สัมภาษณ์ : บนถนนชีวิตนักเขียนหญิงชาวพม่านาม “เหม่ เญง”

คอลัมน์สัมภาษณ์ฉบับนี้มีโอกาสได้สัมภาษณ์ “เหม่ เญง” นักเขียนนิยายที่มีผลงานเขียนมากมายในรูปบทกวี เรื่องสั้น  และนวนิยาย นอกจากนี้เธอยังเคยเป็นอาจารย์สอนวรรรณคดีที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในพม่ามานานเกือบ 20 ปี นักเขียนและอาจารย์วัย 40 ปีท่านนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวรรณคดีพม่ามากที่สุดคนหนึ่ง เธอได้รับปริญญาทางด้านภาษาและวรรณคดีพม่าถึง 3 ปริญญา คือ ปี ค.ศ.  1984  ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต ปี  ต่อมาปี ค.ศ. 1986 ได้รับปริญญาศิลปะศาสตร์ เกียรตินิยม  และปี ค.ศ. 1994  ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต  

จนถึงปัจจุบัน อาจารย์และนักเขียนหญิงคนนี้มีผลงานเรื่องสั้นกว่า 180  กว่าเรื่อง นวนิยาย 10 เรื่อง และงานเขียนประเภทบทความและบทกวีอีกจำนวนนับไม่ถ้วน  ถนนชีวิตนักเขียนหญิงและอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านนี้เริ่มต้นและดำเนินไปอย่างไร ค้นหาคำตอบได้ในบทสัมภาษณ์ตรงหน้าคุณขณะนี้

สนใจการเขียนได้อย่างไร
ฉันเริ่มอ่านนิยายตั้งแต่อายุ  7 ขวบ  พ่อของฉันให้ลองอ่านนิยายแปลเรื่อง “ป่อลียานา” ฉันใช้เวลาอ่านเพียงแค่อาทิตย์เดียวโดยมีพ่อคอยอธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจให้ฟัง ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็หาหนังสือที่อยู่บนชั้นหนังสือของพ่อมาอ่านอยู่ตลอด สมัยนั้นพ่อสะสมหนังสือกลอนของอาจารย์ติ่นโม  เมื่อฉันได้อ่านหนังสือกลอนที่อยู่บนชั้นหนังสือของพ่อทั้งหมด  ฉันก็รู้สึกชอบเขามาก  ตอนที่ยังเป็นเด็กก็ได้อ่านนิยายจนเกือบครบทุกรูปแบบ

เริ่มต้นขีด ๆ เขียน  ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ 
ฉันเริ่มหัดเขียนบทกลอนตั้งแต่อยู่ชั้น  8 (ประมาณ ม. 2)   และเขียนมากที่สุดตอนที่เรียนภาษาพม่าชั้นปีสุดท้าย ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ปี ฉันเริ่มเขียนกลอนส่งไปลงตามหนังสือกลอนของมหาวิทยาลัย ด้วยความชอบกลิ่นไอของมหาวิทยาลัยย่างกุ้งทำให้บทกลอนของฉันมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นก็เริ่มส่งไปลงตามนิตยสาร กลอนบทแรกที่ได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร “เบ่ผูละหว่า”  ฉบับเดือนกรกฎาคมปี  1986  คือ บทกลอนชื่อ  “ความครบครัน”   หลังจากนั้นก็ลองเขียนเรื่องสั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชายคนรักกำลังจะตายจากไป  ฉันได้รับแรงบันดาลใจมาจากพ่อของฉัน ซึ่งขณะนั้นกำลังจะจากโลกนี้ไป  สำหรับฉันแล้วพ่อคือ บุคคลในอุดมคติ ( Ideal person) ฉันพยายามถ่ายทอดความรู้สึกของการสูญเสียพ่อ ซึ่งเป็นบุคคลที่รัก ผ่านตัวละครในเรื่องนี้  โชคดีที่ผลงานชิ้นแรกได้รับการตีพิมพ์โดยไม่ได้ถูกแก้ไขต้นฉบับมากนัก ต่อมาก็เริ่มลองเขียนนิยาย แล้วการเขียนก็เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันมาจนถึงทุกวันนี้

งานเขียนของคุณส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
เกี่ยวกับความรัก มีหลายเรื่องมาจากชีวิตจริงของฉันเอง (พูดจบแล้วหัวเราะเขิน ๆ )

นักเขียนพม่าในดวงใจของคุณคือใคร  
ชื่อ “มะจี่เอ”  ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่พม่าแล้ว  ย้ายไปอยู่อเมริกา  อายุประมาณ  87  ปีแล้ว  เธอมักจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับอิสระ เสรีภาพ  และสิทธิมนุษยชน

ที่มาของนามปากกา “เหม่เญง”  
มาจากชื่อจริงของฉันเอง คือ  “เญงแคะแคะ”  เอาคำว่า “เญง” มารวมกับคำว่า “เหม่” ซึ่งเป็นคำใช้เรียก “ผู้หญิง”

อยากให้ยกตัวอย่างเนื้อหาของผลงานที่เคยเขียนว่าเกี่ยวกับอะไร 
ตัวอย่างบทกลอนเช่น บทกลอนที่มีชื่อว่า  “ปยิ๊โส่งชีนบะวะ”  (ชีวิตที่สมบูรณ์)  มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนที่ปฏิเสธสังคมเมืองสมัยใหม่ ไม่ยอมรับเทคโนโลยีสมัยใหม่  ไม่ต้องการโทรศัพท์  ไม่ต้องการคอมพิวเตอร์  ปลีกตัวเองไปอยู่บ้านป่าห่างไกล  อาศัยอยู่ในกระท่อมไม้  กินแต่ผลไม้ไม่กินเนื้อสัตว์  ทำไร่ทำนา

ส่วนเรื่องสั้นที่เคยเขียนมีประมาณ  180  เรื่อง เช่นเรื่อง “อะลีงปานตะปวิ่งโต๊ะ  ชิดชีน”  (ส่งความรักถึงดอกไม้งาม)  เป็นเรื่องเกี่ยวกับอองซานซูจี  เรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาเป็นเล่มแล้วแต่ถูกกองเซ็นเซอร์ดึงออก หรือ เรื่อง “สู่นหนะก่อง” (เหยี่ยวสองตัว) มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตข้าราชการครู  บรรยากาศในโรงเรียน  และความรู้สึกต่าง ๆ ของชีวิตข้าราชการ

นิยายทั้งสิบเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง 
นิยายเรื่องแรกสุดตีพิมพ์เมื่อปี  1989   คือ    “ตะชีนฮนี่งสี่”  (บทเพลงดอกกุหลาบ)   เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์8-8-88  สถานศึกษาถูกสั่งปิดทำให้นักเรียนนักศึกษาเกิดความรู้สึกไม่พอใจ  เรื่องที่สอง ชื่อ “ปะกะติมยา” (เป็นธรรมดา)  เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่รักแฟนมากเกินไปและสุดท้ายต้องพบกับความไม่สบายใจ เรื่องที่สาม ชื่อ “มีโคง๊วย  มีโคหมี่ง”  (ควันไฟ)  เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็ก ๆ  ที่เจอกับปัญหาพ่อแม่แยกทางกัน  เรื่องที่สี่ ชื่อ “อะเซ๊ะผิ่ง  มแย๊ะคีงมยาสี่” (หญ้าพิษ)  เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักที่อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เรื่องที่ห้า คือ “ชิดตุ๊แม๊ะหนะส่า”  (มายาของคนรัก) เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นความรักที่ผิดพลาด เรื่องที่หก คือ “เอ๊ะแม๊ะตะคุ๊นิ่งแม๊ะหน่าชีนส่าย”  (เผชิญหน้ากับความฝัน)  เนื้อหาเป็นเรื่องราวของคนสองคนที่รักกัน แต่ภายหลังตอ้งแยกทางกันเพราะความทะเยอยานและความทะนงตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรื่องที่เจ็ด คือ “ชิดตู่โด๊ะแย๊ะมะแน๊ะเผี่ยง”  (พรุ่งนี้ยังมีฝัน) เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหญิงและเด็กชายสองพี่น้องที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ทำให้ต้องออกไปผจญภัยในโลกภายนอกด้วยกัน เรื่องที่แปด คือ “โฉ่แด๊ะเต”  (ความไม่ลงตัว)  เป็นเรื่องนี้เกี่ยวกับคู่รักที่มีนิสัยไม่เหมือนกันและมีวิธีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  ทำให้การใช้ชีวิตคู่ไม่ลงรอยกันอยู่บ่อยครั้ง เรื่องที่เก้า คือ “กองกี่งนิดาน”  (ความรักอยู่ไหน)  เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัว เรื่องที่สิบ คือ “อะชิดจองปยอยะอ่อง”  (เล่าเรื่องความรัก)  เป็นเรื่องจากชีวิตจริงของตัวเองกล่าวถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่แยกทางกับสามี  เรื่องนี้ตีพิมพ์เมื่อปี  1998

