เล่าสู่กันฟัง : “มหาวิทยาลัยชีวิต”ในคุกอินเส่ง

ในช่วงที่การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของพม่ากำลังก่อตัวขึ้น คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับนักศึกษาธรรมดาที่ชอบทำกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัย จนเป็น ที่รู้จักของหลายๆ คนที่จะไม่ถูกรัฐบาลทหารจับตามอง อย่างใกล้ชิด และเพื่อไม่ให้การเรียกร้องขยายตัวมากขึ้น รัฐบาลทหารจึงพยายามจับผู้นำเข้าคุกทีละคน และฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉันต้องย้ายห้องเรียนจากรั้วมหาวิทยาลัยเข้าไปอยู่ในห้องขังแทน ขณะเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ในข้อหานักโทษทางการเมือง ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

ฉันถูกจับเข้าคุกอินเส่งเมื่ออายุได้เพียง 18 ปี ในแดนหญิงที่ฉันถูกคุมขังมีนักโทษกว่า 300 คน มีเพื่อนนักศึกษาซึ่งถูกจับพร้อม ๆ กับฉันรวม 18 คน ที่นี่นักโทษธรรมดาจะถูกขังไว้ข้างนอก ส่วนพวกเราซึ่งเป็นนักศึกษาถูกขังไว้อีกที่หนึ่ง เพื่อนคนอื่นๆ ถูกขังไว้รวมกันห้องละ 3-5 คน ส่วนฉันถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำนักศึกษาจึงถูกแยกไปขังเดี่ยว

ด้วยความมืดมิดภายในห้องขังที่ทั้งเล็กและแคบ ทำให้ฉันรู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ฉันต้องอยู่ภายในห้องนี้เพียงลำพัง ไม่ได้มองเห็นแสงเดือนแสงตะวันที่คอยสาดส่องมาให้เราเห็นถึงความสดใสของโลกภายนอกเป็นเวลานานหลายเดือน แม้จะมีช่องเล็ก ๆ ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นแสงสว่างข้างนอกได้บ้าง แต่จุดประสงค์สำคัญก็เพื่อให้ผู้คุมนักโทษไว้คอยสอดส่องพฤติกรรมของผู้ต้องขังเท่านั้น

การถูกขังเดี่ยวทำให้ฉันรู้ว่าความมืดมิดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการตัดขาดฉันออกจากโลกภายนอก ขาดการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น เพราะฉันไม่สามารถพูดกับคนอื่น ๆ ได้เลย ซึ่งต่างจากนักโทษธรรมดาที่ถูกขังไว้รวมกันเพราะอย่างน้อยพวกเขายังมีเพื่อนคุยไว้คลายเหงายามทุกข์ร้อนและเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ชีวิตในห้องขังเดี่ยวแต่ละวันดำเนินไปอย่างช้า ๆ ทุกเช้าผู้คุมซึ่งจะไม่พูดอะไรกับฉันเลย จะเปิดประตูพาฉันไปล้างหน้าและไปทิ้งอุจจาระ ตอนกลางวันพาไปอาบน้ำ กลางคืนจะเปิดให้ไปล้างจาน ชีวิตฉันวนเวียนอยู่แบบนี้ตลอดหกเดือน ฉันจำได้ว่า 10 วันแรกที่ถูกขังอยู่ฉันไม่ได้ทานอะไรเลย ไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้ให้กินอะไรเลย หากเป็นเพราะข้าวที่นี่มันแข็งมาก เสียงที่ข้าวแต่ละเม็ดกระทบกันมันเหมือนกับเสียงเม็ดทรายกระทบกับจานสังกะสีไม่มีผิด อาหารที่ให้มาก็ไม่มีรสชาติ ฉันแทบกินอะไรไม่ได้เลย ฉันต้องทนอยู่แบบนี้โดยไม่กินอะไรเลยเป็นเวลาหลายวัน ผนวกกับการไม่ได้พูดกับใครเลย ทำให้ฉันแทบจะเป็นบ้าตาย มีแต่ความวุ่นวายและร้อนรน สุดท้ายฉันต้องเอาธรรมเข้าช่วย เอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าช่วยบำบัดจิตใจให้ทนอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความมีสติ

ทว่า ท่ามกลางความเลวร้ายที่สุดที่ฉันต้องเผชิญในห้องขังแคบ ๆ แห่งนี้ ฉันก็ยังพบกับคุณงามความดีของจิตใจที่มีอยู่ในตัวของผู้คุมที่ต้องดูแลฉัน เนื่องจากสิบวันแรกที่ฉันอยู่ที่นี่ฉันไม่ได้กินอะไรเลย ด้วยความสงสารหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ มีอยู่วันหนึ่งขณะฉันกินข้าว เศษกระดาษเล็ก ๆ ก็ถูกขว้างเข้ามาทางช่องประตูซึ่งมีไว้สำหรับสอดส่องพฤติกรรมนักโทษขังเดี่ยว เมื่อฉันเปิดมันออกดูก็พบว่าข้างในมีพริก 3 เม็ด ฉันรู้สึกดีใจจนพูดไม่ถูก ได้แต่รู้สึกขอบคุณเขาที่ทำให้อาหารมื้อนั้นของฉันมีรสชาติมากขึ้น ฉันกินพริกทั้ง 3 เม็ดอย่างช้า ๆ ด้วยความเสียดาย ฉันค่อยๆ กัดพริกวันละนิดเพียงพอให้ฉันสามารถกินข้าวแข็ง ๆ ได้ลงคอ กว่าพริกเสี้ยวสุดท้ายจะหมดรสชาติก็เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ นั่นคืออาหารที่อร่อยที่สุดในรอบสามเดือนของการขังเดี่ยว

สองเดือนต่อมา ห่อกระดาษเล็ก ๆ ก็ถูกส่งเข้ามาอีก คราวนี้เปิดห่อมาเป็นน้ำตาลก้อนเล็ก ๆ เท่าหัวแม่โป้ง ฉันค่อย ๆ ละเลียดความหวานของก้อนน้ำตาลด้วยการอมไว้ในปากชั่วครู่พอได้ลิ้มรสความหวานแล้วก็คายออกมาเก็บไว้ ทำอยู่อย่างนี้จนกระทั่งความหวานเสี้ยวสุดท้ายหมดเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน พริก 3 เม็ดและน้ำตาล 1 ก้อนได้สอนบทเรียนที่มีค่าให้ฉันได้รู้ว่า ถ้าเรารู้จักรักษาสิ่งที่มีค่าเอาไว้ มันก็จะอยู่กับเราได้นาน

น้ำใจที่มีอยู่ในหัวใจของผู้คุมได้แสดงออกมาให้ฉันเห็นในหลายเรื่อง เช่น ตอนที่ฉันไปอาบน้ำและบอกว่าอยากได้เข็มเพื่อเอามาเย็บผ้าที่ขาด ฉันมองเห็นว่าเขาทำท่าไม่รับรู้หูทวนลม แต่สุดท้ายเขาก็แอบเอามาให้ ฉันจึงเริ่มเข้าใจว่า ลึก ๆ แล้ว ผู้คุมก็มีหัวใจอ่อนโยนเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน แต่สาเหตุสำคัญที่ให้พวกเขาดูเหมือนคนไร้หัวใจเป็นเพราะภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนั่นเอง

ช่วงเวลาที่ถูกขังเดี่ยว 6 เดือน ร่างกายฉันอ่อนแอมากเพราะต้องนอนบนพื้นปูนเปล่าเปลือยทำให้ระบบไหลเวียนเลือดเดินไม่สะดวกและตัวขาวซีดเพราะไม่ได้เจอแสงแดดมานาน ตอนฉันเดินออกจากห้องขังเดี่ยวเพื่อไปขังไว้รวมกับเพื่อนคนอื่น ๆ ฉันเดินแทบไม่ตรงทาง แต่วันนั้นเป็นวันที่ฉันสบายใจมากที่มีเพื่อนคุยด้วย ฉันคิดว่าตอนนั้นการไม่มีอะไรกินฉันก็สามารถอยู่ได้แต่การไม่มีเพื่อนนั้นอยู่ยากมาก พวกเราคุยกันทั้งคืนเพราะเป็นเพื่อน มหาวิทยาลัยเดียวกันและเป็นเพื่อนที่รักกันมาก มีคนหนึ่งเป็นปะหล่อง อีกคนเป็นกะเหรี่ยงและฉันเป็นไทยใหญ่ ฉันรู้ดีว่าความสุข ตอนนั้นเป็นเพราะเพื่อนได้มาเจอกัน

