

ทั้งสองคนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคนกะเหรี่ยงที่อยู่ฝั่งโน้น (ประเทศพม่า) อย่างไรบ้าง
ตือโพ : ปู่ผมเป็นปะหล่องในสบเมยแต่บ้านเกิดผมอยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ พ่อผมเป็นคนจังหวัดตาก ผมจึงผูกพันกับคนกะเหรี่ยงทางฝั่งพม่าเยอะหน่อย ตอนนี้มีคนที่แต่งงานกับญาติพี่น้องของผมเยอะเลย บางคนก็ไม่มีบัตรประจำตัวบางคนก็มีเพราะอยู่นานแล้ว
ตือโพ : ปู่ผมเป็นปะหล่องในสบเมยแต่บ้านเกิดผมอยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ พ่อผมเป็นคนจังหวัดตาก ผมจึงผูกพันกับคนกะเหรี่ยงทางฝั่งพม่าเยอะหน่อย ตอนนี้มีคนที่แต่งงานกับญาติพี่น้องของผมเยอะเลย บางคนก็ไม่มีบัตรประจำตัวบางคนก็มีเพราะอยู่นานแล้ว
คนกะเหรี่ยงที่แต่งกับคนฝั่งโน้น หลังจากแต่งงานแล้วเขาอยู่ ฝั่งโน้นหรือฝั่งเรา
ตือโพ : ย้ายมาอยู่ที่ฝั่งเรา
ตือโพ : ย้ายมาอยู่ที่ฝั่งเรา
ทำไปเขาถึงไม่ไปอยู่ฝั่งโน้น
ตือโพ : มันไปไม่ได้และก็อันตรายด้วย ไม่ค่อยปลอดภัย อยู่แถวนี้จะสงบดีกว่า
ตือโพ : มันไปไม่ได้และก็อันตรายด้วย ไม่ค่อยปลอดภัย อยู่แถวนี้จะสงบดีกว่า
กลัวไหมเวลาข้ามไปฝั่งโน้น
ตือโพ : เวลาเราเข้าไปเขาจะต้อนรับเป็นอย่างดี เหมือนพี่เหมือนน้อง แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวกว่าที่เราเห็น
ตือโพ : เวลาเราเข้าไปเขาจะต้อนรับเป็นอย่างดี เหมือนพี่เหมือนน้อง แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวกว่าที่เราเห็น
แล้วอะไรที่น่ากลัว
ตือโพ : ที่น่ากลัวก็คือทหารที่แบกปืนกระบอกใหญ่ ๆ ที่เวลาเราข้ามเรือข้ามน้ำ หน้าแต่ละคนไม่ยิ้มเลยนะ แต่เวลาเราไปถึงหมู่บ้านแล้ว พี่จ๋าน้องจ๋า ขึ้นมากินอาหารดื่มอะไรเย็น ๆ ก่อน จัดอาหารการกินให้เรียบร้อยเลย
ตือโพ : ที่น่ากลัวก็คือทหารที่แบกปืนกระบอกใหญ่ ๆ ที่เวลาเราข้ามเรือข้ามน้ำ หน้าแต่ละคนไม่ยิ้มเลยนะ แต่เวลาเราไปถึงหมู่บ้านแล้ว พี่จ๋าน้องจ๋า ขึ้นมากินอาหารดื่มอะไรเย็น ๆ ก่อน จัดอาหารการกินให้เรียบร้อยเลย
ที่น่ากลัวนี่ทหารพม่าหรือทหารกะเหรี่ยง
ตือโพ : มันก็ทั้งคู่นั่นแหละ ทหารพม่ากับทหารกะเหรี่ยงก็อยู่ใกล้ๆ กันนั่นแหละ
ตือโพ : มันก็ทั้งคู่นั่นแหละ ทหารพม่ากับทหารกะเหรี่ยงก็อยู่ใกล้ๆ กันนั่นแหละ
เคยเจอทหารกะเหรี่ยงไหม
ตือโพ : เคย
ตือโพ : เคย
ถ้าเจอทหารกะเหรี่ยงพูดกันรู้เรื่องไหม
ตือโพ : รู้เรื่อง
ตือโพ : รู้เรื่อง
ถ้าเจอทหารพม่าจะทำอย่างไร
ตือโพ : ก็จะยากหน่อย เพราะพูดได้นิดๆ หน่อยๆ แต่เวลาผมไปฝั่งโน้นก็จะมีเพื่อนที่พูดพม่าได้ไปด้วย ปีนี้ก็ไปมาสองสามครั้ง
ตือโพ : ก็จะยากหน่อย เพราะพูดได้นิดๆ หน่อยๆ แต่เวลาผมไปฝั่งโน้นก็จะมีเพื่อนที่พูดพม่าได้ไปด้วย ปีนี้ก็ไปมาสองสามครั้ง
ในความรู้สึกของตือโพชาวกะเหรี่ยงฝั่งโน้น(พม่า) กับชาวกะเหรี่ยงฝั่งนี้ (ไทย)มีอะไรที่แตกต่างกันบ้างไหม
ตือโพ : ต่างกันเยอะ เรื่องการทำมาหากิน เพราะคนที่ทำนาอยู่ในเขตพม่าต้องแบ่งข้าวให้ทหาร สมมติว่าได้ข้าว 50 ถัง แต่ตัวเองได้กินแค่ 15 ถัง นอกนั้นต้องแบ่งให้ทหาร
แสดงว่าชีวิตเขาลำบากกว่า
ตือโพ : ลำบากกว่าครึ่งหนึ่ง ชีวิตเขาน่าสงสาร แต่เขาก็ต้องอยู่แบบนั้น จะออกมาข้างนอกก็ไม่ได้ แต่เวลาเราไปเขาก็ทำอาหารการกินต้อนรับอย่างดี มีข้าวมีน้ำวางไว้ให้ล้างมือ
เสร็จแล้วต้มน้ำร้อนให้ดื่มด้วย อาหารส่วนมากก็จะเป็นปลาฮ้า (ปลาร้า) พวกต้มส้มอะไรอย่างนี้
ตือโพ : ลำบากกว่าครึ่งหนึ่ง ชีวิตเขาน่าสงสาร แต่เขาก็ต้องอยู่แบบนั้น จะออกมาข้างนอกก็ไม่ได้ แต่เวลาเราไปเขาก็ทำอาหารการกินต้อนรับอย่างดี มีข้าวมีน้ำวางไว้ให้ล้างมือ
เสร็จแล้วต้มน้ำร้อนให้ดื่มด้วย อาหารส่วนมากก็จะเป็นปลาฮ้า (ปลาร้า) พวกต้มส้มอะไรอย่างนี้
อาหารที่นี่สมบูรณ์กว่าไหม
ตือโพ : สมบูรณ์กว่า
ตือโพ : สมบูรณ์กว่า
แล้วสำหรับตัวชิเองรับรู้เรื่องราวของคนกะเหรี่ยงฝั่งพม่าอย่างไรบ้าง
