บทสัมภาษณ์ : สนิทสุดา เอกชัย คอลัมน์นิสต์หญิงขวัญใจผู้อ่านเรื่องพม่า

หากลองถามผู้อ่านที่สนใจติดตามสถานการณ์ประเทศพม่าว่า นักข่าวหรือคอลัมน์นิสต์คนไหนที่นำเสนอเรื่องพม่าได้กระทบใจคนอ่านมากที่สุด หนึ่งในคำตอบนั้นจะต้องมีชื่อของ สนิทสุดา เอกชัย คอลัมน์นิสต์หญิง ผู้ช่วยบรรณาธิการหน้า Outlook แห่งหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน งานเขียนของเธอในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะลดอคติของคนไทยต่อคนจากประเทศพม่ามาโดยตลอด รวมทั้งพยายามนำเสนอแง่มุมความคิดในการเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์แบบไม่มีพรมแดนขวางกั้นได้อย่างลึกซึ้ง สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้จะพาคุณไปรู้จักเบื้องหลังความคิดและการทำงานของคอลัมน์นิสต์หญิงชื่อดังคนนี้กันให้มากขึ้น


เริ่มสนใจประเด็นเรื่องพม่าตั้งแต่เมื่อไร
มันเริ่มจากเรามีความสนใจประเด็นคนไร้สิทธิ์ไร้เสียงในสังคม โดยเริ่มเสนอเรื่องคนจนคนไทยก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ หาประเด็นใหม่ ๆ เกี่ยวกับคนไร้สิทธิทำต่อไป เพราะธรรมชาติของนักข่าวต้องหาเรื่องใหม่ ๆ ให้ตัวเองได้เรียนรู้อยู่เสมอ ติดตาม ประเด็นพม่าครั้งแรกตอนเหตุการณ์ก๊อดอาร์มี่ยึดโรงพยาบาลราชบุรี แรก ๆ ยังไม่ได้ลงพื้นที่ด้วยตนเอง อ่านจากสื่อต่าง ๆ ก็พบว่าคนพม่าจะโดนด่ามาก ขณะที่เราได้อ่านข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดว่า ทางทหารไทยเป็นฝ่ายยิงเข้าไปก่อน ทำให้เขาเดือดร้อนกันมากจนต้องเอาคนมารักษาที่โรงพยาบาล แต่สื่อส่วนใหญ่ไม่จับประเด็นพวกนี้มานำเสนอให้สังคมตระหนักเลย เราจึงเริ่มเกิดคำถามว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไงกันแน่ แล้วก็เริ่มตั้งคำถามว่าทำไมการทำข่าวของสื่อบ้านเราถึงเป็นอย่างนี้ มีอคติเรื่องชาติพันธุ์ แล้วก็ไม่ดูข้อมูลจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ขณะนั้นเรายังไม่ได้ลงพื้นที่และยังไม่ได้มีความสัมพันธ์กับคนพม่าด้วยประการทั้งปวง แล้วก็ไม่มีอคติด้วย เราอ่านจากข้อมูลซึ่งยืนยันได้ว่าจริง ๆ เราไปกระทำเขาก่อน แต่ทำไมถึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ให้สังคมส่วนใหญ่รับรู้ พอเราเห็นแล้ว เราก็เลยพยายามหยิบขึ้นมา โดยเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงมา ยึดโรงพยาบาล เขามีปัญหาอะไร ใครเป็นคนกระทำ เขาเดือดร้อน เรื่องอะไร ต้นเหตุมันอยู่ตรงไหน เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องแรกที่เขียน

