อาจกล่าวได้ว่า ปัญหาสุขภาพของประชาชนในประเทศพม่ากำลังเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และปัญหานี้กำลังเดินทางข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งไทย จีน อินเดีย และบังคลาเทศโดยไม่สามารถควบคุมได้ สถานการณ์ปัญหาสุขภาพในพม่ามีต้นตอของปัญหามาจากไหนและทางออกของปัญหาควรเป็นอย่างไร สาละวินโพสต์ฉบับนี้ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์นายแพทย์วิทย์ (หมายเหตุ - ขอสงวนชื่อจริงเพื่อความความปลอดภัยในการทำงานเก็บข้อมูล) หนึ่งในทีมวิจัยทางสาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอพกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้มีประสบการณ์รักษาและทำงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของประชาชนบริเวณชายแดนไทย-พม่ามาตลอดระยะเวลา 5 ปี
เริ่มต้นมาทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องพม่าได้อย่างไร
ผมเริ่มทำงานเกี่ยวข้องกับสุขภาพชายแดนเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ตอนนั้นมาเป็นอาสาสมัครที่แม่ตาวคลินิกของหมอซินเทีย มาว อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (เป็นคลินิกรักษาผู้อพยพจากประเทศพม่า) ตอนนั้นผมรู้สึกแทบไม่น่าเชื่อว่า ผมทำงานอยู่ที่เมืองไทย เพราะทุกวันตรวจเจอโรคติดต่อ เช่น วัณโรค กับ มาเลเรีย ซึ่งโรคเหล่านี้สำหรับเมืองไทยซึ่งมีระบบสาธารณสุขค่อนข้างดีมีจำนวนน้อยลงไปมากแล้ว แต่ที่ประเทศพม่าและบริเวณชายแดน โรคเหล่านี้ยังเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งสาเหตุของโรคในกรณีของประเทศพม่ามันมีสาเหตุอื่นมากกว่าแค่เชื้อโรคที่ทำให้คนป่วย แต่นโยบายของรัฐบาลส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพของประชาชนในพม่าอย่างมาก ก่อนผมจะมาทำงานที่คลินิกนี้ ผมรู้แต่ว่าประเทศพม่าเป็นประเทศที่ยากจน และมีรัฐบาลเผด็จการ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ แต่พอไปถึงชายแดนไทย-พม่าก็เห็นชัด ๆ เลยว่านโยบายของรัฐบาลพม่าส่งผลกระทบอย่างไรต่อสุขภาพของประชาชนทั้งในประเทศพม่า ชายแดนไทย – พม่า และในเมืองไทยอย่างไร ตอนนั้นผมรู้สึกได้ว่า เส้นพรมแดนเป็นเพียง “สิ่งสมมติ” ที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเท่านั้น เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องการระบาดของโรคแล้ว เส้นพรมแดนเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายใด ๆ เลย เพราะการแพร่กระจายของเชื้อโรคไม่ได้มีข้อจำกัดอยู่ที่เส้นพรมแดนที่มนุษย์สมมติขึ้นมา
โรคที่หมอได้พบที่นี่ต่างจากโรคที่พบในอเมริกาอย่างไร
สิ่งที่พบแตกต่างจากตอนที่ผมอยู่ในอเมริกาหน้ามือเป็นหลังมือเลย เพราะตอนอยู่อเมริกา ส่วนใหญ่จะเจอโรคเรื้อรังเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน แต่พอมาที่คลินิกหมอซินเทียครั้งแรก ผมต้องย้อนกลับไปเปิดตำราแพทย์เพื่อทบทวนความรู้สมัยเรียนใหม่ว่า วิธีดูแลคนที่เป็นโรคมาเลเรีย เท้าช้าง หรือวัณโรคเป็นอย่างไร ตอนที่ผมเรียน ผมเคยรู้จักโรคเหล่านี้แต่ในตำรา และตั้งแต่เรียนจบทำงานในอเมริกา ก็ไม่เคยพบคนที่ป่วยเป็นโรคเหล่านี้มาก่อนเลย หลังจากนั้น ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ปัญหาสุขภาพพวกนี้ ต้นเหตุที่แท้จริงมาจากไหน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็เริ่มสนใจเรื่องปัญหาการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่ามากขึ้น เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการระบาดของโรคเหล่านี้ทั้งในพม่าและชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
อยากให้ลองยกตัวอย่างปัญหาการเมืองในพม่าที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน
ผมจำได้ชัดเจนมาก มีคนไข้คนหนึ่งที่ผมดูแล เป็นหญิงกะเหรี่ยงมีลูก 3 คน ครั้งแรกที่มาคลินิกมารักษามาเลเรีย หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาอีก แล้วเป็นมาเลเรียอีก เราก็รักษาอีก ตอนหลังจึงรู้ว่าพวกเขากลับบ้านไม่ได้ เพราะต้องหนีสงคราม และการละเมิดสิทธิมนุษยชน หมู่บ้านถูกเผาไปหมด ทำให้ต้องนอนในป่า ซึ่งไม่มีมุ้ง ผมรู้สึกมาโดยตลอดว่า ในระยะสั้นเราสามารถรักษาโรคมาเลเรียให้เขาได้ แต่ในระยะยาวทางแก้ปัญหามันอยู่ตรงไหน เราจะรักษาโรคมาเลเรียอย่างนี้ต่อไปทุกครั้งได้หรือ เราจำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วย ซึ่งก็คือปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งทำให้ประชาชนของตนเองต้องหนีเข้าไปนอนในป่า กลับบ้านไมได้ ไม่มีการรักษาทางการแพทย์และในที่สุด สำหรับหลายคนต้องทำให้พวกเขาต้องหนีมาอยู่ในเมืองไทย