ชิ : ตอนแรกผมไม่มีประสบการณ์กับคนฝั่งโน้นเท่าไหร่ ผมโตมาอีกระบบหนึ่ง กว่าผมจะได้เข้าอำเภอก็อายุ 15 ปี เพราะ ต้องไปถ่ายบัตรประชาชน นอกนั้นก็อยู่แต่ในหมู่บ้าน สำหรับเรื่องราวของคนกะเหรี่ยงฝั่งโน้น ตอนแรกผมรับรู้จากคนที่หนีภัยสงครามมาเพราะบ้านผมอยู่ที่วัดจันทร์ อ.แม่แจ่ม เขาหนีมาทางแม่ฮ่องสอน ผ่านแม่สะเรียง ผ่านปางมะผ้า แล้วก็มาบ้านผมไปต่อสะเมิง ขึ้นแม่แตง ไปเข้าเชียงใหม่ ไปเชียงรายและก็เข้ากรุงเทพ บ้านผมนี่เป็นทางผ่าน บางคนหนีมาก็มาได้เมียที่บ้านผมก็มี มาทำงานอยู่สักพักหนึ่ง เราได้สัมผัสชีวิตเขาและก็ได้พูดคุยบ้างว่าเป็นยังไง แต่ว่าในมุมลึก ๆ จริงๆ เราไม่ค่อยได้รับรู้ สิ่งที่เรารับรู้ก็คือคนที่อยู่ตามชายแดน
ชิ : ตอนแรกผมไม่มีประสบการณ์กับคนฝั่งโน้นเท่าไหร่ ผมโตมาอีกระบบหนึ่ง กว่าผมจะได้เข้าอำเภอก็อายุ 15 ปี เพราะ ต้องไปถ่ายบัตรประชาชน นอกนั้นก็อยู่แต่ในหมู่บ้าน สำหรับเรื่องราวของคนกะเหรี่ยงฝั่งโน้น ตอนแรกผมรับรู้จากคนที่หนีภัยสงครามมาเพราะบ้านผมอยู่ที่วัดจันทร์ อ.แม่แจ่ม เขาหนีมาทางแม่ฮ่องสอน ผ่านแม่สะเรียง ผ่านปางมะผ้า แล้วก็มาบ้านผมไปต่อสะเมิง ขึ้นแม่แตง ไปเข้าเชียงใหม่ ไปเชียงรายและก็เข้ากรุงเทพ บ้านผมนี่เป็นทางผ่าน บางคนหนีมาก็มาได้เมียที่บ้านผมก็มี มาทำงานอยู่สักพักหนึ่ง เราได้สัมผัสชีวิตเขาและก็ได้พูดคุยบ้างว่าเป็นยังไง แต่ว่าในมุมลึก ๆ จริงๆ เราไม่ค่อยได้รับรู้ สิ่งที่เรารับรู้ก็คือคนที่อยู่ตามชายแดน
รู้สึกอย่างไรตอนที่เราได้ฟัง
ชิ : มันเหมือนกับว่าชะตาลิขิตเรามาต่างกัน ต่างกันตรงการกำหนดพรมแดนของมนุษย์ นอกจากนั้นสิ่งต่างๆ ก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อก็เลือดเนื้อเดียวกัน ภาษาก็ภาษาเดียวกัน กินข้าวก็เหมือนกัน ขี้ก็เหม็นเหมือนกัน ผมว่าตรงนี้มันเป็นความเหมือน แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างกันคือคนมากำหนดว่านี่คือฝั่งพม่านี่คือฝั่งไทยผมคิดว่าในโลกนี้มีอะไรอีกเยอะที่เหมือนกันแต่ถูกทำให้ไม่เหมือนกัน ผมเคยไปญี่ปุ่น แค่ตัวหนังสือมันก็แตกต่างแล้ว คำพูด แตกต่าง แต่พอไปที่พม่าปุ๊บ มันไม่เหมือนไปต่างประเทศเลย ราวตากผ้ามีเสื้อปกากะญอตากอยู่ เหมือนเราไปเล่นดนตรี
ต่างหมู่บ้านแถวลำพูน เชียงราย ไม่เหมือนไปต่างประเทศ คนกินหมากฟันดำ ยิ้มออกมาเห็นฟันดำไม่เห็นฟันขาว เวลาคายหมากก็ถุยเหมือนกัน และเมื่อปลายปี 46 ต้นปี 47 ผมได้มีโอกาสเข้าไปย่างกุ้ง เข้าไปเมืองพะสินลุ่มน้ำอิรวดี พอไปที่โน่นรู้สึกว่าปกากะญอที่ฝั่งไทยนี่เป็นแค่ของแถม ที่โน่นมีเป็นล้าน และที่ตกสำรวจอีกเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นในย่างกุ้ง ตัวเมืองนี่มีหลากหลาย มีทั้งคนมอญมีทั้งไทยใหญ่ แต่ว่านอกเมืองนี่พอไปที่ลุ่มน้ำอิรวดีที่ปกากะญอเรียกว่าพีถะสเว พีถะแปลว่าสบน้ำ สเว แปลว่าเกาะ เพราะแม่น้ำอิรวดีถ้าดูในแผนที่ พอแม่น้ำใหญ่ไหลลงปุ๊บ ก่อนจะถึงทะเลมันจะแตกออกมาเป็นหลายเกาะแก่ง แถบนั้นจะอุดมสมบูรณ์มาก ปลูกอะไรก็ขึ้นดีมาก จะมีปลามีอะไรมาอยู่ และแถวนั้นจะเป็นหมู่บ้าน ตรงนั้นปกากะญอก็พรึบ...ตอนแรกเราคิดว่าประเทศไทยนี่ปกากะญอเยอะที่สุด เราก็เลยคิดว่า วัฒนธรรมอะไรตรงนั้นมันน่าจะมีอยู่เยอะ แต่ว่าถ้าเป็นในเมืองจริง ๆ มันก็หายเหมือนกัน ถูกกลืนถูกอะไรไป
เรื่องของเสียงดนตรี อย่างเตหน่าหน้าตาเหมือนกันรึเปล่า
ตือโพ : แล้วแต่คนทำ อาจจะทำเป็นรูปสัตว์ รูปนั้นรูปนี้แต่จริง ๆ แล้วก็เหมือนกัน
ชิ : เสียงดนตรีของผมนี้ จริง ๆ แล้วผมนับถือคริสต์ คนพม่าในเมืองเขาก็นับถือคริสต์ก็มี อย่างศาสนาพุทธทั่วโลกก็มีบทสวดเดียวกัน อย่างบทสวดนมัสการพระเจ้าก็มีกีตาร์อะไรเข้ามาช่วย อยากมีพื้นฐานดีผมก็ต้องเรียนรู้จากเขา ส่วนมากจะเป็นคนมีฝีมือ และที่ได้รับรู้สถานการณ์จากทางโน้น ผมได้รับรู้จากคำทา
ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าคำทาหมายถึงอะไร
ชิ : คำทาคือบทกวีหรือบทลำนำเก่า ๆ มีบทหนึ่งกล่าวว่า “ผีโผล่มาจากน้ำสาละวิน ยักษ์โผล่มาจากน้ำสาละวิน แต่งตัว เหมือนลายต้นบุกเป็นลายพราง และก็ฆ่าพี่น้องของเรา” มันคือสถานการณ์ที่สืบมาตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เราถูกรุกราน ถูกไล่ มันมีเป็นร้อยเป็นพันปีมาแล้ว
คำทานี่เป็นคำที่คนเฒ่าคนแก่เขาแต่งกันมาใช่ไหม