หลังจากนั้นสามีซึ่งทำงานอยู่สภาทนายความก็ มาเล่าเรื่องสิทธิคน คนไร้สิทธิ และชวนไปสัมมนาด้วยกันจึงเริ่มรับรู้ว่าคนจากประเทศพม่าโดนรังแกยังไงบ้าง ได้รู้ว่าแรงงาน พม่าเป็นยิ่งกว่าแรงงานทาส ต่อมาก็เริ่มลงพื้นที่ด้วยตนเองเพราะเราเป็นคนทำงานสารคดี เริ่มจากไปอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ก่อนจะไปเราก็ต้องวางแผนก่อนว่าจะไปทำเรื่องอะไร ไปคุยกับใคร เราต้องมีเพื่อนหรือคนประสานงานที่คนพม่าไว้ใจช่วยประสานงานให้ ไม่ต่างกับการลงพื้นที่คนไทย คือเราต้องมีเพื่อนที่แหล่งข่าวไว้ใจ ไม่ใช่ลงไปแบบปุ๊บปั๊บ ถ้าเขาไม่ไว้ใจเรา เขาก็ไม่เล่าเรื่องของเขาให้ฟัง แล้วถ้าเราไม่เข้าใจปัญหาในมุมใหญ่หรือภาพรวมเราก็จะตั้งคำถามไม่ถูก เอาจิ๊กซอว์มาต่อเป็นภาพไม่ถูก เริ่มแรกเราต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือปัญหา แล้วอาศัยข้อมูลที่เราลงดูพื้นที่เป็นตัวแสดงปัญหาใหญ่

การลงพื้นที่เก็บข้อมูลด้วยตนเองมีผลอย่างไรกับการทำงานบ้าง
นักข่าวต้องลงพื้นที่ แล้วไปเจอเจ้าของปัญหาจริง ๆ ต้องเห็นกับตาได้ยินกับหู ไม่อย่างนั้นมันไม่กระทบใจ แล้วเราจะไม่มี การผูกมัดตัวเองกับเรื่องเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นพวกอาร์มแชร์คอลัมน์นิสต์หรือนักเขียนคอลัมน์ที่นั่งอยู่แต่เก้าอี้ในห้องทำงาน รับข้อมูลที่ส่งมาจากในพื้นที่ ถ้าเรามีความเห็นเราก็วิจารณ์ได้ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทำงานแบบนี้ไม่เก่งไม่ดี เพียงแต่การลงพื้นที่เป็นเรื่องที่นักข่าวควรให้ความสำคัญมากกว่าการนั่งอยู่ในสำนักงานเพียงอย่างเดียว และนักข่าวทุกคนควรต้องมีประสบการณ์ลงพื้นที่ด้วยตนเอง

หลังจากการลงพื้นที่แม่สอดแล้ว การมองประเด็นเรื่องพม่ามีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม
การลงพื้นที่ทำให้เราทำงานในประเด็นนี้ต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น ทำให้มองเห็นรากของปัญหาและเชื่อมโยงประเด็นต่างๆได้ชัดเจนมากขึ้น พอเราเห็นปัญหาจริงๆ ในพื้นที่ เราก็รู้เลยว่าขบวนการอำนาจของคนไทยมันเป็นเรื่องจริง อย่างเช่น กรณีแรงงานพม่าโดนเผาหกศพ เราลงพื้นที่เพียงไม่กี่วันไปเจอเรื่องนี้พอดี แล้วก็เป็นเรื่องใหญ่ด้วย พอเรารู้ว่าปัญหามีจริง มันร้ายแรง รุนแรง เหลือเกิน การลงพื้นที่ในการทำงานครั้งแรกๆ จะทำให้เราเข้าใจ ปัญหา และเมื่อภายหลังถึงแม้เราไม่มีเวลาลงพื้นที่ เพียงแต่ได้รับข้อมูลเข้ามา เราก็จะเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น พอเข้าใจแล้วเราก็จะมีใจกับเรื่องนั้นมากขึ้น คิดว่านักข่าวทุกคนมีหัวใจ เราต้องเอาหัวใจต่อหัวใจกับเรื่องนั้น นักข่าวส่วนใหญ่ไม่ใช่คนเลวร้ายนะ พอไปสัมผัสกระทบใจแล้วก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพบ้าง

ในฐานะที่เป็นนักข่าว รู้สึกอย่างไรเวลาเห็นเรื่องเกี่ยวกับคนพม่าเชิงลบขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งบ่อย ๆ แต่เชิงบวกแทบไม่เคยได้เห็น
รู้สึกว่ามันไม่ดีหรอกทำแบบนี้ แต่เราเข้าใจว่าทำไมทำ แบบนี้ เพราะว่าธรรมชาติของข่าวคือข่าวร้าย คนที่ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไม่ใช่เรื่องดี ๆ หรอก แต่นักข่าวหรือสื่อควรมีความตระหนักว่า ตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำข่าวร้าย แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำความเข้าใจปัญหาด้วย ทำให้เราระมัดระวังมากขึ้น แต่ว่าสื่อมวลชนก็ไม่ได้ทำกับกลุ่มพม่ากลุ่มเดียว ชาวเขา ผู้หญิง เด็กวัยรุ่น ชาวบ้าน คนที่ไม่มีอำนาจ เด็กวัยรุ่นก็โดนด่าว่าเป็นพวกบ้าเซ็กส์ เขาก็ไม่พอใจนะที่ออกมาโดนด่าว่าเป็นพวกบ้าเซ็กส์อย่างเดียว วัยรุ่นไม่ได้เป็นอย่างนั้นกันทุกคนนะ ผู้หญิงก็ไม่พอใจที่ถูกด่าว่าแม่ใจโหด แม่ใจยักษ์ โดนทุกกลุ่มเลย เรื่องอคติไม่ใช่เรื่องพม่าอย่างเดียว
หากสื่อเสนอภาพที่ตอกย้ำอคติมากเกินไป คนที่ได้รับผลกระทบจะต้องเตือนให้คนทำสื่อรับรู้ด้วยการโทรศัพท์หรือเขียนจดหมายร้องเรียน ต้องให้เขารับรู้ว่ามีคนจับตามองอยู่ คนพม่าก็ควรจะรวมกลุ่มกันเขียนจดหมายและชี้แจงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะกลุ่มผู้หญิงก็ทำอย่างนี้มาแล้วมันดีขึ้นนะ แต่ดูเหมือนปัญหาของกลุ่มพม่า เมื่อโดนสื่อตอกย้ำอคติแล้วไม่มีโอกาสออกมาพูดเหมือนคนกลุ่มอื่น เพราะคนพม่าส่วนใหญ่ มีสถานะผิดกฎหมายในสังคมไทย 
ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง คนที่มีสถานะถูกต้องตามกฎหมายที่มีสิทธิมีเสียงอยู่บ้างก็ควรจะออกมาเป็นตัวแทนทำอะไรบ้าง อย่าไปนึกว่าสื่อมวลชนจะลุกขึ้นมาฉลาดเอง ไม่มีทางหรอก ถ้าเกิดสื่อเสนอภาพเชิงลบมากไป เช่น ตอนเหตุการณ์สึนามิ สื่อนำเสนอภาพแรงงานพม่าว่าเป็นขโมยเพียงอย่างเดียว ทำให้ความช่วยเหลือถูกตัดขาด คนพม่าที่มีสิทธิมีเสียงก็ควรจะ โทรศัพท์ เขียนจดหมายมาบอกว่า ทำอย่างนี้ไม่ดีนะ คนพม่าเองก็ต้องช่วยกันเองด้วย

หลังจากเขียนเรื่องพม่าอย่างต่อเนื่อง มีเสียงตอบรับจากคน อ่านอย่างไรบ้าง
คนที่อ่านบางกอกโพสต์เห็นเรื่องพม่าเป็นประเด็นสำคัญอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสิทธิแรงงาน สิทธิมนุยชน และเข้าใจว่าเรื่องพม่าเป็นเรื่องระดับสากล จึงได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากคนอ่าน แต่ปัญหาก็คือสื่อภาษาไทยส่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็นว่าเรื่องของพม่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะเป็นประเด็นข่าวที่น่าติดตามความที่เป็นพม่ามันเป็นกำแพงใหญ่มาก เป็นอคติที่ยังเกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง ถามเพื่อนของเราที่เป็นชนชั้นกลางแล้วมีแรงงานพม่าอยู่ในบ้านว่าไว้ใจขนาดไหน เขาไม่ไว้ใจหรอก

ในมุมมองของคนทำสื่อ เราควรเริ่มต้นเปลี่ยนทัศนคติในการทำข่าวเรื่องพม่าได้อย่างไร
สื่อมวลชนต้องคิดว่า เราอยู่ในโซ่ตรงไหนของขบวนการเปลี่ยนแปลง นิยามอาชีพตนเองไว้อย่างไร คนที่เรียนจบสื่อมวลชนแบบตะวันตกจะคิดว่านักข่าวเป็นแค่คนรายงานข่าวที่เป็นกลางไม่มีอคติ ไม่ได้มองว่าสื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่นักข่าวที่เริ่มมองในเรื่องนี้จะเริ่มมองหาว่า จะเปลี่ยนแปลง สังคมให้ดีขึ้นได้อย่างไร อะไรเป็นปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง ใครเป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงนี้ สื่ออยู่ในพื้นที่ตรงไหนของขบวนการ เปลี่ยนแปลง ถ้าเขาอยากทำให้มันดีขึ้นเขาจะทำได้ยังไง สมมติว่า ในกระบวนการภาคใต้ที่ทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเขารู้ว่าอะไรเป็นปัญหา อะไรเป็นภาพใหญ่ แล้วสื่อมันอยู่ตรงไหน เขาก็จะเข้าใจว่า ปิยวาจา สัมมาวาจา ที่พระพุทธเจ้าสอน มันสำคัญอย่างไรกับอาชีพสื่อ นอกจากความเป็นกลางที่เขาท่องกันอยู่ทุกวัน สิ่งที่เขาจะพูด พูดแล้วมีประโยชน์ถูกกาลเทศะ มันจะปรับใช้ได้ทุกเรื่อง ถ้าเรารู้หน้าที่บทบาทของเราว่าอยากให้เกิดสันติภาพ แล้วไปพูดให้เขาทะเลาะกัน วาจาที่ทำให้เกิดการแตกแยกควรจะทำไหม นี่ผิดศีลแล้วนะ ถ้าจะพูดกับคนที่เป็นสื่อมวลชนพูดก็ต้องพูดอย่างนี้

หรือถ้าจะพูดถึงเรื่องพม่า เราก็ต้องเข้าใจขบวนการว่าทำไมคนพม่าถึงมาทำงานเมืองไทย ทำไมคนไทยถึงมีอคติ เข้าใจเรื่อง เหล่านี้ แล้วถ้าเราเข้าใจว่าภาพใหญ่ของโลกคือการเคลื่อนไหวของคนที่ข้ามพรมแดน แล้วมันไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะ แต่มันเป็นทั้งโลกที่ทำให้เกิดการปะทะกันด้านวัฒนธรรม แล้วยิ่งทุนนิยมที่ทำให้เกิดสิ่งที่สามารถทำให้ไปเอาเปรียบคนที่ด้อยโอกาสได้ เราก็จะรู้ว่าในฐานะสื่อมวลชน เราควรจะเข้าใจเรื่องพม่าอย่างไร มันต้องเห็นภาพใหญ่ด้วยเราถึงจะเข้าใจบทบาทตัวเอง แล้วถึงจะเข้าใจเรื่องบทบาทของตัวเองว่าต้องทำอะไร ไม่ใช่มาอยู่ตรงนี้เพื่อจะทำหน้าที่รายงานข่าว แล้วถ้าเราคิดแค่นี้ เราจะไปรายงานข่าวคำพูดใคร เราก็ไปหาเจ้าหน้าที่ จะเป็นการทำข่าวที่ปลอดภัยที่สุด แต่เราไม่ได้พูดถึงจุดหมายของอาชีพเราเลย ตนเองคิดอย่างนี้นะ

