บางครั้งในความฝันของฉัน ฉันเคยฝันว่าฉันได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตน บ้านเกิดที่มีแต่ความร่มรื่น ความสงบสุข กลิ่นไอของธรรมชาติ ความเขียวขจีของป่าไม้ เสียงร้องของนกนับพันชนิด เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นของผู้คนมากมาย คราบน้ำตาแห่งความปีติยินดี ในขณะนั้น ฉันเต็มไปด้วยความสุขความเป็นอิสระของชีวิต ซึ่งนั่นมันก็เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่อาจเป็นจริง เพราะอะไรนะเหรอ .. ก็เพราะว่าทุกครั้งที่ฉันตื่นขึ้นมาจากความฝัน ก็ยังเห็นว่าตัวเองยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ที่ๆ มีผู้คนนับหมื่นอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีจำนวนจำกัดในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มีรั้วลวดหนามล้อมรอบ ซึ่งพวกเราทุกคนในนี้ก็นับวันตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่ประตูรั้วจะเปิดอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อที่จะได้ชีวิตอย่างอิสระ เหมือนดั่งที่พวกเราเคยหวังไว้มานานแสนนาน
ฉันอาศัยอยู่ในที่พักพิงแห่งนี้มาเป็นเวลา 9 ปี แล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ เลยสำหรับฉัน และตลอดเวลา 9 ปีที่ผ่านมา ก็มีบ้างที่ได้ออกไปสัมผัสบรรยากาศนอกพื้นที่ แต่ก็ไม่บ่อยนักเพราะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ อืม... ชีวิตในกรอบสี่เหลี่ยมก็เป็นอย่างนี้แหละ เมื่อไหร่ฉันจะเป็นอิสระและหลุดพ้นจากมันเสียทีนะ ในขณะที่เด็กไทยอายุไล่เลี่ยกับฉันขับรถไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนและคุณพ่อคุณแม่ของเขา ทุกคนช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน ส่วนฉันก็ได้แต่เฝ้ามองดูพวกเขาเหล่านั้นผ่านประตูรั้วที่มีแต่ลวดหนามด้วยความอิจฉาและนึกน้อยใจในตัวเอง ฉันไม่ได้โกหกคุณหรอก ฉันอยากใช้ชีวิตแบบอิสระบ้างจัง อยากไปไหนมาไหนอย่างอิสระ อยากไปโรงเรียนเหมือนพวกเขาเหล่านั้น แต่เมื่อวานหัวหน้าโซนเรียกประชุมและได้แจ้งให้พวกเราทราบว่า “พรุ่งนี้ห้ามไม่ให้ทุกคนในศูนย์ ฯ ออกนอกพื้นที่เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะถ้าเกิดเจ้าหน้าที่ไทยหรือผู้ควบคุมศูนย์ฯ เห็นเข้า เขาสามารถที่จะจับตัวไปลงโทษได้ และทางเราก็จะไม่สามารถช่วยเหลือพวกคุณได้”
ถ้าคุณมาเป็นฉัน คุณลองคิดดูสิว่าตัวเองเหมือนตัวอะไร แต่ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้หรอก เพราะที่นี่ไม่ใช่ประเทศของฉัน ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของฉัน และฉันเองก็เป็นเพียงผู้ลี้ภัยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศของเขาเท่านั้น และไม่ว่าเขาจะออกคำสั่งอะไร ฉันก็ควรทำตามไม่ใช่หรือ
ฉันเคยเห็นโรงเรียนไทยและต่างประเทศในหนังสือวารสารต่าง ๆ แต่ละโรงเรียนสวยงามมาก มีตึกหลายชั้น มีห้องเรียนสวยๆ มีห้องสมุด มีสวนดอกไม้ สนามหญ้า มีโรงยิม หน้าต่างก็ทำด้วยกระจก ฉันอยากเอื้อมมือไปสัมผัสภาพนั้นเหลือเกิน แต่โรงเรียนของฉันสิ มีผืนดินเป็นพื้นห้อง มีไม้ไผ่เป็นผนังห้อง และมีไม้กระดานดำกั้นระหว่างห้องแต่ละห้อง พอถึงหน้าฝนพวกเราต้องเรียนกันอย่างยากลำบากเพราะเม็ดฝนสาดเข้ามาในห้องเรียน และถ้าวันไหนฝนตกหนักมากพวกเราก็ไม่ได้เรียน บางครั้งฉันเคยคิดในใจว่าทำไมคนเราเกิดมาวาสนาถึงได้ต่างกันขนาดนี้ แต่ฉันก็ไม่อยากโทษบุญวาสนาหรอกนะ อาจเป็นเพราะฉันไม่เก่งเหมือนคนอื่นเขา หรือเป็นเพราะเหตุผลอย่างอื่นซึ่งฉันก็ไม่สามารถที่จะอธิบายและให้คำตอบกับตัวเองได้
บางครั้งฉันได้ยินพ่อและเพื่อนของท่านพูดคุยกัน คำพูดบางคำหรือประโยคบางประโยคฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายมันนักหรอก เช่น สิทธิมนุษยชน อำนาจอธิปไตย อิสระแห่งชีวิต ประโยคเหล่านี้ฉันก็ได้ยินบ่อยเหมือนกัน และก็คิดว่าเข้าใจความหมายของมันได้ดีทีเดียว แต่พอมานั่งคิดทบทวนดูอีกทีก็ยังไม่ค่อยกระจ่างในความหมายที่ลึกซึ้งของมันเท่าใดนัก ถ้าวันไหนฉันมีโอกาสเหมาะ ๆ ฉันจะลองถามความหมายของมันกับพ่อดูสักครั้ง แต่ว่าตอนนี้ฉันมีเรื่องอื่นที่อัดอั้นตันใจอยู่เรื่องหนึ่งและเก็บไว้ในใจมานานแล้ว คือฉันคิดว่าชีวิตในศูนย์อพยพของฉันช่างเปรียบเสมือนนกที่อยู่ในกรงเสียเหลือเกิน เพราะถ้าถึงเวลาอาหารของมันเจ้าของก็จะนำอาหารมาให้มันกินอย่างอิ่มหนำสำราญ และมันก็ไม่ต้องคอยระแวงกลัวภัยอันตรายต่าง ๆ ที่จะมาถึงตัวมัน เพราะเจ้าของของของมันจะคอยปกป้องคุ้มครองดูแลเอาใจใส่มันอย่างใกล้ชิดและให้ความปลอดภัยกับมันอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันอยากจะถามเจ้าของของมันว่า ไหนล่ะความสุขสำราญของมัน ไหนล่ะความเป็นอิสระของมัน ไหนล่ะความหวังของมัน ไหนล่ะความเจริญก้าวหน้าของมัน ชีวิตแบบนี้มันต่างกับตายทั้งเป็นตรงไหน
พ่อเคยพูดกับฉันว่า “ลูกเอ๋ย เราจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ พ่อจะหาทางให้ลูกได้มีชีวิตและอนาคตที่ดีกว่านี้ แต่ตัวของลูกเองก็ต้องพยายามด้วย”
พ่ออยากจะสื่อความหมายอะไรนั้นฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ที่แน่ ๆ ฉันมั่นใจว่าพ่อจะต้องทำให้ครอบครัวของพวกเรามีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน.