่ว่า ผมขอโทษที่ กลับไปหาแม่ไม่ได้ แม่ก็มักจตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “แม่รอลูกๆ อยู่นะ”      


ถึงตอนนี้ผมจะเป็นพ่อคน มีลูกสาวตั้งสองคนแล้ว แต่ผมก็ยังเป็นเด็กในสายตาแม่เสมอ ทุกวันนี้แม่ก็ยังห่วงเรื่องอาหารการกินความเป็นอยู่ของผม อาหารที่ผมชอบแม่ก็ส่งมาให้ผมประจำ บางครั้งภรรยาของผมก็ชอบหยอกแม่ว่า

“แม่น่ะรักแต่ลูกชายคนเดียว ไม่เห็นรักลูกสะใภ้กับหลานบ้างเลย”และแม่ก็จะตอบกลับไปว่า “แล้วใครล่ะที่แย่งลูกชายไปจากฉัน” 


ผมคิดเรื่องของแม่อยู่ในใจ ทันใดนั้นเสียงของใครบางคนก็เรียกผมออกมาจากความคิดนั้น  “ผู้จัดการครับ ช่วยผมให้ไปหาแม่ได้ทันเวลาด้วยเถอะครับ” เขามองผมด้วยน้ำตาคลอเบ้า ช่างน่าสงสารแล้วก็เป็นคนที่กตัญญูจริงๆ ผมคิด ในใจ      


“คุณน่าจะมาตั้งแต่เช้า ผมจะได้ จัดการให้คุณได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว ช่วงนี้มีการประชุมและการอบรมของข้าราชการ ข้าราชการเดินทางเยอะมาก สำหรับคนธรรมดาคุณก็รู้อยู่แล้ว่าเป็นยังไง”


“แต่ผมรอมาเป็นอาทิตย์แล้วนะครับ” น้ำเสียงของเขาแผ่วลงพร้อมกับถอนหายใจอย่างแรง ผมไม่สบายใจที่เห็นเขา เป็นอย่างนั้น จึงคิดที่จะพยายามหาทางช่วยเขา 

เราทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะตอบเขา
ไปว่า  “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณมารอที่ สนามบินนะ เพราะบางครั้งก็มีผู้โดยสาร ที่ยกเลิกเที่ยวบินกะทันหัน เดี๋ยวผมจะ
โทรศัพท์ไปที่นั่น แต่จะได้ตั๋วหรือไม่ได้นั้น ผมยังบอกคุณตอนนี้ไม่ได้นะครับ”


สีหน้าของเขาดีขึ้น “ขอบคุณครับผู้จัดการ ขอให้โชค เข้าข้างผมทีเถอะ” เขาเอ่ยคำล่ำลาก่อนที่จะขอตัวกลับไปผมเองก็อธิษฐานในใจขอให้เขาโชคดีเหมือนกัน  

วันต่อมาผมไปถึงที่สนามบินตั้งแต่ที่เครื่องบินยังไม่ลงจอด ผู้โดยสารจากเมืองโจนที่จะไปย่างกุ้งต่างนั่งรออยู่ที่ห้องผู้โดยสาร ผมกวาดตามองหาชายคนนั้น และเห็นเขากำลังวิ่งมาหาผมด้วยความดีใจ 
“ขอบคุณมากครับผู้จัดการ ผมได้ไป หาแม่แล้วครับ ผมไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณผู้จัดการอย่างไรดี” 


ผมพยักหน้าก่อนที่จะตัดบทสนทนาเพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมเองก็ดีใจไปกับเขาด้วยที่เขาจะได้ไปหาแม่แล้ว 


เครื่องบินกำลังลงจอดที่รันเวย์ก่อนที่เสียงเครื่องยนต์จะดับไปชั่วครู่ เมื่อประตูเครื่องเปิดออก ผู้โดยสารต่างทยอยลงมากันเป็นแถว เจ้าหน้าที่สนามบินกำลังยกของลงจากเครื่องไม่นานนักผู้โดยสารที่จะไปย่างกุ้งก็ขึ้นเครื่องพร้อมออกเดินทาง


เขาโบกมือลาผม ผมรู้สึกดีใจที่ได้ช่วย ชายคนนี้ และนึกในใจว่าวันนี้สองแม่ลูกคงมีความสุขมากที่ได้พบกัน และมันทำให้ผมคิดถึงแม่ขึ้นมาทันที


“กริ๊ง….กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมยกหูโทรศัพท์ และพูดว่า 
“ฮัลโหล ผู้จัดการอูอองลินพูดครับ”


“ดิฉันมิตั่นดาผิ่ว ภรรยาของอูละหม่องที่คุณเพิ่งช่วยให้เขาได้ตั๋วเครื่องบินยังไงล่ะคะ ดิฉันโทรมาหาคุณเพราะอยากให้คุณรู้ว่า น้ำใจของคุณทำให้ครอบครัวของดิฉันต้องเป็นทุกข์”


ผมฟังเธอพูดด้วยความงุนงงและตอบไปว่า       
“อะไรนะ คุณพูดอะไรอยู่ สามีของคุณไปเยี่ยมแม่ของเขา แล้วทำไมคุณต้องโกรธด้วย”


“ดิฉันไม่ได้โกรธผู้จัดการ ถ้าดิฉันจะโกรธก็คงจะโกรธสามีดิฉันคนเดียว ดิฉันโทรหาคุณเพราะแปลกใจที่คนที่เป็นถึงผู้จัดการอย่างคุณกลับสังเกตท่าทางของสามีดีฉันไม่ออก” คำพูดของเธอยิ่งทำให้ผมงงหนักเข้าไปอีก


“อะไรนะครับ ผมเนี่ยนะสังเกตคน ไม่ออก เขาน่าสงสารมาก เขาคิดถึงแม่จน น้ำตาคลอ ผมยังจำสีหน้าเขาในตอนนั้นได้อยู่เลย”


ผมพูดยังไม่ทันจบ เธอก็สวนกลับมา ว่า       
“นี่คุณ ดิฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง แม่ของเขาไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว เสียชีวิตไปนานแล้วด้วย เขาไปหาเมียน้อยที่ย่างกุ้งต่างหากล่ะ พวกผู้ชายอย่างคุณเนี่ยมันก็เหมือนกันหมด ไว้ใจไม่ได้ซักคน”


“หา..อะไรนะครับ!” .............