จริง ๆ แล้ว เราควรเริ่มจากการสร้างความเข้าใจระหว่างสื่อที่คุยกันได้ เพราะคิดว่ายังมีสื่อที่คิดดี ๆ อีกเยอะ ไม่อย่างนั้น สื่อคงไม่มีคนอ่านหรอก เพราะสื่อมวลชนโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ เป็นสื่อกึ่งอุดมการณ์ ถ้าเขาจะขายได้เขาต้องมีอุดมการณ์ เช่น ชูประเด็นสิทธิ ประชาธิปไตย ต้องมีพื้นที่ให้คนที่มีความเชื่ออย่างหนึ่งทำงานอยู่ได้ แม้ว่าเราจะบ่นกันเยอะว่าสื่อมวลชนเดี๋ยวนี้เลวร้าย แต่ตนเองคิดว่ายังไม่ใช่พื้นที่ที่สิ้นหวังนะ ยังเป็นพื้นที่ที่เราสามารถจะใช้ประโยชน์ได้อยู่เยอะ

ถ้ามองจุดยืนของสื่อไทยส่วนใหญ่ที่นำเสนอเรื่องพม่าที่ผ่านมามันอยู่ตรงไหน
ไม่สนใจ แล้วก็เต็มไปด้วยอคติ ขนาดแค่การรายงานข่าวธรรมดายังไม่มีความเมตตาอยู่ในนั้นเลย เรายังไม่ต้องคิดถึงเรื่องระดับโครงสร้างหรอก แค่ระดับจิตใจของคนต่อคน เมตตาธรรมยังน้อยเลย แต่เราอย่าไปตัดสินว่าเขาไม่ดีนะ เราต้องสอบถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าเราไปตัดสินว่าเขาไม่ดี เราก็จะทิ้ง แล้วคิดว่าสิ้นหวัง ไม่อยากจะยุ่งด้วย จริง ๆ แล้วท่าทีของเราคือ ต้องถามว่าทำไมเป็นอย่างนี้ แล้วก็หาปัจจัย แล้วค่อยไปแก้ที่ละปัจจัย ประวัติศาสตร์ การเรียน ตำราเรียน การถ่ายทอด ความเชื่อเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเราต้องมีความหวัง เราต้องหาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะเห็นช่องทาง ถ้าเราไปคิดว่าคนนั้นไม่ดี เราจะไม่เห็นช่องทางเลย เราจะเกิดความสิ้นหวังและความเกลียดชัง ทำให้คุณภาพใจเราเสีย ถ้าเราเข้าใจว่า อ๋อ...เขาเป็นอย่างนี้นะ เราอยากจะเปลี่ยนแปลงนะ เราต้องเข้าไปเปลี่ยนจากใจ