นิยายเรื่องไหนที่คนอ่านชอบมากที่สุด
มี 3 เรื่อง คือ  เรื่อง “ปะกะติมยา”  (เป็นธรรมดา), เรื่อง “โฉ่แด๊ะเต”  (ความไม่ลงตัว) และเรื่อง “อะชิดจองปยอยะอ่อง”  (เล่าเรื่องความรัก)  สองเรื่องแรกมีคนมาติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นภาพยนตร์แต่ฉันไม่ขายให้เพราะไม่ชอบพระเอกที่จะมาแสดง

คุณได้แรงบันดาลใจและวัตถุดิบในการเขียนมาจากไหนบ้าง 
เอามาจากสิ่งที่อยู่รอบ  ๆ ตัว ทั้งคน  สังคม  และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ๆ เรา เช่น เวลาเจอคนไม่มีข้าวกิน  หรือคนถูกข่มเหงรังแกเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้จะเข้ามาในความคิดเราและทำให้เราคิดต่อไปว่าคนที่ไม่มีข้าวกินนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับเขา  ทำไมเขาจึงไม่มีข้าวกิน  คือไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตามถ้ามีเรื่องราวเข้ามาในความคิดและมันกระทบหรือโดนใจเรามาก ๆ  ก็จะทำให้เราเขียนความรู้สึกออกมาได้

การเขียนแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไรในความรู้สึกของคุณ    
ฉันชอบเขียนเรื่องสั้นมากที่สุด  สำหรับฉัน การแต่งกลอนยากที่สุด เพราะต้องใช้คำที่สวยงามมีความหมายลึกซึ้งกินใจ  การเขียนเรื่องสั้นและนิยายดูจะง่ายกว่ามาก  แต่ในเรื่องสั้นและนิยายก็มีบ้างที่จะแต่งกลอนแทรกเข้าไป ระยะหลังฉันไม่ค่อยได้เขียนกลอนเพราะถ้าจิตใจขุ่นมัวหรือสมองไม่ปลอดโปร่งจะไม่สามารถเขียนกลอนออกมาให้ดีได้

แรงบันดาลใจของการเขียนนิยายกับกลอนแตกต่างกันอย่างไร
ถ้าเป็นนิยายจะหาแรงบันดาลใจง่ายกว่า  สามารถที่จะได้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ  จากบทเพลง  จากละคร  ส่วนกลอนมันไม่ใช่  ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้ามากระทบจิตใจเราอย่างรุนแรง  ฉันถึงจะเขียนกลอนออกมาได้  มีกลอนอยู่บทหนึ่ง  ได้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อ  “ส่าเบ่”  ฉบับเดือนกุมภาพันธ์  ปี  1995  ชื่อกลอนว่า  “โบ่งตู่”  (ภาพเหมือน)  เป็นกลอนที่เก็บไว้ในใจนานมากกว่าที่จะเขียนออกมาได้  สำหรับฉันแล้วกว่าจะได้กลอนสักบทหนึ่งนั้นมันยากมาก ๆ ส่วนนิยายไม่ยากเลย  เช่น เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ท้อแท้หมดกำลังใจแล้วมาเห็นเสื้อเชิ้ตที่มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า   “The  great  depressin  in  1988”  ก็กลายเป็นที่มาของนิยายเรื่องแรก คือ “บทเพลงดอกกุหลาบ” อย่างนี้เป็นต้น