ชิ : เขาแต่งกันมานานมาก แสดงให้เห็นว่าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้มีมานานแล้ว การแย่งชิงทรัพยากร การแย่งชิงอำนาจ
การรุกราน มันทำให้เราได้รับรู้สถานการณ์ผ่านทางคำทา
ตือโพเคยได้ฟังคำทาจากคนฝั่งโน้นบ้างไหม
ตือโพ : เยอะมากจากปู่ย่าตายาย บทเพลงแต่ละเพลงนี่มันจะมีหลายขั้นตอน คล้ายกับการปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง มันจะ ขยายออกไปเป็นกิ่ง เป็นก้าน เป็นใบ เยอะแยะไปหมด ตอนแรก ก็มีต้นเดียว อย่างคำทานี่ต่อมาก็มีลูกมีหลานมีเหลนแตกออกมาเรื่อยๆ ไม่ใช่เพิ่งแต่งออกมาใหม่ มันจะมีมาตั้งแต่พันๆ ปี
จากปู่ย่าตายาย
แต่ละคนเรียนดนตรีมาจากที่ไหน
ตือโพ : ผมเรียนมาจากปู่ จากปู่แล้วมาพ่ออีกทีหนึ่ง เรียกว่ามาจากพ่อมากกว่า แต่พ่อผมเสียชีวิตไปและทำเตหน่า
ทิ้งไว้ให้ผมอันหนึ่ง แต่มีเด็กเกเรคนหนึ่งเอาของผมไปทิ้งไปขว้าง เสียหาย ผมนี่ร้องไห้ไป 3 วันเลย
ชิ : เตหน่าของผมได้มาเพราะมีคนกะเหรี่ยงนับถือคริสต์ แถวอำเภอแม่แจ่มที่ไปเรียนพระคัมภีร์ที่เมืองผาปูน ในรัฐกะเหรี่ยง ฝั่งพม่า เขาต้องข้ามแม่น้ำสาละวินแถวอำเภอแม่สามแลบ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เขาได้เรียนการเล่นเตหน่าที่นั่น หลังจาก เรียนจบก็กลับมาแล้วก็กลับมาเผยแพร่เรื่องศาสนาคริสต์ที่ฝั่งไทย พอดีไปเจอพ่อผม พ่อผมก็ไปเรียนประมาณ 1 อาทิตย์เอาเงินให้ 20 บาท เงินจำนวนนี้เมื่อประมาณ 40 กว่าปีก่อนถือว่าเยอะมาก แล้วพ่อผมก็มาสอนผม
ตือโพ : ผมเรียนมาจากปู่ จากปู่แล้วมาพ่ออีกทีหนึ่ง เรียกว่ามาจากพ่อมากกว่า แต่พ่อผมเสียชีวิตไปและทำเตหน่า
ทิ้งไว้ให้ผมอันหนึ่ง แต่มีเด็กเกเรคนหนึ่งเอาของผมไปทิ้งไปขว้าง เสียหาย ผมนี่ร้องไห้ไป 3 วันเลย
ชิ : เตหน่าของผมได้มาเพราะมีคนกะเหรี่ยงนับถือคริสต์ แถวอำเภอแม่แจ่มที่ไปเรียนพระคัมภีร์ที่เมืองผาปูน ในรัฐกะเหรี่ยง ฝั่งพม่า เขาต้องข้ามแม่น้ำสาละวินแถวอำเภอแม่สามแลบ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เขาได้เรียนการเล่นเตหน่าที่นั่น หลังจาก เรียนจบก็กลับมาแล้วก็กลับมาเผยแพร่เรื่องศาสนาคริสต์ที่ฝั่งไทย พอดีไปเจอพ่อผม พ่อผมก็ไปเรียนประมาณ 1 อาทิตย์เอาเงินให้ 20 บาท เงินจำนวนนี้เมื่อประมาณ 40 กว่าปีก่อนถือว่าเยอะมาก แล้วพ่อผมก็มาสอนผม
เมื่อก่อนเขาแบ่งกันไหมว่าคนไหนกะเหรี่ยงไทย กะเหรี่ยงพม่า เขารู้กันไหมว่าตรงนี้ฉันอยู่ฝั่งไทย ตรงนี้ฉันอยู่ฝั่งพม่า
ชิ : เมื่อก่อนดูที่แม่น้ำสาละวิน ฝั่งหนึ่งเป็นฝั่งตะวันตก อีกฝั่งหนึ่งเป็นฝั่งตะวันออก เวลาข้ามจะใช้เรือข้ามไป เขาไม่ได้แบ่งเป็นประเทศ แบ่งแค่ตะวันตกกับตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน
ชิ : เมื่อก่อนดูที่แม่น้ำสาละวิน ฝั่งหนึ่งเป็นฝั่งตะวันตก อีกฝั่งหนึ่งเป็นฝั่งตะวันออก เวลาข้ามจะใช้เรือข้ามไป เขาไม่ได้แบ่งเป็นประเทศ แบ่งแค่ตะวันตกกับตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน
เวลาเราได้ยินว่าคนกะเหรี่ยงพุทธกับกะเหรี่ยงคริสต์ฝั่งโน้นรบกันเรารู้สึกอย่างไร
ตือโพ : ที่จริงหัวใจคนเราก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะถือพุทธถือคริสต์
ชิ : ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่เคยเป็นทหารมาก่อน แล้ว หนีมาอยู่ที่บ้านผมเขาบอกว่าตั้งแต่เขาเป็นเด็ก พ่อบอกให้มาอยู่ที่ประเทศไทย ทำบัตรให้เป็นคนไทยเพื่อที่จะส่งไปประเทศที่สาม เป้าหมายคือออสเตรเลียและอเมริกา แต่ว่าเขาไม่ยอม เขาใฝ่ฝัน ว่าโตขึ้นอยากจะเป็นนักรบของปกากะญอ จะเสียสละเพื่อชาติ ก็เลยไปเข้าโรงเรียนนายร้อยปกากะญอ ถ้าเขาใช้เส้นพ่อที่เป็นทหาร ก็ไม่ต้องไปเรียน แต่เขาไม่เอา ต้องการไต่เต้าเอาเอง ที่จริงศัตรูของเขาน่าจะ เป็นทหารพม่า เขาเคยคิดว่าจะต้องไปยิงกับทหารพม่า แต่พอไปถึงสนามรบกลับต้องไปยิงกับทหารปกากะญอที่ไปเป็นฝ่ายเดียวกับทหารพม่า (ทหารปกากะญอหรือทหารกะเหรี่ยง ฝั่งพม่ามีสองกลุ่ม คือ กลุ่มเคเอ็นยูที่สู้รบกับทหารพม่า และกลุ่มดีเคบีเอ ที่ร่วมมือกับทหารพม่ารบกับกลุ่มเคเอ็นยู) พอเขาจับปืนแล้วก็ต้องร้องไห้เพราะคิดว่าตัวเองมีจุดหมายต้องการรบกับทหาร