นอกจากปัญหาการเมือง มีปัญหาอะไรอีกบ้างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน
ปัญหาเศรษฐกิจและสถานภาพทางกฎหมายกับความรุนแรงของโรคก็มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ผมเคยทำงานในคลินิกคนยากจนที่เมืองซีแอทเทิล คนส่วนใหญ่ที่มารักษาจะไม่มีเงิน มีปัญหาเรื่องสารเสพติด ไม่มีบัตรอนุญาตทำงาน หรือ เข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่เราก็รักษาทุกคน คนที่มีสถานภาพเปราะบางทั่วโลกจะเผชิญกับภาวะเช่นเดียวกันนี้ คือ กว่าจะเข้าถึงการรักษาของแพทย์ก็ต่อเมื่อมีอาการของโรครุนแรง ทำให้การรักษายากกว่าคนที่ได้รับการรักษาตั้งแต่เบื้องต้น และผลกระทบอาจถึงชีวิตของคนไข้หรือสุขภาพส่วนรวม ยกตัวอย่างเช่น คนไข้ที่ผมเคยรักษาที่เมืองซีแอทเทิลป่วยเป็นโรควัณโรค กว่าจะได้รับการรักษาเวลาก็ผ่านไปหลายเดือน จนระหว่างนั้นเชื้อโรคได้ระบาดไปสู่คนในชุมชนมากกว่า 30 คน ที่คลินิกหมอซินเทียก็เหมือนกัน คนไข้ที่มาโรงพยาบาลก็ต่อเมื่อมีอาการหนักแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่กล้ามารักษาเพราะไม่มีบัตรอนุญาตทำงาน กลัวถูกจับ หรืออาจไม่มีเงินค่าเดินทาง หรือออกจากที่ทำงานไม่ได้ คนที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ สุขภาพก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ และสำหรับโรคติดต่ออาจมีผลกระทบต่อสาธารณสุขส่วนรวมด้วย
สถานการณ์ทางการเมืองส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศพม่าอย่างไร
ในทุกประเทศ สถานการณ์ทางการเมืองส่งผลอย่างมากต่อระบบสาธารณสุขของประชาชน อาจเป็นในแง่ดีหรือแง่ลบก็ได้ ประเทศพม่า นับเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า ผลกระทบทางด้านสาธารณสุขภายใต้การปกครองรัฐบาลเผด็จการที่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสาธารณสุขมีอย่างไรบ้าง ทุกวันนี้ ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลพม่า 40 เปอร์เซ็นต์ใช้สำหรับการทหาร แต่น้อยกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ใช้สำหรับสาธารณสุข และน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ใช้สำหรับการศึกษา ในที่สุดระบบสาธารณสุขและการศึกษาที่อังกฤษเคยวางไว้อย่างดีต้องเสื่อมลง จนกระทั่งวันนี้แม้กระทั่ง WHO ยังจัดอันดับให้ระบบการรักษาทางการแพทย์ของประเทศพม่าอยู่ในสองอันดับรั้งท้าย จากประเทศสมาชิก 191 ประเทศทั่วโลก (ดีกว่าประเทศ Sierra Leone ในทวีปแอฟริกาเพียงประเทศเดียว) รัฐบาลพม่าเองยังยอมรับต่อ WHO เลยว่า ปัญหาใหญ่ของสาธารณสุขในพม่า คือ เอชไอวี/เอดส์ วัณโรค มาเลเรีย อหิวาห์ การขาดสารอาหาร ซึ่งในปัจจุบันเมืองไทยไม่ค่อยมีแล้ว เพราะโรคเหล่านี้ ถ้าเรามีระบบสาธารณสุขที่ดีสามารถควบคุมได้ ขอยกตัวอย่าง โรคเท้าช้าง ซึ่งไม่เจอในเขตเมืองในประเทศไทยมาหลายสิบปีแล้ว แต่ยังชุกอยู่ในพม่า ซึ่งอันที่จริง โรคนี้สามารถควบคุมได้และใช้งบประมาณไม่สูง ถ้ารัฐบาลให้ความสำคัญ และมีระบบสาธารณสุขที่ดี โรคนี้น่าจะหมดไปจากเมืองในประเทศพม่าตั้งนานแล้ว จริง ๆ แล้วถ้าเราดูประเทศไทยกับพม่า เมื่อ 50-60 ปีก็จะคล้าย ๆ กัน สมัยนั้นไทยก็มีโรคเท้าช้าง โรคมาเลเรีย แต่แตกต่างตรงที่ว่ารัฐบาลไทยลงทุนด้านสาธารณสุข และให้ความสำคัญในด้านนี้ จนกระทั่งวันนี้ ถ้าเราดูสาเหตุการตายที่พบบ่อยที่สุดในเมืองไทยก็คือ โรคหัวใจและเส้นเลือด อุบัติเหตุ เอชไอวี/เอดส์ และมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ แต่ถ้าเทียบกับพม่าแล้ว ยังไม่ไปไหนเลย และสาเหตุการตายหลักของประชาชนในพม่าก็ยังเป็นโรคเดิมเมื่อห้าสิบหกสิบปีที่แล้ว บวกวันนี้เอชไอวี/เอดส์อีกด้วย
จากการประสบการณ์ทำงานด้านสุขภาพกับประชาชนจากประเทศพม่าตลอดห้าปีที่ผ่านมาพบความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
ผมคิดว่าแย่ลง แต่หาข้อมูลทางสถิติมาเป็นหลักฐานยืนยันได้ยากมาก เพราะรัฐบาลพม่าปกปิดข้อมูลที่แท้จริงและข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะก็ไม่น่าเชื่อถือ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับโรคเอชไอวี/เอดส์สำหรับปี ค.ศ. 2003 อัตราการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มผู้ได้รับการรักษาที่คลินิกกามโรคทั่วประเทศ รัฐบาลพม่ารายงานว่า อัตราการติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ 0 – 21 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับการควบคุมโรคเลย เพราะตัวเลข “0” หมายถึง ไม่มีปัญหา แต่เลข “21” หมายถึง มีปัญหาเข้าขั้นรุนแรงที่สุดในทวีปนี้ เช่นเดียวกัน สำหรับกลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์ รัฐบาลพม่าก็รายงานว่า อัตราการติดเชื้อเอชไอวีอยู่ในเกณฑ์ 0 – 7.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขไม่มีประโยชน์ใด ๆ เพราะนักระบาดวิทยาเอชไอวี/เอดส์จะให้ความสำคัญต่อกลุ่มเป้าหมายนี้เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สะท้อนถึงสถานการณ์การระบาดในกลุ่มประชาชนทั่วไป ไม่ใช่แค่กลุ่มเสี่ยง ซึ่งตัวเลข “0” แปลไม่มีปัญหา แต่เลข “7.5” สำหรับคนกลุ่มนี้หมายถึงระดับความรุนแรงสูงที่สุดในเอเชีย บางทีการชุกของเอชไอวีก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างเช่นในปี ค.ศ. 1999 ที่มัณฑะเลย์รัฐบาลพม่ารายงานว่า ผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเกือบ 85 เปอร์เซ็นต์ก็ติดเชื้อเอชไอวี แต่สามปีหลังจากนั้น รัฐบาลรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อลดลงเหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกันสำหรับเมืองมิตจินา ในปี ค.ศ. 2000 ผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด 90 เปอร์เซ็นต์ติดเชื้อเอชไอวี แต่สองปีหลังจากนั้นมีผู้ติดเชื้อลดลงเหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือทางสาธารณสุขและบ่งบอกว่าข้อมูลขาดคุณภาพ
ส่วนข้อมูลเกี่ยวข้องโรคอื่น ๆ ยิ่งมีน้อย อย่างเช่น ข้อมูลเกี่ยวกับโรคเท้าช้างในเขตรัฐต่าง ๆ ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ รัฐบาลพม่ายังไม่รู้เลยว่ามีผู้ป่วยมากน้อยแค่ไหน และการจัดงบประมาณสำหรับรักษาโรคเท้าช้างก็น้อยมาก ปี ค.ศ. 2004 มีงบเพียง 6,000 เหรียญ (ประมาณเกือบ 200,000 บาท) แต่มีผู้ป่วยใหม่ 2 ล้านกว่ารายต่อปีที่รัฐบาลพม่ารายงานให้ WHO ทราบ ขณะที่ประเทศไทย ในปี ค.ศ. 2002 จัดงบประมาณเพื่อควบคุมโรคเท้าช้างเกือบ 20 ล้านบาท หรือประมาณ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีคนไข้ใหม่ 185 ราย จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่ารัฐบาลพม่ากับรัฐบาลไทยให้ความสำคัญในเรื่องนี้แตกต่างกันขนาดไหน โรคมาเลเรียก็เช่นกัน มีคนไข้มาเลเรียมากกว่า 7 แสนรายต่อปีในประเทศพม่า และมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพราะโรคนี้มากที่สุดในทวีปเอเชีย ในปี ค.ศ. 2003 รัฐบาลพม่ารายงานต่อ WHO ว่าใช้งบประมาณสำหรับควบคุมโรคมาเลเรียปีละ 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตัวเลขนี้ก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะในขณะเดียวกัน รัฐบาลพม่าก็รายงานให้กับหน่วยงานของสหประชาชาติว่างบประมาณสำหรับสาธารณสุขทั้งประเทศในปีเดียวกันมีแค่ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แล้วเงิน 2-3 เปอร์เซ็นต์ที่รัฐบาลพม่าจัดสรรไว้สำหรับสาธารณสุข ใช้สำหรับเรื่องอะไรบ้าง เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะรัฐบาลพม่าเป็นรัฐบาลที่ไม่โปร่งใสและไม่เปิดเผย แต่รัฐบาลพม่าชอบนำสถิติมาเผยแพร่บนสื่อของรัฐบาลว่า ทุกปี ๆ เขาลงทุนในโรงพยาบาลมากขึ้นและมีการอบรมบุคลากรทางด้านแพทย์ศาสตร์มากขึ้น แต่ผมเคยเดินเข้าไปในโรงพยาบาลเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางภาคเหนือของพม่าและเห็นกับตาของตนเองว่า ข้างนอกอาจดูสวยงามแต่ข้างในคนไข้ทุกคนต้องนอนบนเตียงที่เป็นไม้กระดานวางอยู่บนโครงเหล็ก ผมรอพบหมอกับพยาบาลประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ไม่เห็นใครเลย ญาติของผู้ป่วยจะต้องเป็นคนไปซื้ออุปกรณ์การแพทย์เกือบทุกอย่างจากข้างนอกมาให้หมอใช้สำหรับรักษาญาติของตน แม้กระทั่งอาหารผู้ป่วยก็ต้องหาซื้อมาเอง ผมเคยคุยกับคนทำงานในห้องแล็บของโรงพยาบาลในเขตพม่าตอนบน ซึ่งถือว่าเป็นแล็บใหญ่ในเขตนั้น เขาบอกว่า บางครั้ง เขาไม่มีงบประมาณสำหรับซื้ออุปกรณ์สำหรับตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนถ่ายเลือดให้คนไข้ ทำให้เขาจำเป็นต้องถ่ายเลือดโดยไม่ได้ตรวจสอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับผู้ป่วยในเขตพม่าตอนบน เพราะเป็นพื้นที่ที่กำลังประสบกับการระบาดเอชไอวีอย่างรวดเร็วมาก ยิ่งกว่านั้น โรคมาเลเรียและตับอักเสบ ซึ่งชุกในพม่าก็ติดต่อได้ด้วยการถ่ายเลือด ลองคิดดูว่า แม้กระทั่งแล็บใหญ่ยังตรวจสอบไม่ได้ แล้วแล็บอื่น ๆ ที่เล็กกว่าจะเป็นอย่างไร แทนที่จะได้รับรักษาโรคจากโรงพยาบาล แต่อาจได้รับโรคที่ร้ายแรงอื่นจากโรงพยาบาลแทน