คุณรู้สึกอย่างไรเวลาเขียนต้องเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศพม่า
รู้สึกว่าสภาพจิตใจของประชาชนย่ำแย่ ประชาชนยังไม่มีอิสรภาพในชีวิตความเป็นอยู่ และยังมีความยากลำบากในการดำรงชีวิตหลายด้าน รวมทั้งยังมีอันตรายที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ด้าน สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่

เคยมีปัญหาเวลาส่งงานไปยังกองเซ็นเซอร์บ้างไหม  
มี มากด้วย  บางครั้งเขาตัดทอนออกจนทำให้เนื้อหาตอนต้นกับตอนสุดท้ายไม่สอดคล้องกันและไม่มีความต่อเนื่อง  ทำให้เนื้อเรื่องไม่ปะติดปะต่อกัน  จนบางครั้งทำให้เรารู้สึกโกรธมาก ถ้าเราไม่ต้องการให้ตัดออก เราต้องติดสินบนให้เจ้าหน้าที่ ถ้าหากว่างานของเราโดนเซ็นเซอร์หลายแห่ง แต่เราไม่อยากถูกตัดออกเยอะ เราก็ต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่มากหน่อย แต่ถ้าข้อความที่จะตัดออกไปมีไม่มากก็จ่ายให้เพียงนิดหน่อย  

กองเซ็นเซอร์ใช้เวลานานเท่าไหร่ในการอ่านงานนิยาย  1  เล่ม
ถ้าเป็นนิตยสารจะใช้เวลาไม่นาน  คือจะต้องส่งต้นฉบับให้ก่อนตีพิมพ์ล่วงหน้า  10  วัน แต่ถ้าเป็นนิยายจะใช้เวลานานมากบางครั้ง 3  เดือนหรือ 6  เดือนก็มี    ถ้าเราอยากให้หนังสือออกเร็ว ๆ ขึ้นก็ต้องจ่ายสินบนเจ้าหน้าที่มากขึ้นด้วย  ถ้าเป็นนิยาย  1  เล่ม จะต้องจ่ายเงินประมาณ  30,000 (....บาท)  จั๊ตเพื่อให้เจ้าหน้าที่กองเซ็นเซอร์ทำงานเร็วขึ้น  สำนักพิมพ์จะหักค่าใช้จ่ายนี้ออกจากค่าลิขสิทธิ์นักเขียน

นักเขียนได้ค่าต้นฉบับเท่าไหร่
ค่าต้นฉบับของนักเขียนแต่ละคนจะไม่เท่ากัน  ค่าต้นฉบับสำหรับพ็อกเก็ตบุ๊คหรือนิยาย 1 เล่ม สำหรับนักเขียนที่มีชื่อเสียงจะได้ประมาณ  400,000  จั๊ต (....บาท) ถ้าเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงปานกลางก็จะได้ประมาณ  100,000  จั๊ต (....บาท)  ค่าต้นฉบับต่ำสุดที่เคยได้ยินคือ 30,000 จั๊ต (....บาท)  ตัวเลขนี้เป็นค่าต้นฉบับหลังจากสำนักพิมพ์จ่ายให้กับกองเซ็นเซอร์ ซึ่งถ้าหนังสือเล่มนั้นไม่ต้องจ่ายให้กับกองเซ็นเซอร์มากนักนักเขียนก็จะได้ค่าต้นฉบับเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

