เล่าสู่กันฟัง : เหตุเกิดที่สถานีขนส่งเชียงราย

ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับคนพม่าอยากจะเล่าให้ฟัง แต่ก่อนอื่นผมต้องขอถามก่อนว่า คนเราไม่ว่าจะเป็น พม่า ลาว เขมร อเมริกาก็เป็นคนเหมือนกันใช่หรือไม่ ? แต่ทำไมคนเราจึงถูกกระทำที่ต่างกันเหลือเกิน ดังเช่นเหตุการณ์ต่อไปนี้ที่ผมได้ประสบมากับตัวเอง...


ที่ท่ารถบขส. เชียงรายเมื่อปี 2540 จำไม่ได้ว่าเป็นเดือนอะไรแต่รู้สึกว่าเป็นหน้าหนาว เมื่อรถประจำทางที่เดินทางมาจากแม่สายจอดเทียบที่ชานชาลา คนก็ทยอยลงจากรถเกือบหมด ผู้โดยสารที่ลงจากรถคนสุดท้ายเป็นผู้ชายอุ้มลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบเห็นจะได้ ตำรวจประจำสถานีไ ด้เข้ามาถามถึงบัตรประชาชนของชายคนนั้น แต่เขาบอกไปว่าไม่มี แค่ฟังสำเนียงผมก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนไทยแน่นอน พอดีตำรวจคนนั้นเป็นเพื่อนสมัยเรียนของผมที่เพิ่งจบมาหมาด ๆ ต้องการทำคดีจึงจับสองพ่อลูกไว้ ผมอดไม่ได้จึงถามเขาว่าจับเขาทำไม เพื่อนผมบอกว่าเขาไม่ใช่คนไทยและมันก็เป็นหน้าที่ของเขาด้วย ผมจึงย้อนถามไปว่าดูหน้าเด็กคนนั้นสิว่าซีดแค่ไหน ตาลอยหมดแล้ว เห็นสภาพเด็กเป็นอย่างนี้ แล้วจะจับอยู่เหรอ พอเถียงกันไปได้ซัก 10 นาที เขาจึงยอมปล่อยสองพ่อลูกโดยที่ให้ผมเป็นคนพาไปส่งที่โรงพยาบาล

ผมดำเนินการให้ตั้งแต่ออกค่ารถสองแถวจนถึงทำบัตรผู้ป่วยจนกระทั่งหมอมาตรวจ หมอบอกว่าเด็กมีอาการปอดอักเสบ ถ้ามา ช้ากว่านี้อาจจะปอดบวมได้จึงให้เด็กนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จากนั้นพยาบาลก็เข้ามาเติมน้ำเกลือและฉีดยาให้เด็กประมาณซัก 5 นาทีเด็กจึงนอนหลับไป

เมื่อเด็กหลับแล้วผมจึงได้พูดคุยกับพ่อของเด็ก ผมถามเขาว่าทำไมไม่พาเด็กไปเข้าโรงพยาบาลที่ท่าขี้เหล็ก เขาบอกว่าที่นั่น หมอไม่เก่งเครื่องมือไม่ดี เขาถามผมว่าค่ารักษาพยาบาลแพงไหม ผมจึงแนะนำเขาว่า ถ้าไม่มีเงินสามารถทำเรื่องเป็นผู้ป่วยอนาถาได้ เขาไม่เข้าใจ ผมจึงอธิบายว่าอนาถาคือคนจนที่ไม่มีเงินรักษาโดยที่ทางโรงพยาบาลจะยกเว้นค่ารักษาให้ จากนั้นผมได้พาเขาไปที่ห้องสังคมสงเคราะห์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินเรื่องให้ทั้งหมด

เรากลับมาที่เตียงของเด็กหลังจากเสร็จธุระ พอดีพยาบาลกำลังเอาปรอทวัดไข้แบบที่เป็นแถบแปะตรงหน้าผากเด็ก เขางงกับการวัดไข้แบบนี้มาก บอกว่าที่โรงพยาบาลท่าขี้เหล็กเป็นแบบหลอดแก้วเหน็บไว้ที่รักแร้ ที่นี่ทันสมัยกว่า พยาบาลบอกว่าเด็กมีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส ให้หมั่นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเด็ก จากนั้นผมอาสาออกไปซื้อของและอาหารให้เขา เพราะเกือบเที่ยงแล้ว เขาบอกว่าเขามีเงินติดตัวอยู่นิดหน่อยให้ผมรอก่อน ผมคิดว่าเขามีเงินแค่ 340 บาทเพราะเห็นตอนที่ตำรวจค้นตัวที่ท่ารถแล้ว ที่ไหนได้เขาก้มลงไปที่ขากางเกงข้างหนึ่งแล้วหยิบเงินที่ซ่อนไว้เป็นแบงก์ห้าร้อย อยู่ 70 ใบ ขากางเกงอีกข้างหนึ่งซ่อนไว้ 75 ใบรวมเป็นเงิน 75,000 บาท เขายื่นเงินทั้งหมดให้ผมบอกว่าให้ช่วยเก็บไว้ให้หน่อยเพราะเขากลัวตำรวจจะเอาไป ผมบอกเขาว่าในโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่มีใครจะมาเอาเงินของคุณไปได้หรอก เขามอง หน้าผมแล้วน้ำใสๆ ก็ไหลออกจากตาของชายผู้นั้น ผมก็แทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เกือบจะร้องไห้ตามเขาไปด้วยเหมือนกัน ผมจึงหันหลังแล้วเดินออกไปซื้อของให้เขา

เมื่อซื้อของเสร็จผมเดินกลับไปที่ห้องพักคนไข้อีกครั้ง เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ผมเห็นภาพชายคนนั้นกำลังยกมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว น้ำตาของเขาไหลเป็นทาง เมื่อเขาเห็นผมเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามาสวมกอด ผมไว้แน่นแล้วบอกว่าผมเป็นคนดี 

สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากคำถามไว้ว่า แผ่นดินในโลกนี้เป็นของใครกัน ทำไมคนเราถึงจะไปไหนมาไหน ไม่ได้อย่างอิสระ ทำไมเราต้อนรับขับสู้คนที่อยู่อเมริกา เอาใจเขาจน แทบจะให้ขี่คอด้วยซ้ำไป แต่คนบ้านใกล้เรือนเคียงกันแท้ ๆ กลับถูก กระทำอย่างกับไม่ใช่คนเสียอย่างงั้น.

สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 26 (1 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน 2548)