พม่าแต่ทำไมต้องมารบกับชนเผ่าเดียวกัน เขาทนไม่ได้ เขาอยู่ในสนามรบโดยไม่ยิงปืน 3 วัน 3 คืน หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าเป็นทหารไม่ได้ เลยทิ้งอาวุธเลิกเป็นทหารและหนีมาฝั่งไทย ผมรู้สึกว่าถ้าเรามองความแตกต่างที่มาทีหลังมันเยอะมาก แค่พรมแดนของประเทศมันก็แยกกันแล้ว การเมืองเข้ามา การพัฒนาเข้ามา มันยิ่งแยกเราออกจากกัน เพราะฉะนั้นเราต้อง มองว่าอะไรคือรากที่แท้จริง เราต้องมองดูภายในของเรามากกว่า ว่าเราเป็นใครมาจากไหน พอเรามองอย่างนี้ปุ๊บนี่เราจะมองเห็น ความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ตือโพ : ที่จริงหัวใจคนเราก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะถือพุทธถือคริสต์
ชิ : ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่เคยเป็นทหารมาก่อน แล้ว หนีมาอยู่ที่บ้านผมเขาบอกว่าตั้งแต่เขาเป็นเด็ก พ่อบอกให้มาอยู่ที่ประเทศไทย ทำบัตรให้เป็นคนไทยเพื่อที่จะส่งไปประเทศที่สาม เป้าหมายคือออสเตรเลียและอเมริกา แต่ว่าเขาไม่ยอม เขาใฝ่ฝัน ว่าโตขึ้นอยากจะเป็นนักรบของปกากะญอ จะเสียสละเพื่อชาติ ก็เลยไปเข้าโรงเรียนนายร้อยปกากะญอ ถ้าเขาใช้เส้นพ่อที่เป็นทหาร ก็ไม่ต้องไปเรียน แต่เขาไม่เอา ต้องการไต่เต้าเอาเอง ที่จริงศัตรูของเขาน่าจะ เป็นทหารพม่า เขาเคยคิดว่าจะต้องไปยิงกับทหารพม่า แต่พอไปถึงสนามรบกลับต้องไปยิงกับทหารปกากะญอที่ไปเป็นฝ่ายเดียวกับทหารพม่า (ทหารปกากะญอหรือทหารกะเหรี่ยง ฝั่งพม่ามีสองกลุ่ม คือ กลุ่มเคเอ็นยูที่สู้รบกับทหารพม่า และกลุ่มดีเคบีเอ ที่ร่วมมือกับทหารพม่ารบกับกลุ่มเคเอ็นยู) พอเขาจับปืนแล้วก็ต้องร้องไห้เพราะคิดว่าตัวเองมีจุดหมายต้องการรบกับทหาร พม่าแต่ทำไมต้องมารบกับชนเผ่าเดียวกัน เขาทนไม่ได้ เขาอยู่ในสนามรบโดยไม่ยิงปืน 3 วัน 3 คืน หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าเป็นทหารไม่ได้ เลยทิ้งอาวุธเลิกเป็นทหารและหนีมาฝั่งไทย ผมรู้สึกว่าถ้าเรามองความแตกต่างที่มาทีหลังมันเยอะมาก แค่พรมแดนของประเทศมันก็แยกกันแล้ว การเมืองเข้ามา การพัฒนาเข้ามา มันยิ่งแยกเราออกจากกัน เพราะฉะนั้นเราต้อง มองว่าอะไรคือรากที่แท้จริง เราต้องมองดูภายในของเรามากกว่า ว่าเราเป็นใครมาจากไหน พอเรามองอย่างนี้ปุ๊บนี่เราจะมองเห็น ความเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่ละคนเคยแต่งเพลงเกี่ยวกับคนกะเหรี่ยงฝั่งโน้นบ้างไหม
ตือโพ : มีอยู่เพลงหนึ่งบอกว่า พี่น้องที่อยู่ชายแดนพม่า ถึงจะลำบากอย่าไปตีกัน อย่าไปยิงขว้างกันเพราะว่าเราเกิด
แผ่นดินเหมือนกัน เราต้องรักกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วใจของเธอกับใจของเรามันก็จะเหมือนกับพระจันทร์สว่าง
ชิ : ผมไปพม่าเมื่อต้นปีที่แล้วและกลับมาเขียนเพลงหนึ่งว่า ชะตาลิขิตให้เราเกิดมาเป็นคนปกากะญอไม่มีแผ่นดิน ไม่มีประเทศเป็นของตัวเองต้องอยู่อย่างกระจัดกระจาย ขึ้นเหนือล่องใต้เร่ร่อนไปเร่ร่อนมา ต้องไปอยู่ตะวันตกตะวันออก ที่เรามาเจอกันเพราะว่าบุญที่เราเกิดเป็นคนชนเผ่าเดียวกันทำให้เรามาเจอกัน เราได้มาเจอลูกของแม่เดียวกัน แม่พันธุ์เดียวกัน ใจชื้นขึ้นมา เท่าฟักเท่าแตง ปกติใจคนเราเท่ากำปั้น แต่นี่ใจชื้นขึ้นมาเท่าฟักเท่าแตง เราเป็นพี่น้องกัน น้องไปช่วยพี่ปลูกข้าว พี่ไปช่วยน้องเกี่ยวข้าว พอเก็บเกี่ยวเสร็จทุกคนก็จะกลับมาอยู่ในที่ร่มไม่ต้องตากแดดตากฝนอีกแล้ว แต่มาวันนี้ด้วยการที่ต้องแก่งแย่งชิงดีกันทำให้เราต้องแยกประเทศ พอเห็นนกบินข้ามฟ้าข้ามฝั่งไม่ต้องใช้วีซ่า เห็นปลาว่ายวนแม่น้ำสาละวินขึ้นเหนือล่องใต้ไม่ต้องใช้วีซ่าไม่ต้องใช้พาสปอร์ต แต่สำหรับเราสิ่งที่เราข้ามไปได้ก็คือความเป็นปกากะญอ ไม่มีอะไรมากั้นเราได้ เราปลูกกล้วยกลางป่า 3 ปี ต้องไปดู ต้องไปเก็บต้องไปขุด แล้วเอากลับมาเพาะพันธุ์ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ไปเอากลับมามันจะกลายเป็นกล้วยป่า เพราะฉะนั้นเป็นพี่น้องชนเผ่าเดียวกันต้องหมั่นสื่อสารกัน ชัยชนะของชนเผ่าก็คือความสามารถที่ยืนอยู่บนวัฒนธรรมของชนเผ่าได้ ไม่ใช่การมีประเทศ ไม่ใช่การต้องปกครองตนเองแต่เป็นความสามารถที่จะยืนหยัดอยู่บน วัฒนธรรมของตนเองต่างหาก เพราะฉะนั้นให้เอาชนเผ่าเหนือสิ่งใด ด้วยความเป็นปกากะญอเราเป็นหนึ่งเดียว