ปัญหาเรื่องงบประมาณจำกัดส่งผลต่อคุณภาพบุคลากรในโรงพยาบาลอย่างไรบ้าง
เงินเดือนของหมอและเจ้าหน้าที่ที่รับราชการจะต่ำมาก เฉลี่ยแล้วประมาณ 5 – 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ทำให้หมอหลายคนต้องออกไปเปิดคลินิกส่วนตัว แม้ว่าจะผิดกฎหมายก็ตาม เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้หมอที่รับราชการเปิดคลินิกส่วนตัว แต่หมอต้องยอมทำผิดกฎหมาย ไม่อย่างนั้นจะอยู่ไม่ไหว อีกปัญหาที่ใหญ่ก็คือ คุณภาพของมหาวิทยาลัยที่ผลิตบุคลากรทางด้านการแพทย์ล้าหลังมาก เพราะรัฐบาลไม่ได้ลงทุนด้านการศึกษา ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลมักจะสั่งปิดมหาวิทยาลัยเพราะกลัวนักศึกษาจะมาเรียกร้องหาประชาธิปไตย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งจบแพทย์จากที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งเมื่อห้าปีก่อน เล่าให้ฟังว่า หลังจบออกมาเขาทำงานเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลในย่างกุ้ง พอเจอคนไข้ติดเชื้อเอชไอวีเขาต้องวิ่งไปแอบเปิดตำราในห้องสมุดของหน่วยงานอเมริกันในย่างกุ้งเพื่อดูว่าโรคนี้เป็นอย่างไรและจะรักษาอย่างไร เพราะเขาไม่เคยเรียนมาก่อน นี่ขนาดเขาเพิ่งจบมาเมื่อห้าปีก่อน ซึ่งตอนนั้นเรามีข้อมูลว่าเอชไอวีกำลังแพร่ระบาดเร็วมากในพม่า แต่ในมหาวิทยาลัยที่สอนด้านการแพทย์กับยังไม่มีการสอนเรื่องนี้เลย
เมื่อคนไข้ไม่มีเงินไปรักษาที่โรงพยาบาลและหาซื้อยากินเอง ปัญหาที่ตามมามีอะไรบ้าง
ถ้าคนไข้สามารถหาซื้อยาเอง บ่อยครั้งต้องไปหาซื้อในตลาดมืด ซึ่งอาจมีราคาถูก แต่ไม่มีการควบคุมคุณภาพ ยาหลายชนิดเป็นยาปลอม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้นหรือเสียชีวิตลงในที่สุด ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ กรณียารักษาโรคมาเลเรีย เคยมีการสำรวจซึ่งพบว่า เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ของยาจะเป็นของปลอม หากดูจากภายนอก ทั้งกล่องบรรจุ ตัวหนังสือ และแพ็กเก็จของยา ขนาดแพทย์ยังดูไม่ออกเลย เพราะเหมือนของจริงมากต้องเอามาตรวจสอบในห้องแล็บถึงจะรู้ หรือคนที่เชี่ยวชาญจริง ๆ ถึงจะดูรายละเอียดบนกล่องยาออก สำหรับคนไข้อาจเสียชีวิตได้ เพราะไม่ได้รับยาตัวจริงที่สามารถฆ่าเชื้อได้ และยิ่งกว่านั้น เดี๋ยวนี้เราพบว่า ยาสำหรับมาเลเรียหลายตัวที่มาขาย ปริมาณยาในเม็ดยาต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้ระดับยาในเลือดต่ำผู้ป่วยต่ำ และถ้าระดับยาต่ำจนไม่สามารถฆ่าเชื้อมาเลเรียได้ ก็มีโอกาสเกิดการดื้อยา และเดี๋ยวนี้ถ้าดูมาเลเรียในทวีปนี้ที่ชายแดนไทย-พม่า และไทย-เขมรจะพบอัตราดื้อยาสูงสุด เรามียาตัวใหม่ที่เพิ่งคิดค้นออกมาไม่กี่ปีนี้เอง แต่สถานการณ์ในประเทศพม่า ไม่มีการควบคุมยาปลอม หาซื้อยาที่มีคุณภาพไม่ได้ หรือกินยาไม่ถูกต้อง พวกนี้เมื่อบวกเข้ามาหมดแล้ว จะทำให้ยาใหม่ที่เราเพิ่งคิดค้นมีโอกาสล้มเหลวในที่สุด นี่เป็นปัญหาที่กำลังข้ามพรมแดนจากพม่าสู่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
ทุกวันนี้ ปัญหาใหญ่ทางด้านสุขภาพในพม่ามีอะไรบ้าง
มาเลเรีย วัณโรค เอชไอวี/เอดส์ ท้องร่วง ไข้เลือดออก ไทฟอยด์ แม้กระทั่งกาฬโลกและโรคแอนแทรกซ์ (โรควัวบ้า) ยังพบอยู่ในประเทศพม่าเลย ในอดีต เคยมีเหตุการณ์ระบาดของโรคแอนแทรกซ์จากพม่าสู่ไทย โดยชาวบ้านในเมืองไทยติดจากการกินเนื้อวัวที่นำที่ข้ามชายแดนมาจากพม่า นอกจากนี้ ยังมีโรคอื่นหลายอย่างที่ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดผลกระทบของสงครามกลางเมือง เช่น การเหยียบกับระเบิดและการทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจโดยทหารต่อประชาชน
สถานการณ์การรักษาเอชไอวีในพม่าเป็นอย่างไร
แม้กระทั่งพม่าอาจมีการระบาดของเอชไอวี/เอดส์ที่รุนแรงที่สุดในทวีปนี้ แต่มีคนไข้น้อยมากที่จะรับยาต้านเชื้อได้น้อยว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งกว่านั้น เดี๋ยวนี้มีข่าวออกมาว่า คนติดเชื้อเอชไอวีถ้าไปโรงพยาบาลส่วนใหญ่จะให้กลับบ้านเพราะทำอะไรไม่ได้ ทางโรงพยาบาลไม่มีงบช่วยซื้อยาและให้การรักษา คนไข้ก็ไม่มีเงิน ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พม่ามีปัญหาวัณโรคอยู่แล้ว และตอนนี้ก็มีปัญหาเอชไอวีเพิ่มขึ้นมา ซึ่งทั้งสองโรคนี้จะช่วยกันระบาดหรือเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