อยากให้ช่วยสรุปให้ชัดเจนขึ้นอีกนิดว่า ถ้านักข่าวจะต้องมาทำ เรื่อง พม่า จะต้องอาศัยอะไรที่แตกต่างจากการทำข่าวประเภทอื่นบ้าง
แน่นอนจะต้องเริ่มจากใจ พื้นฐานจิตใจที่เห็นอกเห็นใจคนที่ยากไร้ ต้องเห็นอกเห็นใจคนที่ด้อยโอกาส มันมีหลายกลุ่มเหลือเกินในโลกนี้ พม่าก็เป็นกลุ่มหนึ่ง หลังจากนั้นแล้วเราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมเขาถึงตกอยู่ในสถานะแบบนั้น ก็ต้องหาปัจจัย มีทั้งปัจจัยวัฒนธรรม การศึกษา โครงสร้าง การเมือง ปัจจัยอะไรสารพัด แล้วถ้าเรากำลังพูดกับคนฟัง คนอ่านของเรา เราก็ต้องเข้าใจว่าเราจะคุยกับเขาเรื่องอะไร ถ้าเราอยากให้เห็นใจ เข้าใจเรื่องของความเป็นจริง ในเมื่อเขายังเข้าใจผิดอยู่ ยังไม่เข้าใจ ถึงความเป็นจริงของประเทศพม่า จึงยังไม่มีความเห็นอกเห็นใจ เราก็ต้องเอาความเป็นจริงนั้นออกมาให้เขารู้ คราวนี้จะทำให้ความเป็นจริงออกมาให้เขารู้แบบไหนอีก เพราะว่าความเป็นจริงก็มีหลายรูปแบบ แล้วในสื่อมวลชนมีทั้งรูปแบบของข่าว บทวิเคราะห์ สารคดี สำหรับตนเองเชื่อว่าสารคดีเป็นพื้นที่ที่ดีมากสำหรับการทำความเข้าใจแบบนี้ เพราะปัญหานี้เกิดจากอคติมันต้องแก้ที่ใจ เราต้องดูระดับปัญหา ถ้าเราคิดว่าปัญหาที่คนไม่เข้าใจเรื่องพม่า เกลียดพม่าเป็นเรื่องของข้อมูล เราก็ให้คำตอบระดับข้อมูล แต่ตนเองเชื่อว่ามันเป็นปัญหาระดับอคติซึ่งเป็นเรื่องของใจ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าเราให้ข้อมูลมันก็ยังไม่แก้ แล้วทำอย่างไรเราถึงจะเสนอข้อมูลออกมาเพื่อให้กระทบใจ แล้วไปกระตุ้นต่อมเมตตาของเขาให้เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่านักข่าวไม่ใช่คนเลว และการทำงานเรื่องสารคดีก็ยังมีบทบาท แต่ว่าเราต้องคุมโทนการนำเสนอให้ดีนะ ไม่เช่นนั้นจะเสียความน่าเชื่อถือ เรื่องที่ได้ผลมากที่สุดคือเราต้องคุมโทนให้ดี ต้องไม่ทำให้ใจไหลไปกับอารมณ์จนเกินขอบเขต การเปลี่ยนทัศนคติคนเป็นเรื่องยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ เพราะตัวเราเองยังเปลี่ยนได้เลย เพราะเรามีโอกาสได้เข้าไปเห็น เลยอยากให้นักข่าวทุกคนลงพื้นที่

ทุกวันนี้ยังลงพื้นที่ไหม
ต้องลง ไม่ลงไม่ได้ เรื่องพม่าก็ยังติดตามอยู่ ถ้ามันมีประเด็นอะไรเราก็จะมองเห็น เหมือนกับเตะตาขึ้นมา เพราะความ ที่เราสนใจเราก็หยิบขึ้นมา เรามีใจกับมันอยู่ นักข่าวที่นี่ (บางกอกโพสต์) ก็มีคนสนใจเรื่องพม่าเยอะ เพราะถ้าเขาไม่สนใจ เรื่องของเราก็จะ ไม่ได้ตีพิมพ์ แล้วประเด็นเรื่องพม่าหลากหลายมาก เหมือนเรื่องคนจนไทย คนอื่นก็สนใจประเด็นอื่น อย่างบางคนสนใจเรื่องระดับการเมืองระหว่างประเทศ ส่วนตนเองสนใจเรื่องคนเล็ก ๆ สื่อภาษาไทยที่เริ่มสนใจเรื่องนี้ก็มี แต่ยังน้อยอยู่

ในความเป็นผู้หญิงแล้วมาทำข่าวเรื่องคนด้อยโอกาสมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง
การทำข่าวเรื่องนี้ให้ดีไม่ได้อยู่ที่ความเป็นหญิงหรือชาย แต่มันอยู่ที่หัวใจคนมากกว่า แล้วสำหรับตนเองความเป็นผู้หญิงอาจ เป็นอุปสรรคบ้าง เพราะไม่อยากเดินทางคนเดียว ต้องมีคนช่วยขับรถให้ ถ้าต้องออกไปทำงานเดี่ยวๆ ก็ทำได้ แต่ก็คงจะยุ่งยากกว่า คนที่เป็นผู้ชาย นอกจากเรื่องใจก็คือการสร้างความสัมพันธ์กับแหล่งข่าว แหล่งข้อมูลในพื้นที่ เพราะการที่เราจะไปถึงตรงนั้นได้ต้องมีคนประสานงานให้ ซึ่งต้องเป็นคนที่แหล่งข่าวไว้ใจได้