เรื่องที่พวกเราคุยกันส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องอาหารการกินเพราะอาหารที่นี่แย่มาก ๆ เวลาที่เราอยากกินอะไรเราก็จะถามว่าอาหารของแต่ละชาติมีอะไรที่อร่อยบ้าง แล้วผลัดกันเล่า
จากนั้นก็จินตนาการกันเองว่าตอนนี้มีอาหารดี ๆ มาวางไว้ตรงหน้า พวกเรากำลังกินอาหารเหล่านี้อย่างเอร็ดอร่อย ทั้ง ๆ ที่ความจริงเราไม่ได้กินอะไรเลย

อย่างไรก็ตามแม้ห้องขังนี้จะดีกว่าห้องขังเดี่ยวที่ฉันเคยอยู่ แต่ร่างกายของฉันก็ยังปรับตัวกับอากาศและสภาพแวดล้อมข้างในนี้ไม่ได้ ทำให้ฉันไม่สบายอยู่ 6 เดือน ฉันรู้สึกว่าร่างกายชา ร่างกายซีกซ้ายซีกขวาเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ซึ่งการที่ฉันไม่สบายดูจะสร้างความวุ่นวายให้กับเจ้าหน้าที่ข้างในพอสมควรเพราะเขาต้องระดมหมอจากในคุกที่มีอยู่เจ็ดแปดคน มาดูอาการของฉัน แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าฉันป่วยเป็นอะไร จึงต้องเชิญหมอจากข้างนอกมาดูอาการอีกที การดูแลครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความห่วงใยแต่หากรัฐบาลพม่าเป็นกังวลว่าหากฉันเป็นอะไรไป เพื่อนนักศึกษา คนอื่น ๆ จะรวมตัวกันประท้วงเพราะพวกเขาจะคอยติดตามความเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่ถูกจับมาขังคุกอยู่ตลอดเวลา

ตลอดระยะเวลาสองปีกว่าที่ฉันถูกขังในคุกแห่งนี้นอกจากการได้พูดคุยกับเพื่อนนักศึกษาที่ติดคุกด้วยกันแล้วยังทำให้ฉันได้มีโอกาสได้คุยกับนักโทษคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งในคุกมีคนหลากหลายประเภท ทั้งคนขายตัว ขโมย คนขี้โกง มันทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย เช่น เรียนรู้ว่าถ้าคนขี้โกง คนขี้ขโมย เขาจะพูดอย่างไร หน้าตาเขาตอนนั้นจะเป็นอย่างไร คนที่เขาทำเพื่อคนอื่นเขาเป็นอย่างไร คนที่เขาทำอะไรเพื่อตนเองเขาจะเป็นอย่างไร มันทำให้เราเรียนรู้คนอื่นและเรียนรู้ตนเองมากขึ้น

ในช่วงที่ฉันติดคุก ฉันพยายามใช้หลักธรรมมาช่วยเยียวยาจิตใจทำให้ฉันไม่เครียดมากจนเกินไป และสามารถมีชีวิตรอดออกมาทำงานเพื่อคนไทยใหญ่ได้จนถึงทุกวันนี้ ฉันคิดว่าการติดคุกครั้งนี้เป็นเสมือนมหาวิทยาลัยชีวิตที่ฉันไม่สามารถเรียนรู้ได้ในรั้วมหาวิทยาลัย ทุกวันนี้แม้ฉันจะออกจากคุกมาหลายสิบปีแต่ฉันก็ไม่เคยลืมเลือนประสบการณ์และเหตุการณ์ที่ได้รับจากที่นั่นเลยแม้แต่น้อย

ฉันคิดว่า ประสบการณ์ชีวิตในช่วงติดคุกอาจนับเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่เติบโตมาในโลกใบนี้ แต่ในความเลวร้ายเหล่านั้น หากเราพยายามมองเห็นความดีงามที่ซ่อนอยู่ เราก็จะพบเจอเช่นกัน ประสบการณ์ชีวิตในช่วงนั้นสอนให้ฉันรู้ว่า การอดทนต่อความยากลำบากอย่างที่สุดเป็นอย่างไร และยังมีคนอื่นที่ยากลำบากกว่าเรามากเพียงใด หลังจากออกจากคุกมาแล้ว ฉันจึงพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อคนไทยใหญ่เท่าที่ความสามารถของฉันจะมี และหวังจะให้เด็ก ๆ รุ่นหลัง คิดและทำเพื่อคนเชื้อชาติเดียวกันให้มากขึ้น เพื่อคนไทยใหญ่จะได้มีความทุกข์ยากน้อยลง.