เวลาที่เราไปร้องเพลงฝั่งโน้นคนฟังมีการตอบสนองอย่างไรบ้าง
ชิ : ทางฝั่งโน้นเขาเรียกฝั่งไทยว่า โยตะระ เขาเอาคำ มาจากอยุธยาเมื่อก่อน เขาไม่ได้เรียกว่าประเทศไทย บางคนที่เขาอยู่ในพม่าลึก ๆ จริง ๆ เขาไม่รู้จักประเทศไทย เขาไม่รู้จัก ไทยแลนด์ เขาเรียกว่า โยตะระ แค่เขามองเรามาจากทางโน้น
เขาก็ประทับใจว่าทางนี้มีปกากะญอด้วยเหรอ เขาก็มาถามว่าทางเราเป็นอย่างไร ทำนาไหม ทำไร่ไหม เลี้ยงหมูไหม เลี้ยงไก่ไหม พูดอย่างนี้ไหม พิธีนั้นพิธีนี้เป็นไง พอเราบอกไป เขาก็ว่า เออ.. เหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างกันนิดหน่อย อย่างประเทศไทย พอคนละจังหวัดมันก็ต่างกันแล้ว เขาก็ยังบอกว่า เออ.. ดีเนอะ ผมถึงบอกไงว่าบรรยากาศไม่เหมือนไปต่างประเทศเลย เหมือนกับว่าไปหมู่บ้านปกากะญอทั่วไป
เวลาที่เราไปร้องเพลงฝั่งโน้นมีคนรู้จักไหมว่าเราเป็นศิลปินดัง ทางฝั่งนี้ แล้วเขารู้จักเราได้อย่างไร
ตือโพ : เสียงเพลงมันไปก่อน เขาได้ยินแต่ชื่อตือโพ แต่ไม่เคยได้เห็นตัวจริง เวลาที่เราไปเล่น เราเล่นเตหน่า ฝ่ายโน้นเขา จะยกย่องว่าเตหน่าเป็นเครื่องดนตรีของสูง ถ้าแบกกีต้าร์หรือมาแบกอะไรนี่คนเล่นกันทั่วไป แต่ถ้าเล่นเตหน่าเขาจะยกว่าเป็นผู้มีระดับ
ชิ : เครื่องดนตรีที่คนปกากะญอให้เกียรติมีอยู่ 3 อย่าง คือ ปี่เขาควาย ฆ้องกบ และ เตหน่า ฆ้องกบจะตีเวลาจัดงาน มหรสพต่าง ๆ อย่างจัดงานครั้งที่ 50 เขาจะตีกลองแค่ 5 ครั้ง 1 ครั้งนี่จะถือว่าเป็น 10 ครั้ง และคนที่ตีนี่ต้องเป็นผู้ใหญ่คนสำคัญ ปี่เขาควายก็เช่นกัน...คนเล่นเตหน่าในฝั่งพม่าที่ผมบอก ในเมืองมันถูกกลืนแล้ว จะเล่นกันแถว ๆ ชายแดนมากกว่า แต่พอเขาเห็นเราเล่นเตหน่าใช้สไตล์ลูกทุ่งเข้าไป เขาจะตื่นตาตื่นใจเพราะเราเอาเพลงใหม่ ๆ เข้าไป มันสะท้อนอยู่อย่างหนึ่งคือเราอยู่ฝั่งนี้ เรามีเวลาที่จะคิดเยอะ คิดที่จะหาลูกเล่นใหม่ ๆ เขาอยู่ที่โน่นไม่มี
ตือโพ : เสียงเพลงมันไปก่อน เขาได้ยินแต่ชื่อตือโพ แต่ไม่เคยได้เห็นตัวจริง เวลาที่เราไปเล่น เราเล่นเตหน่า ฝ่ายโน้นเขา จะยกย่องว่าเตหน่าเป็นเครื่องดนตรีของสูง ถ้าแบกกีต้าร์หรือมาแบกอะไรนี่คนเล่นกันทั่วไป แต่ถ้าเล่นเตหน่าเขาจะยกว่าเป็นผู้มีระดับ
ชิ : เครื่องดนตรีที่คนปกากะญอให้เกียรติมีอยู่ 3 อย่าง คือ ปี่เขาควาย ฆ้องกบ และ เตหน่า ฆ้องกบจะตีเวลาจัดงาน มหรสพต่าง ๆ อย่างจัดงานครั้งที่ 50 เขาจะตีกลองแค่ 5 ครั้ง 1 ครั้งนี่จะถือว่าเป็น 10 ครั้ง และคนที่ตีนี่ต้องเป็นผู้ใหญ่คนสำคัญ ปี่เขาควายก็เช่นกัน...คนเล่นเตหน่าในฝั่งพม่าที่ผมบอก ในเมืองมันถูกกลืนแล้ว จะเล่นกันแถว ๆ ชายแดนมากกว่า แต่พอเขาเห็นเราเล่นเตหน่าใช้สไตล์ลูกทุ่งเข้าไป เขาจะตื่นตาตื่นใจเพราะเราเอาเพลงใหม่ ๆ เข้าไป มันสะท้อนอยู่อย่างหนึ่งคือเราอยู่ฝั่งนี้ เรามีเวลาที่จะคิดเยอะ คิดที่จะหาลูกเล่นใหม่ ๆ เขาอยู่ที่โน่นไม่มี
เวลาคิดแต่เพลงมันจะไปก่อนก็จะร้องได้บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ
ตือโพ : ตอนที่ผมไปเล่นเขาตั้งเครื่องดนตรีไว้ชุดใหญ่เลย เราก็คิดว่าพอเราเล่นแล้วจะมีใครมาดูเรารึเปล่านะ พอประกาศว่าตือโพศิลปินเตหน่าขึ้นสู่เวทีแล้ว เขาก็มาเยอะเลย เป็นพม่ากะเหรี่ยงอะไรก็มาฟังเพลง ผมก็นึกว่านี่ถ้าเขาเล่นกีตาร์เล่น อิเลคโทน เขาอาจจะมาดูเยอะกว่ามาดูเราอีกนะ แต่พอเราเล่นเสร็จเขาก็กลับไป ดนตรีอื่นๆ เขาไม่ดู เขาให้เกียรติเตหน่า ผู้เฒ่าผู้แก่เขาจะฟังรู้เรื่อง แต่ถ้าเป็นอิเลคโทนกลองอะไรนี่เขาฟังไม่รู้เรื่อง เด็กๆ บางคนก็เคยเห็นกันทั่วไปอยู่แล้ว
ชิ : วัฒนธรรมปกากะญอมันมีเลือดเนื้อและความเรียบง่าย ถ้าเสียงตุ้ง ๆ ต่อง ๆ ไม่ไหวเหมือนกัน แต่เตหน่าฟังแล้วมันไม่รกหู อย่างตือโพเล่นเตหน่าตัวเดียวสามารถทำให้คนเต้นได้ ทำให้คนสนุกได้ เวลาคนเฒ่าคนแก่ฟังแล้ว ตัวไม่เต้นแต่ใจมันเต้นได้ ถ้าฟังตุ้ง ๆ ต่อง ๆ คนเฒ่าคนแก่คนท้องคนไส้ก็ไม่ไหว และอีกอย่างเวลาเล่นอิเลคโทน ต้องมีอุปกรณ์เยอะ แต่เล่นเตหน่านี่มีไมค์ 2 ตัวก็โอเคแล้ว