จำนวนพิมพ์  pocket book ครั้งละเท่าไหร่
ประมาณ  2,000-4,000 เล่ม ถ้าพิมพ์ซ้ำ นักเขียนก็จะไม่ได้ค่าลิขสิทธิ์อีก เพราะทางสำนักพิมพ์จะจ่ายให้ครั้งเดียว เวลาพิมพ์ซ้ำจะไม่แจ้งกับนักเขียน  เรื่องนี้เป็นปัญหามากสำหรับนักเขียนในประเทศพม่า ทำให้นักเขียนส่วนใหญ่ยากจน สิ่งที่เห็นก็คือ คนพิมพ์หนังสือเป็นเศรษฐีแต่นักเขียนเป็นยาจก

ถ้าอย่างนั้นคนที่มีอาชีพนักเขียนจะต้องทำอย่างไรถึงจะมีรายได้พอยังชีพ
นักเขียนส่วนใหญ่ต้องประกอบอาชีพอื่นควบคู่ไปด้วยอย่างตัวฉันก็ต้องเป็นอาจารย์สอนหนังสือควบคู่ไปด้วย   หลายคนรับราชการ  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะมีรายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนะ เพราะเงินเดือนข้าราชการน้อยมาก ยกตัวอย่างเช่น เงินเดือนครูอาจารย์   ถ้าเป็นระดับอาจารย์ธรรมดา 4,500  จั๊ต  ระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์13,000  จั๊ต ระดับศาสตราจารย์ 20,000 จั๊ต ขณะที่ค่ารถรับส่งลูกไปโรงเรียนเดือนละ  15,000  จั๊ต  ค่าพี่เลี้ยงเด็กในบ้านเดือนละ  10,000  จั๊ต  คิดดูซิว่ารายได้กับค่าใช้จ่ายมันไม่สมดุลกันขนาดไหน เพราะฉะนั้นนักเขียนหลายคนจึงมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก

มีนักเขียนที่ประกอบอาชีพเขียนหนังสืออย่างเดียวไหม สภาพชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไร 
มีหลายคน  บางคนยากจนมากจนเหมือนคนเสียสติ มีอยู่คนหนึ่งแต่งกลอนเก่งมาก เขาไม่ต้องการทำงานอื่นเลย แต่งกลอนเพียงอย่างเดียว รายได้ก็ไม่พอกิน จนภรรยาและลูกสาวต้องไปเป็นขายบริการทางเพศเพื่อนำเงินมาจุนเจือครอบครัวและสนับสนุนให้เขาสร้างสรรค์บทกวีที่เขารักต่อไป ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว  เป็นกวีที่เก่งมากและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี  คนอื่น ๆ ก็รู้ว่าลูกสาวและภรรยาของเขาต้องเป็นหญิงขายบริการเพื่อให้เขาได้ทำงานที่รักต่อไป

ปัจจุบันค่าต้นฉบับเป็นอย่างไร
ค่าต้นฉบับเรื่องสั้นประมาณ  4,000  จั๊ต  ขณะที่ค่าข้าวแกงหนึ่งจานประมาณ  1,000  จั๊ต กินข้าวได้แค่สามสี่มื้อเท่านั้น    

อยากให้เล่าถึงชีวิตของการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยบ้างว่าเป็นอย่างไร 
ฉันสอนนักศึกษาวิชาเอกสาขาภาษาพม่าระดับปริญญาตรีและปริญญาโท วิชาที่สอน คือ ภาษาและวรรณกรรมพม่า ไม่ได้สอนวิธีการเขียน  แต่จะสอนหลักการวิจารณ์วรรณกรรม