สถานการณ์วัณโรคในพม่าเป็นอย่างไร
ข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับวัณโรคในพม่ามีน้อยมาก ขนาดข้อมูลที่มีอยู่เป็นข้อมูลที่น่าตกใจที่เรารู้ก็คือพม่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีอัตราการติดเชื้อวัณโรคสูงที่สุดในโลก และจากข้อมูลของ Global Fund ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในพม่าติดเชื้อวัณโรค และในจำนวนนี้ประมาณหนึ่งแสนคนต่อปีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรควัณโรคและสามารถแพร่เชื้อสู่คนอื่นได้ ถึงแม้ว่ากระทั่งวัณโรคเป็นปัญหาใหญ่ในพม่า แต่งบประมาณที่รัฐบาลลงทุนในการรักษาและควบคุมโรคนี้ยังไม่เพียงพอ งบประมาณที่รัฐบาลพม่าใช้สำหรับโรคนี้ประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในจำนวนเงินนี้เป็นเงินที่รัฐบาลพม่าใช้เงินของตนเองเพียงแค่ 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นเงินสนับสนุนจากนานาชาติ แล้วถ้าดูงบประมาณที่นำมาใช้ในเรื่องนี้เป็นของรัฐบาลแค่ 6-7 เปอร์เซ็นต์เอง ที่เหลือต้องให้องค์กรต่างประเทศมาช่วย เขาไม่ยอมสนับสนุนเอง และถึงแม้จะได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรต่างประเทศ แต่อัตราวัณโรคก็ยังสูงอยู่ เพราะหลายพื้นที่ไม่ได้ควบคุม ไม่ให้องค์กรนานาชาติเข้าไป โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ ตัวเลขจริงของการติดเชื้อวัณโรค มาเลเรีย เอชไอวี ซึ่งเป็นปัญหามากบริเวณชายแดนและบริเวณที่ไม่ให้คนต่างชาติเข้าไปแทบจะไม่มีข้อมูลเลย
กรณีวัณโรคข้อมูลเกี่ยวกับยาปลอมจะไม่ค่อยมี แต่วัณโรคจะมีปัญหาแตกต่างจากมาเลเรีย คือ ต้องกินยาหลายชนิดตลอดการรักษาติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน ถ้าซื้อยาไม่ไหว ก็อาจกินสักช่วงหนึ่ง พอรู้สึกดีขึ้นก็หยุดกิน แล้วพอมีอาการอีกก็ซื้อยากินใหม่ หรือาจไม่รู้และกินยาไม่ครบ ถ้าทำอย่างนี้ จะมีโอกาสเกิดการดื้อยาในเชื้อวัณโรค และสิ่งที่เห็นชัดเจนแล้ว ข้อมูลวิจัยจากกรุงย่างกุ้งที่ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2000 พบว่า เชื้อวัณโรคหนึ่งในสามจะดื้อยาหลักอย่างน้อยหนึ่งตัว และมากกว่า 4 เปอร์เซ็นต์จะดื้อยาหลักสองตัวขึ้นไปหรือที่เราเรียกกันว่า MDR TB และสำหรับคนไข้ที่เคยได้รับการรักษามาก่อน เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์จะมีเชื้อวัณโรค MDR เมื่อเปรียบเทียบในเมืองไทย แค่ 0.9 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่เป็นวัณโรคนี้จะติดเชื้อ MDR เชื้อโรคนี้รักษาลำบากและแพง ค่ารักษาในเมืองไทยประมาณ 1 แสนบาทต่อราย และสำหรับวัณโรคนี้ ปัญหาดื้อยาในพม่ากำลังข้ามพรมแดนแล้วด้วย ในปี ค.ศ. 2002 คนงาน 3 หมื่นคนที่ได้รับการตรวจร่างกายที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พบว่า 885 คนเป็นโรควัณโรค และต้องส่งต่อเพื่อรับการรักษา ในคนไข้กลุ่มนี้ 6.5 เปอร์เซ็นต์จะติดเชื้อชนิด MDR
ประเทศเพื่อนบ้านได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างจากปัญหาสาธารณสุขในพม่า
ทุกวันนี้ สถานการณ์ในประเทศพม่าแย่ลงเรื่อย ๆ คนหนีออกจากประเทศตนเองมากขึ้น แล้วคนส่วนใหญ่ที่หนีออกมาก็จะลี้ภัยมาเมืองไทย แล้วถ้าคนกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษา ไม่มีเงิน ไม่มีบัตรอนุญาตทำงาน ไม่มีความรู้ดูแลสุขภาพตนเอง ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ไทยได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพของคนที่อยู่ในเมืองไทย เพราะโรคหลายโรคสามารถติดจากคนสู่คนได้ เช่น วัณโรค ซึ่งเราเพิ่งพูดถึง สำหรับโรคที่ติดจากคนสู่คนไม่ได้ อย่างมาเลเรียหรือเท้าช้าง ยุงที่เป็นพาหะนำโรคในเมืองไทยก็ยังมีอยู่ และถ้ามีผู้ที่มีเชื้อโรคเหล่านี้เดินทางเข้ามาเมืองไทยเป็นจำนวนมาก ยุงก็จะเป็นพาหะนำโรคไปติดคนอื่นได้ เพราะยุงจะไม่สนว่าคุณเป็นคนไทย พม่า หรือชนชาติไหน ดังนั้น เวลาเราคิดถึงการปัญหาสาธารณสุขข้ามพรมแดน หนึ่ง เราต้องแก้ปัญหาที่บ้านเราด้วย ปัญหาใหญ่ก็คือการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และโครงการสาธารณสุข สอง เราต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วย เหมือนกับกรณี