ฝั่งโน้นเขายังเล่นเตหน่ากันเป็นเยอะไหม
ตือโพ : ก็มีบ้าง
ตือโพ : ก็มีบ้าง
แล้วทางฝั่งโน้นเขาจัดคอนเสิร์ตกันยังไง มีคนรู้จักทางฝั่งโน้น ติดต่อเรามาหรือเปล่า
ตือโพ : ส่วนมากที่ไปเล่นจะเป็นงานประเพณี งานปลูกข้าวใหม่ คริสต์มาส ปีใหม่
ชิ : ทางฝั่งโน้นวันสำคัญตามปฏิทินคนกะเหรี่ยงจะชัด กว่าฝั่งไทย ของเรานี่บางทีจะตามกระแส อย่างปีใหม่นี่วันที่ 1 มกราคม แต่ทางโน้นเขาจะมีปีใหม่ของปะกากะญออีกต่างหาก
ตือโพ : ส่วนมากที่ไปเล่นจะเป็นงานประเพณี งานปลูกข้าวใหม่ คริสต์มาส ปีใหม่
ชิ : ทางฝั่งโน้นวันสำคัญตามปฏิทินคนกะเหรี่ยงจะชัด กว่าฝั่งไทย ของเรานี่บางทีจะตามกระแส อย่างปีใหม่นี่วันที่ 1 มกราคม แต่ทางโน้นเขาจะมีปีใหม่ของปะกากะญออีกต่างหาก
แล้วเขาติดต่อเรามายังไง
ตือโพ : บางทีเขาจะติดต่อผ่านทางเพื่อนที่รู้จักคนฝั่งไทย และคนไทยที่เขารู้จักก็รู้จักเราและติดต่อให้เราไปเล่น แต่ก็ต้อง ติดต่อล่วงหน้าประมาณเดือนหรือสองเดือน ถ้าอาทิตย์หนึ่งไม่ทัน น้อยที่สุดสองอาทิตย์ ไปเล่นคอนเสิร์ตฝั่งโน้นมาหลายครั้งรึยัง
ชิ : ผมไปไม่เกิน 3 ครั้ง แต่ตือโพนี่ไปหลายครั้ง
ตือโพ : ก็ประมาณ 6 - 7 ครั้ง
ตือโพ : บางทีเขาจะติดต่อผ่านทางเพื่อนที่รู้จักคนฝั่งไทย และคนไทยที่เขารู้จักก็รู้จักเราและติดต่อให้เราไปเล่น แต่ก็ต้อง ติดต่อล่วงหน้าประมาณเดือนหรือสองเดือน ถ้าอาทิตย์หนึ่งไม่ทัน น้อยที่สุดสองอาทิตย์ ไปเล่นคอนเสิร์ตฝั่งโน้นมาหลายครั้งรึยัง
ชิ : ผมไปไม่เกิน 3 ครั้ง แต่ตือโพนี่ไปหลายครั้ง
ตือโพ : ก็ประมาณ 6 - 7 ครั้ง
ไปแต่ละที่มีคนฟังเยอะไหม
ตือโพ : ก็เยอะ แต่บางคนเขาก็ฟังไม่รู้เรื่องบ้าง
ชิ : ส่วนมากผมไปช่วงเทศกาล ซึ่งนี่คนจะมาเยอะอยู่แล้ว แต่ปรากฏการณ์ที่คนมาสนใจส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเรามาจากฝั่งไทย อีกอย่างหนึ่งเขาจะสนใจเรื่องเตหน่า คือเราเล่นเตหน่าที่อาจจะประยุกต์นิดหนึ่ง เขาจะสนใจว่า เออ.. มันเล่นแบบนี้ได้ด้วย ลงเวทีมาก็ถามหาเทปถามหาซีดีเหมือนกัน นี่คือตัวชี้วัดเราเอาไปขายด้วย
ชิ : เอาไปขาย เสียงตบมือคือกำลังใจ ค่าขายเทปคือน้ำมันรถกลับบ้าน..(หัวเราะ)
ตือโพ : ก็เยอะ แต่บางคนเขาก็ฟังไม่รู้เรื่องบ้าง
ชิ : ส่วนมากผมไปช่วงเทศกาล ซึ่งนี่คนจะมาเยอะอยู่แล้ว แต่ปรากฏการณ์ที่คนมาสนใจส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเรามาจากฝั่งไทย อีกอย่างหนึ่งเขาจะสนใจเรื่องเตหน่า คือเราเล่นเตหน่าที่อาจจะประยุกต์นิดหนึ่ง เขาจะสนใจว่า เออ.. มันเล่นแบบนี้ได้ด้วย ลงเวทีมาก็ถามหาเทปถามหาซีดีเหมือนกัน นี่คือตัวชี้วัดเราเอาไปขายด้วย
ชิ : เอาไปขาย เสียงตบมือคือกำลังใจ ค่าขายเทปคือน้ำมันรถกลับบ้าน..(หัวเราะ)
เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตเรากลัวเรื่องความปลอดภัยไหม
ชิ : เวลาเราไปเขาจะรักษาความปลอดภัยอย่างดี
ตือโพ : เขาให้เกียรติเราด้วย
ชิ : งานที่เสี่ยง ๆ เขาก็ไม่เชิญเราไป เวลาเราไปเราจะใช้วีซ่า เพราะเรื่องความปลอดภัยด้านสิทธิมันจะสูงกว่า แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันก็ยังมีอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้สึกดีกว่าถ้าใช้วีซ่า แต่เมื่อเราจะไปเราต้องกำหนดโปรแกรมที่ชัดเจน ก่อนจะเข้าไป ไปที่ไหนไปทำอะไรบ้าง ไปกี่คน ชื่ออะไร ไปด้วยวัตถุประสงค์ใด ต้องแจ้งให้ชัดเจนเลย ถ้าไปที่โน่นแล้วมีโปรแกรมอะไรน่าสนใจนอกเหนือจากที่ได้แจ้งไว้นี่หมดสิทธิ์ไปเลย เราจะไปนอนในหมู่บ้านปกากะญอ ที่โน่นเขาไม่ให้นอน เขาบังคับให้นอนในโรงแรม พี่น้องที่โน่นเขาอยากต้อนรับเรา แต่ทางการเขาไม่ให้นอน
ชิ : เวลาเราไปเขาจะรักษาความปลอดภัยอย่างดี
ตือโพ : เขาให้เกียรติเราด้วย
ชิ : งานที่เสี่ยง ๆ เขาก็ไม่เชิญเราไป เวลาเราไปเราจะใช้วีซ่า เพราะเรื่องความปลอดภัยด้านสิทธิมันจะสูงกว่า แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันก็ยังมีอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้สึกดีกว่าถ้าใช้วีซ่า แต่เมื่อเราจะไปเราต้องกำหนดโปรแกรมที่ชัดเจน ก่อนจะเข้าไป ไปที่ไหนไปทำอะไรบ้าง ไปกี่คน ชื่ออะไร ไปด้วยวัตถุประสงค์ใด ต้องแจ้งให้ชัดเจนเลย ถ้าไปที่โน่นแล้วมีโปรแกรมอะไรน่าสนใจนอกเหนือจากที่ได้แจ้งไว้นี่หมดสิทธิ์ไปเลย เราจะไปนอนในหมู่บ้านปกากะญอ ที่โน่นเขาไม่ให้นอน เขาบังคับให้นอนในโรงแรม พี่น้องที่โน่นเขาอยากต้อนรับเรา แต่ทางการเขาไม่ให้นอน