ปัญหาและอุปสรรคของการเป็นอาจารย์มีอะไรบ้าง
ปัญหาแรก คือ ถูกควบคุมเนื้อหาการเรียนการสอน เวลาสอนหนังสือจะมีเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองมานั่งฟังเพื่อไม่ให้เนื้อหาการกระทบกระเทือนจนเกิดผลเสียต่อการเมือง  อีกปัญหาหนึ่งคือความยากลำบากในการดำรงชีวิตประจำวัน  เพราะรายได้นอ้ยกว่าค่าใช้จ่าย อาจารย์บางคนยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ต้องเช่าบ้านอยู่ แต่เงินเดือนน้อยจนไม่แทบไม่พอกินอยู่แล้ว บางคนมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวลำบากมาก  อาจารย์บางคนต้องแอบไปขายตัวโดยที่ไม่ให้ใครรู้เพราะกลัวสังคมจะไม่ยอมรับ  กลัวว่าลูกศิษย์จะไม่ยอมรับ  แต่คนใกล้ชิดที่รู้ก็มีอยู่ แต่เป็นส่วนน้อยมาก ถ้าอาจารย์คนไหนมีชื่อเสียงหน่อยก็เปิดสอนพิเศษซึ่งมีรายได้ดี แต่ไม่ใช่จะทำกันทุกคน  เพราะไม่มีชื่อเสียงก็ไม่มีเด็กมาเรียน

เส้นทางการทำงานเป็นครูอาจารย์เป็นอย่างไร 
ฉันเริ่มเป็นอาจารย์เมื่อปี  1986  สมัยนั้นยังไม่มีการให้สินบนเพื่อเข้าเป็นอาจารย์มากเท่าไหร่ คนที่เรียนเก่งก็สามารถสมัครเป็นอาจารย์ได้ง่าย แต่หลังจากปี  1988  การคอรัปชั่นก็เพิ่มมากขึ้นมาเรื่อย ๆ   บางคนเก่งแต่ไม่มีเงินจ่ายค่าสินบนก็อาจไม่ได้เป็นอาจารย์ ส่วนคนไม่เก่งแต่มีเงินจ่ายค่าสินบนก็อาจได้เป็นอาจารย์

ความสุขในชีวิตของคุณคืออะไร 
ฉันเคยฝันอยากเป็นอาจารย์และนักเขียนแล้วฉันก็ได้เป็นจริง ๆ นี่คือความสุขมากที่สุดในชีวิตของฉัน

ทำไมถึงใฝ่ฝันอยากเป็นอาจารย์และนักเขียน
อยากถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ให้คนอื่นได้รับรู้

มุมองที่เกี่ยวกับชีวิตข้าราชการที่อาจารย์รู้สึกเป็นอย่างไร
ฉันคิดว่ามันเป็นการแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่มากกว่าความหมายของคำ  สำหรับฉัน  ฉันได้ทำหน้าที่จริง ๆ   หน้าที่ที่ฉันได้สอนหนังสือให้เด็ก  สอนให้เขาเป็นคนดี  สอนให้เขาได้มีความรู้ถือเป็นหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง  และมันเป็นหน้าที่ที่หนักมากทั้งเรื่องของเงินเดือนที่ได้กับเรื่องหน้าที่ที่มีต่อลูกซึ่งมันมารวมอยู่ในชีวิตของข้าราชการ  ฉันคิดว่าชีวิตของครูอาจารย์โดยส่วนใหญ่แล้วคือชีวิตข้าราชการที่เด่นชัดที่สุด  ขนาดตัวฉันเองยังรู้สึกมหัศจรรย์ใจเลยเพราะว่าเมื่อได้รับความทุกข์มันก็เป็นความทุกข์ของงานนี้  เมื่อฉันได้รับรู้การสนองตอบที่มาจากแววตาของลูกศิษย์มันก็ทำให้ชีวิตการเป็นอาจารย์ของฉันพอใจที่จะต้องพบกับความไม่สบายใจบ้าง

สิ่งที่คุณอยากให้คนอื่นได้รับรู้มีอะไรบ้าง 
ถ้าในฐานะของอาจารย์สอนภาษาพม่าก็อยากให้เด็ก ๆ  ได้รับรู้และเข้าใจเรื่องราวของภาษาพม่า  ถ้าในฐานะของนักเขียนก็อยากให้คนอ่านได้รับรู้เรื่องราวของชีวิตมนุษย์  ความแตกต่างของการถ่ายทอดเรื่องราวทั้งสองแบบ คือ  คือ การสอนหนังสืออยากให้ความรู้  ส่วนการเขียนหนังสืออยากให้ได้รับรู้อารมณ์ความรู้สึกและความสนุกสนานเพลิดเพลิน.