ชาวกะเหรี่ยง แม่และลูก 3 คนมารักษามาเลเรีย พอหายแล้วกลับไปฝั่งพม่า อีกไม่นานก็ต้องกลับมารักษาอีก เพราะปัญหา คือ รัฐบาลพม่าไม่ลงทุนด้านสุขภาพประชาชน สนใจแต่สร้างกองทัพที่ใหญ่โตที่สุดในภูมิภาคนี้ เพื่อทำสงครามกับประชาชนของตนเอง แม้ทุกวันนี้ปัญหาด้านสุขภาพในพม่าจะเลวร้ายมาก แต่รัฐบาลก็ยังจัดสรรงบประมาณไปย้ายเมืองหลวงใหม่อีก นี่เป็นตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งที่ชัดเจนว่า รัฐบาลพม่าไม่ได้สนใจลงทุนกับเรื่องสุขภาพ แต่ประเทศเพื่อนบ้านต้องมาแบกรับแทน นอกจากนี้ พม่ายังคงเป็นผู้ผลิตยาเสพติดอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะเฮโรอีนและแอมเฟตามีน(ยาบ้า) ทุกวันนี้ ยาเสพติดทั้งสองชนิดยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม เรามีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าเฮโรอีนแพร่ไปถึงไหน เอชไอวีจะตามไปถึงนั่น ดังนั้น แม้ว่าประเทศไทยยังคงดำเนินนโยบาย “สงครามยาเสพติด” ที่บ้านของตนเองต่อไป แต่ในระยะยาว ถ้าสถานการณ์ในพม่ายังไม่มีเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยก็จะไม่มีทางควบคุมปัญหายาเสพติด หรือไม่สามารถประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคเอชไอวีได้เลย
ในฐานะไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เราควรจะทำอย่างไรที่ไม่ให้ปัญหารุนแรงไปมากกว่านี้
ถ้าคนไทยอยากจะไปลงทุนหรือทำการค้ากับพม่า อย่าลืมนึกถึงผลกระทบต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพของคนไทยที่จะตามมาด้วย ยกตัวอย่างเช่น โครงการสร้างเขื่อนสาละวิน ถ้าเมืองไทยเข้าไปสร้างเขื่อนสาละวินจะกระทบยังไงกับสุขภาพ ? เรามีตัวอย่างที่เห็นจากการสร้างเขื่อนทั่วโลกแล้วว่า การสร้างเขื่อนอาจก่อให้เกิดโรคหลาย ๆ อย่างตามมา เช่น โรคมาเลเรีย โรคเท้าช้าง หรือพยาธิอื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในการไหลเวียนของน้ำและการเปลี่ยนแปลงพาหะนำโรค เช่น ยุง รัฐบาลทหารพม่ามีประวัติมาแล้วว่า ใช้นโยบายกวาดล้างหมู่บ้านในท้องถิ่นให้หมดและใช้ชาวบ้านเป็นแรงงานทาสในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ซึ่งนโยบายนี้ได้บังคับคนหลายคนที่ต้องหนีออกจากหมู่บ้านของตนเองในถิ่นซึ่งโรคเช่นมาเลเรียกับโรคเท้าช้างยังชุก ถ้าเมืองไทยเข้าไปสร้างเขื่อนในที่นี้ อาจนำไปสู่การอพยพของผู้คนจากดินแดนแถบนี้สู่ประเทศไทยมากขึ้น และทำให้สถานการณ์ระบาดของโรคเหล่านี้รุนแรงมากขึ้น
ผมอยากจะให้มองปัญหาแบบองค์รวม เพราะทุกคนจะคิดถึงแต่หลักการเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่นคนที่ดูเรื่องพลังงานก็จะดูแต่พลังงานอย่างเดียว คนที่ดูเรื่องการเมืองก็จะดูเรื่องการเมืองอย่างเดียว แต่เรื่องสาธารณสุขมันเชื่อมโยงกันหมด ถ้ามีนักลงทุนและนักการเมืองออกมาอ้างว่าการสร้างเขื่อนสาละวินจะทำให้ไฟฟ้าในไทยถูกลง ซึ่งถ้ามองในต้นทุนด้านพลังงานเพียงอย่างเดียวก็อาจจะจริง แต่ในระยะยาวหล่ะ? ค่าไฟฟ้าจากเขื่อนสาละวินอาจไม่ถูกอย่างที่คิด เพราะเราอาจต้องสูญเสียงบประมาณในการควบคุมการระบาดของโรคซึ่งเคยควบคุมได้แล้วในเมืองไทย และสิ่งที่ยังประเมินค่าไม่ได้ คือ ชีวิตของผู้คนที่ต้องล้มหายตายจากไปด้วยการระบาดของโรคเก่าที่กลับคืนมา
ช่วยยกตัวอย่างวิธีควบคุมโรคที่หมดไปจากประเทศไทยแล้ว
ตัวอย่างที่ดีก็คือ โรคเท้าช้าง ซึ่งติดต่อได้ด้วยยุงหลายชนิด เมื่อ 40-50 ปีก่อน เมืองไทยยังพบคนที่เป็นโรคนี้อยู่เยอะ แต่เราสามารถกำจัดได้เพราะเรามีระบบสาธารณสุขที่ดี และให้ความสำคัญกับการควบคุมโรคนี้ ทุกวันนี้ คนเป็นโรคเท้าช้างในเมืองไทยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ตามชายแดนไทย – พม่าและไม่ได้เป็นคนไทย แต่ในเมืองไทยยุงซึ่งเป็นพาหะนี้ยังมีอยู่ทั่วประเทศไทย และที่ประเทศพม่ายังไม่มีระบบสาธารณสุขที่รักษาและควบคุมโรคนี้ได้สักที และหลายพื้นที่ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่มาก อย่างในแถบรัฐฉานหรือรัฐกะเหรี่ยง แม้จะไม่มีการรายงานผู้ป่วยโรคเท้าช้างจากข้อมูลของรัฐบาล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในพื้นที่นี้ไม่มีโรคนี้อยู่ แต่เป็นเพราะไม่ได้สำรวจ ผมสามารถยืนยันได้เลยว่าพื้นที่พวกนี้ยังมีเชื้อโรคนี้แน่นอน เพราะเมื่อสองปีก่อนได้มีคนไข้สองคนที่มาจากรัฐฉานทำงานอยู่ในเชียงใหม่ป่วยเป็นโรคเท้าช้าง ซึ่งเป็นโรคที่เราไม่ได้พบในเขตเมืองเชียงใหม่มาหลายทศวรรษแล้ว คนไข้ทั้งสองมาจากบริเวณที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาก ทำให้คนต้องหนีมาอยู่ในเมืองไทย หมู่บ้านที่ต้องหนีมาอยู่ใกล้กับที่ไทยสนใจสร้างเขื่อนสาละวิน สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวหากติดเชื้อโรคนี้ และยุงสามารถนำเชื้อนี้กระจายไปสู่คนอื่นได้ ถ้าไทยลงทุนสร้างเขื่อนสาละวินอาจทำให้คนต้องหนีเข้ามาเมืองไทยเพิ่มขึ้น แล้วส่งผลกระทบต่อสุขภาพของในเมืองไทย โดยเฉพาะโรคเท้าช้าง ในเขตเมืองของประเทศไทยเรากำจัดได้แล้ว แต่ตอนนี้มันได้กลับคืนมาแล้ว