รู้สึกอึดอัดไหม
ชิ : ใช่ แต่คนทางโน้นเขารู้สึกอึดอัดเยอะกว่าเรา แต่เราก็โอเค เราทำใจไว้ก่อนแล้ว แต่เขานี่รู้สึกอึดอัดกว่าเราเยอะ ตอนที่เขาไม่เห็นเราเขาอาจจะไม่รู้สึกอะไร ยิ่งเขาเห็นเราเขายิ่ง อึดอัดเยอะขึ้น บางทีต้องตัดพ้อชะตาชีวิตของตัวเอง ของชนเผ่า ผมถึงได้เอามาเขียนเพลงชะตาชีวิตที่เกิดมาเป็นปกากะญอ
อิจฉาคนที่มีบุญใหญ่ มีประเทศเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราต้องรักกันเยอะขึ้น ถ้าเรายิ่งไม่รักกันเขาจะยิ่งเหยียบเรา
ในฐานะที่เราเป็นศิลปิน เราเคยคิดที่จะใช้ความเป็นศิลปินสร้างความสัมพันธ์บ้างไหม อย่างเช่นเอาศิลปินทางฝั่งโน้นกับฝั่งนี้มาออกเทปร่วมกัน
ตือโพ : มีคนหนึ่งชื่อว่าจอละเซ่ เป็นผู้สูงอายุฝั่งโน้นมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ออกอัลบั้มมาเยอะ เขาก็มีความคิดที่อยากจะทำเหมือนกัน
มันยากไหมที่จะทำ
ตือโพ : เขาจะลำบากเวลาต้องเดินทางมาฝั่งบ้านเรา
ชิ : ส่วนของผมมีติดต่อมา 2 งาน แต่ไม่แน่ใจว่าจะลงตัวเมื่อไหร่ งานแรกให้ผมแต่งเพลงให้กับคนพิการที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม แต่งเพลง ให้กำลังใจให้คนภายนอกหันมาเข้าใจ งานที่สองแต่งเพลงเกี่ยวกับว่าเราจะได้รับผลกระทบจากเขื่อนอย่างไร ส่วนตัวผมแล้วนี่ถ้าผมมีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้นี่ผมเต็มที่ ในส่วนของเรื่องเพลง ผมคิดว่าถ้าเกิดบทเพลงของเรามันมีพลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ก็คงจะดี แต่เราเองก็ไม่รู้ว่าบทเพลงของเรามีพลังเพียงพอที่จะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เราจึงหวังในจุดที่สร้างความเข้าใจให้กับคนภายในเอง ปกากะญอด้วยกันให้เข้าใจกัน และให้คนภาย นอกเข้าใจคนภายในยิ่งขึ้น และให้เข้าใจกันทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่เฉพาะฝั่งไทยอย่างเดียว ผมคิดว่า ณ เวลานี้ บทเพลงของเรามันอาจจะทำได้ในระดับนี้ มันอาจไม่มีพลังเยอะพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ถึงขนาดนั้น นี่คือสิ่งที่ผมทำอยู่ ณ ปัจจุบัน
ตือโพ : มีคนหนึ่งชื่อว่าจอละเซ่ เป็นผู้สูงอายุฝั่งโน้นมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ออกอัลบั้มมาเยอะ เขาก็มีความคิดที่อยากจะทำเหมือนกัน
มันยากไหมที่จะทำ
ตือโพ : เขาจะลำบากเวลาต้องเดินทางมาฝั่งบ้านเรา
ชิ : ส่วนของผมมีติดต่อมา 2 งาน แต่ไม่แน่ใจว่าจะลงตัวเมื่อไหร่ งานแรกให้ผมแต่งเพลงให้กับคนพิการที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม แต่งเพลง ให้กำลังใจให้คนภายนอกหันมาเข้าใจ งานที่สองแต่งเพลงเกี่ยวกับว่าเราจะได้รับผลกระทบจากเขื่อนอย่างไร ส่วนตัวผมแล้วนี่ถ้าผมมีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้นี่ผมเต็มที่ ในส่วนของเรื่องเพลง ผมคิดว่าถ้าเกิดบทเพลงของเรามันมีพลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ก็คงจะดี แต่เราเองก็ไม่รู้ว่าบทเพลงของเรามีพลังเพียงพอที่จะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เราจึงหวังในจุดที่สร้างความเข้าใจให้กับคนภายในเอง ปกากะญอด้วยกันให้เข้าใจกัน และให้คนภาย นอกเข้าใจคนภายในยิ่งขึ้น และให้เข้าใจกันทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่เฉพาะฝั่งไทยอย่างเดียว ผมคิดว่า ณ เวลานี้ บทเพลงของเรามันอาจจะทำได้ในระดับนี้ มันอาจไม่มีพลังเยอะพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ถึงขนาดนั้น นี่คือสิ่งที่ผมทำอยู่ ณ ปัจจุบัน
ประทับใจอะไรบ้างจากการเดินทางเข้าไปฝั่งโน้น
ตือโพ : เขาจะอนุรักษ์ประเพณีเยอะกว่าบ้านเรานิดหน่อย จะใส่ชุดเรียบร้อย