คนไทยหลายคนมองว่าประชาชนจากพม่านำเชื้อโรคเหล่านี้มาแพร่ระบาดในสังคมไทย หมอมองเรื่องนี้อย่างไร
ผมคิดว่าปัญหานี้ต้องมองสองด้าน คือ หนึ่ง เหตุผลที่ทำให้เขาต้องหนีมาเมืองไทย สอง เหตุผลที่เขาไม่สามารถเข้าถึงบริการทางด้านสาธารณสุขของไทยได้ เพราะทั้งสองอย่างเป็นต้นเหตุการณ์ระบาดของโรคต่าง ๆ ผมมักได้ยินคนไทยพูดว่า คนพม่าเป็นพาหะนำโรค แต่จริงๆ แล้วยุงต่างหากที่เป็นพาหะนำโรค ส่วนคนที่มีเชื้อเหล่านี้ เราเรียกว่า “คนไข้” หรือ “ผู้ติดเชื้อ” ถ้าคนไทยยิ่งรู้สึกรังเกียจคนจากพม่าโดยไม่เข้าใจต้นตอของปัญหา จะทำให้ผู้ป่วยยิ่งไม่กล้าเข้ารับการรักษา ซึ่งจะส่งผลทำให้โรคระบาดง่ายมากขึ้น และเราจำเป็นต้องแก้ไขต้นตอของปัญหาทั้งสองด้านในวลาเดียวกัน ถ้าเราแก้แค่ด้านเดียว ปัญหาก็จะไม่มีวันสิ้นสุด
หนทางแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชนจากประเทศพม่าควรเป็นอย่างไร
อันนี้เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะปัญหาหลายอย่าง ไม่ได้เป็นปัญหาแค่สุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับหลายอย่าง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ทุกอย่างต้องพัฒนาไปด้วยกัน ประเทศเพื่อนบ้านต้องคำนึงถึงปัญหาสุขภาพของประชาชนในประเทศพม่าให้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้ เราต้องแบกรับภาระมากขึ้นเหล่านี้มากขึ้นทุกที และไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น ทั้งจีนและอินเดียก็ประสบปัญหาเดียวกัน ดังนั้น ปัญหาสุขภาพต้องเป็นประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านจำเป็นต้องยกมาคุยกับรัฐบาลพม่า และเราจะคุยเรื่องปัญหาสุขภาพเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีการเจรจาเพื่อปัญหาที่เชื่อมโยงถึงกันด้วย ที่ผ่านมามีหลายรัฐบาลที่พยายามเจรจากับพม่า เรื่องปัญหายาเสพติด หรือการค้าขายระหว่างประเทศ แต่ไม่อยากยุ่งเรื่องการเมืองภายในของพม่า แต่วันนี้ถึงเวลาต้องคุยเพราะปัญหาภายในของประเทศพม่าได้ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ทุกโครงการที่เราไปร่วมมือกับรัฐบาลพม่า โดยเฉพาะบริเวณชายแดน ต้องคำนึงถึงการระบาดของโรคด้วย เพราะถ้าเราไม่คิดคำนึงถึงปัญหานี้ หากในอนาคตมันเกิดขึ้นแล้ว ก็อาจจะสายเกินแก้ไข
ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจากต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้าง
มีงบประมาณไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศยากจนอื่นในภูมิภาคนี้ เช่น ลาว และ กัมพูชา แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีองค์กรต่างประเทศเพียงไม่กี่องค์กรเข้าไปทำงานในพม่า แต่เดี๋ยวนี้หลายองค์กรได้ถอนตัวออกจากพม่าเพราะทำงานไม่ได้ อย่างเช่น Global Fund ซึ่งทำงานเรื่องเอชไอวี ได้ถอนตัวไปแล้วเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ด้วยสาเหตุว่า รัฐบาลพม่ามีข้อจำกัดมากจนกระทั่งองค์กรไม่สามารถทำงานได้ และทุกวันนี้ พม่าเป็นประเทศเดียวที่ Global Fund ได้ถอนตัว แต่แทนที่จะมาแก้ปัญหานี้ รัฐบาลพม่ากลับออกแนวทางปฏิบัติใหม่สำหรับเอ็นจีโอต่างประเทศที่ต้องการทำงานในพม่าโดยเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมองค์กรต่างประเทศได้มากขึ้น เช่น ถ้าไปทำงานนอกเมือง ต้องขออนุญาต รบ.พม่าก่อน และต้องมีคนของรัฐบาลติดตามไปด้วยตลอด ต้องส่งรายชื่อคนทำงานและแจ้งรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ ให้รัฐบาลพม่าทราบล่วงหน้า และถ้ามีการเปลี่ยนแปลงการทำงานก็ต้องขออนุญาตรัฐบาลพม่าก่อน แม้กระทั่งการจ้างเจ้าหน้าที่ต่างประเทศ องค์กรต้องส่งรายชื่อและได้รับอนุญาตจากรัฐบาลพม่าก่อน และต้องส่งรายงานทุกเดือน จะเห็นได้ว่า แม้ประเทศพม่ามีปัญหาด้านสุขภาพรุนแรงขนาดนี้ รัฐบาลก็ยังกีดกันไม่ให้องค์กรที่ต้องการเข้าไปช่วยเหลือทำงานได้อย่างสะดวกอีก นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลพม่าห่วงใยประชาชนของตนเองแค่ไหน กลุ่มล่าสุดที่ถอนตัวออกมา คือ MSF France ซึ่งเป็นองค์กรที่มีประสบการณ์ทำงานในเขตสู้รบ แต่ยังต้องถอนตัวออกจากพม่าเลย หัวหน้าโครงการนี้บอกว่า สาเหตุที่รัฐบาลพม่าต้องการควบคุมองค์กรทางด้านมนุษยธรมนานาชาติเพราะไม่อยากให้องค์กรเหล่านี้เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทารุณกรรมที่รัฐบาลพม่ากระทำต่อประชาชนของตนเอง เจ้าหน้าที่คนนี้ยังเพิ่มเติมอีกว่า พนักงานพม่าที่ร่วมงานด้วยยังโดนรัฐบาลข่มขู่ และในกรณีเช่นนี้ องค์กรไม่สามารถทำงานได้และจำเป็นต้องถอนตัวออกมา และในที่สุด ประชาชนชาวพม่าจึงเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากนโยบายของรัฐบาลเผด็จการที่กดดันจนกระทั่งองค์กรช่วยเหลือระดับนานาชาติไม่สามารถทำงานได้
ดุเหมือนการแก้ปัญหาเรื่องสุขภาพในพม่าจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง
ปัญหานี้ต้องแก้หลายระดับ ถ้าเราจะเข้าไปช่วยเหลือด้านสุขภาพอย่างเดียวคงไม่ได้ ถ้าอยากแก้ปัญหาสุขภาพต้องแก้ร่วมกับหลายอย่าง ทั้งวิกฤติการเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการเซ็นเซอร์สื่อ ความยากจน ความด้อยโอกาส ความด้อยการศึกษาและไม่มีความรู้ และสถานการณ์นี้ในพม่าไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นเลย มีแต่จะแย่ลง และแทนที่จะมาแก้ปัญหานี้ รัฐบาลพม่ากลับทุ่มเทงบประมาณและกำลังคนให้กับการย้ายเมืองหลวง และยังออกนโยบายใหม่ที่กีดกันความช่วยเหลือประชาชนมากยิ่งขึ้น ผมเลยมองไม่เห็นว่าแนวโน้มทางด้านสาธารณสุขจะดีขึ้นได้อย่างไร
มีหลายพื้นที่ที่ในพม่าที่คนอพยพมาเมืองไทยกลับไปไม่ได้แล้ว ถ้าปัญหาในประเทศพม่าไม่เปลี่ยนแปลงก็จะมีคนมามากขึ้น และถ้าเขาไม่ได้เข้าถึงระบบการรักษาและสาธารณสุข โดยเฉพาะถ้าต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ปัญหาสุขภาพในสังคมไทยก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และตอนนี้ เรามีอีกหนึ่งตัวอย่างที่บ่งบอกถึงการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลพม่าที่อาจส่งผลกระทบมาถึงเมืองไทย ซึ่งเป็นโรคไข้หวัดนก เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้ว่า รัฐบาลพม่าควบคุมได้ถึงไหน แม้รัฐบาลพม่าจะออกประกาศว่า ควบคุมได้แล้ว แต่ปัญหาก็คือ สื่อและเจ้าหน้าที่ของเขาโดนเซ็นเซอร์ แล้วห้องแล็บก็ไม่มีบุคลากร สารเคมี เครื่องมือที่จะตรวจหาเชื้อนี้ หลายพื้นที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลพม่า และยิ่งขาดข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของโรคนี้ เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา ยังมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานหนึ่งของสหประชาชาติแถลงข่าวว่า ยังมีการระบาดของไข้หวัดนกในฝูงไก่แถวภาคมัณฑะเลย์กับสะกาย เจ้าหน้าที่คนเดียวกันก็ยอมรับว่าข้อมูลมีไม่เพียงพอ
ผมเป็นห่วงว่า อีกไม่นาน ปัญหานี้จะข้ามพรมแดนมายังประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนกับปัญหาอื่น ประเทศเพื่อนบ้านต้องมาแบกรับภาระนี้ด้วย อย่าลืมว่า ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่น่ากลัวมาก โรคระบาดที่คร่าชีวิตคนมากที่สุดก่อนยุคเอชไอวีก็คือโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งในปี ค.ศ. 1918 ได้มีการระบาดทั่วโลกซึ่งคร่าชีวิตคนไปมากกว่า 20 ล้านคน วิธีที่ควบคุมได้ดีที่สุดก็คือการเปิดเผย การมีระบบสาธารณสุขที่ตรวจหาได้ และแยกผู้ติดเชื้อเพื่อทำการรักษา และการประสานงานและร่วมมือระหว่างชุมชน รัฐ และองค์กรนานาชาติอย่างดี ซึ่งขณะนี้ยังขาดอยู่ในประเทศพม่า
ประเทศเพื่อนบ้านของพม่ามักพูดว่าไม่อยากแทรกแซงการเมืองในพม่า แต่ดูเหมือนปัญหาสุขภาพกระทบกับไทยอย่างชัดเจน
ผมมองว่า ทุกวันนี้ ปัญหาการเมืองของเขาก็เข้ามาแทรกแซงกับสาธารณสุขในบ้านเราแล้ว ปัญหาการเมืองได้ส่งผลข้ามพรมแดน ถ้าเราอยากแก้ปัญหาด้านสุขภาพโดยไม่เอาการเมืองไปแทรกแซงเป็นไปไม่ได้ และเราคงต้องหยุดคิดเรื่องพรมแดน การแบ่งเขตประเทศในการแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะในที่สุด บนเส้นพรมแดนซึ่งยาวกว่าสองพันกิโลเมตรเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์จินตนาการขึ้นมา แต่ในความเป็นจริง ทั้งคนและยุงก็สามารถข้ามพรมแดนที่มองไม่เห็นนี้ได้อย่างง่ายได้ ใช่หรือไม่ ?.