ชิ : ส่วนผมนี่ประทับใจหลายอย่าง ถ้าเราไปบนดอย จริง ๆ ไม่ใช่ในเมือง ถ้าในเมืองเขาก็ถูกกลืนเหมือนกัน อย่างบนดอยความเป็นชนบทเยอะ ความมีตัวตนทางวัฒนธรรม ก็สูง การกินหมาก การต้อนรับ การเรียกแขกกินข้าว แต่สิ่งที่ผมเศร้าใจมากที่สุดคือพอเข้าไปในเมืองปุ๊บ ชุดของปกากะญอมันสูญหาย ผู้หญิงผู้ชาย แต่งงานไม่แต่งงาน มันแยกไม่ออก ผมมางานนี้ผมพูดเกือบ 40 - 50 ครั้ง คนในเมืองขึ้นมาแล้วผู้หญิงใส่เสื้อผู้ชาย คนแต่งงานใส่เสื้อคนไม่แต่งงาน ผมไม่อยากให้มันสูญหาย ผมอยากให้มันชัดตรงนี้ คนที่ขายชุดปกากะญอ ถ้าเรารู้ว่าเขายังไม่แต่งงานเราอย่าขายเสื้อคนแต่งงานแล้วให้เขา เราอย่ามองแต่มูลค่าอย่างเดียว ให้มองถึงคุณค่า ถ้าเราคิดว่าเราต้องขาย ๆ มันจะทำให้คนอื่นไม่เคารพเรา เราต้องเคารพตัวเอง ถ้าเรา เคารพตัวเองแล้วคนอื่นจะเคารพเรา ไม่ต้องกลัวคนไม่ซื้อ คนไม่ซื้อเราใส่เอง
ไม่อย่างนั้นเราก็เหมือนว่ามีส่วนในการทำลายตรงนี้ด้วย คนข้างล่าง เขาจะเห็นว่าปกากะญอยังทำลายตัวเองเลย ดังนั้นเราต้องเคารพตัวเอง
สุดท้ายนี้ อยากพูดหรือแสดงความห่วงใยคนกะเหรี่ยงที่อยู่ฝั่งโน้นบ้างไหม
ตือโพ : ก็ฝากกับพ่อแม่พี่น้องด้วย ทุกกลุ่มทุกฝ่าย ถ้ารักตัวเองแล้วก็อย่าให้ประเพณีเราสูญหาย ช่วยกันรักษาประเพณีของตัวเองด้วย ลูก ๆ หลาน ๆ โตขึ้นนี่จะเห็นสิ่งสวยงามของเรา
ชิ : ฝากคนภายนอกให้เข้าใจคนภายใน คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่มีคนบอกว่าเราเลือกที่จะทำได้ แต่ปกากะญอบางกลุ่ม เลือกเกิดไม่ได้และไม่มีโอกาสแม้แต่ที่จะเลือกทำได้ สิ่งที่ทำได้คือหนี ๆ ๆ อย่างเดียว เป็นคนด้อยโอกาสของคนด้อยโอกาสอีกที ผมคิดว่าโอกาสมันสำคัญ ไผ่ลำเดียวมันไม่เป็นแพ ข้าวเม็ดเดียวมันไม่เป็นเหล้า คือทำเฉพาะคนปกากะญออย่างเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกัน ไผ่หลาย ๆ อันก็เป็นแพได้ ไผ่อย่างเดียวก็ไม่พออีก ยังต้องใช้ตอกใช้ตะปู มันถึงจะลอยเป็นแพ เหล้าอีก เฉพาะข้าวก็ไม่ได้ ต้องมีน้ำมีเชื้อ
หมายถึงเฉพาะคนฝั่งโน้นหรือเปล่า
ชิ : โดยเฉพาะฝั่งโน้น แต่ผมคิดว่าฝั่งไทยก็เช่นกัน
ไม่ใช่มีปัญหาเฉพาะฝั่งโน้น ฝั่งนี้ก็มีปัญหา บางทีการอยู่ในชุมชน สิทธิในการใช้น้ำใช้ป่า บางทีก็ไม่มีสิทธิที่จะทำเหมือนกัน ผมคิดว่าความเข้าใจคือจุดเริ่มต้นของสันติสุขหรือสันติภาพ บางทีเรารับรู้แต่ข่าวว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราไม่ไปคุยกับเขาเราจะไม่รู้ ต้องไปดูไปสัมผัสเองถึงจะรู้ในอีกมุมมองที่บางทีเราเห็นอย่างเดียว สิ่งที่เราเห็นอาจไม่เหมือนกับที่เราคิด สิ่งที่เราคิดอาจไม่เหมือนสิ่งที่เราเห็น เราอย่าใช้สายตาพิพากษา ให้ไปสัมผัสไปเรียนรู้ ไปพูดคุยแล้วค่อยกลับมาตัดสินอีกที อย่างปกากะญอฝั่งนี้ก็เหมือนกัน อย่างที่บอกเรื่องปัญหาสิทธิการใช้น้ำใช้ทรัพยากร เรื่องไม่มีบัตร เพราะว่าบรรพบุรุษของเราเหมือนคนชั้น 2 ชั้น 3 ของสังคม เพราะฉะนั้น อยากบอกว่าไผ่ลำเดียวไม่เป็นแพ
ชิ : โดยเฉพาะฝั่งโน้น แต่ผมคิดว่าฝั่งไทยก็เช่นกัน
ไม่ใช่มีปัญหาเฉพาะฝั่งโน้น ฝั่งนี้ก็มีปัญหา บางทีการอยู่ในชุมชน สิทธิในการใช้น้ำใช้ป่า บางทีก็ไม่มีสิทธิที่จะทำเหมือนกัน ผมคิดว่าความเข้าใจคือจุดเริ่มต้นของสันติสุขหรือสันติภาพ บางทีเรารับรู้แต่ข่าวว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราไม่ไปคุยกับเขาเราจะไม่รู้ ต้องไปดูไปสัมผัสเองถึงจะรู้ในอีกมุมมองที่บางทีเราเห็นอย่างเดียว สิ่งที่เราเห็นอาจไม่เหมือนกับที่เราคิด สิ่งที่เราคิดอาจไม่เหมือนสิ่งที่เราเห็น เราอย่าใช้สายตาพิพากษา ให้ไปสัมผัสไปเรียนรู้ ไปพูดคุยแล้วค่อยกลับมาตัดสินอีกที อย่างปกากะญอฝั่งนี้ก็เหมือนกัน อย่างที่บอกเรื่องปัญหาสิทธิการใช้น้ำใช้ทรัพยากร เรื่องไม่มีบัตร เพราะว่าบรรพบุรุษของเราเหมือนคนชั้น 2 ชั้น 3 ของสังคม เพราะฉะนั้น อยากบอกว่าไผ่ลำเดียวไม่เป็นแพ
ชิ : อย่างที่ผมบอกว่า อย่าอิจฉาแผ่นดินของคนอื่น อย่า ชื่นชมแผ่นดินของคนอื่น อย่าอิจฉาแม่ของคนอื่น แม่คนอื่น ไม่ได้เรียกเรากินข้าว ไม่ได้เอาน้ำนมให้เรากิน เพราะฉะนั้น กลับมารักษาพลิกฟื้นแผ่นดินบ้านเรา.
สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 21 (16 ก.พ. - 31 มี.ค 48)