แต่ในความเป็นหญิงมีข้อดีตรงที่ทำให้เราเข้าใจประเด็นเรื่องแม่ เรื่องเด็กมากกว่าผู้ชาย ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่รู้ว่าจะมีมุมนี้ไหม แต่อาจมีมุมอื่นเข้ามาแทน ความเป็นผู้หญิงทำให้อยากทำเรื่องสิทธิเกี่ยวกับเพศหญิง เข้าใจปัญหาของผู้หญิงเรื่องตั้งท้องขึ้นมา ต้องทำแท้ง มันหนักหนาสาหัสยังไง แล้วถ้าเป็นผู้หญิงพม่าแล้ว ไม่มีอะไรที่จะรองรับเลยนะ พอลูกอายุสามสี่ขวบก็ต้องส่งลูกกลับไปให้ที่หมู่บ้านเลี้ยง เพราะว่าเมืองไทยไม่มีโรงเรียนให้ แบบนี้ความเป็นผู้หญิงทำให้เข้าถึงมันได้ดี เพราะมันเข้าใจถึงความยากของปัญหาของผู้หญิงเหมือนกัน แล้วกรณีผู้หญิงที่ถูกจับมาขายตัว โอ้โห..ลองนึกถึงหัวอกของผู้หญิงที่ต้องจำใจนอนกับผู้ชายที่ไม่ได้รักวันละห้าหกคน สิบคน ถ้าเราไม่ใช่ผู้หญิงจะไม่เข้าใจ ต้องไปนอนกับผู้ชายแปลกหน้าเท่าไรถึงจะเข้าใจ

ปัญหาผู้หญิงในสังคมพม่าระหว่างผู้หญิงพม่ากับชนกลุ่มน้อยมีความแตกต่างกันไหม
ปัญหาผู้หญิงไม่ใช่แค่เรื่องเพศสภาวะ มันเป็นเรื่องของชนชั้น เศรษฐกิจ โครงสร้าง ชาติพันธุ์ มันทับซ้อนกัน มันไม่ต่างจากไทยนะ ปัญหาผู้หญิงไทยชนชั้นกลางกับผู้หญิงชาวเขาในไทย นอกจากเรื่องมดลูกแล้วอาจไม่เหมือนกันเลยก็ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นปัญหาของพี่เป็นปัญหาของชนชั้นกลาง ปัญหาเรื่องไม่มีคนเลี้ยงลูก ปัญหาเรื่องอื่นๆ ซึ่งความสำคัญของปัญหามันต่างจากผู้หญิงชาวเขาเลย ปัญหาก็คนละอัน แล้วพวกผู้หญิงชนชั้นกลางก็อาจไม่ค่อยเห็นใจผู้หญิงยากจนเท่าไร เพราะยิ่งยากจนสิยิ่งดี จะได้มีคนใช้ในบ้านราคาถูก ทำไมจะต้องไปสนใจเรื่องพม่าด้วย ก็ส่งแรงงานมาสิ เพราะฉะนั้นปัญหาเรื่องผู้หญิงไม่ใช่เรื่องเพศภาวะ สรีระ แต่มันทับซ้อนกันหลายเรื่อง ผู้หญิงกับผู้หญิงถึงเอาเปรียบกันได้ นายจ้างหญิงถึงเอาผู้หญิงกะเหรี่ยงไปเผาทิ้งข้างถนนก็มี ทำได้ไง ถ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน เข้าใจกันก็คงไม่ทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้นในพม่าก็เช่นเดียวกัน ผู้หญิงชนชั้นสูงของพม่าก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าใจปัญหาของผู้หญิงชนกลุ่มน้อยในพม่า มันคนละเรื่องกันเลย แล้วอย่าคาดหวัง ด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะไทยหรือพม่า มันมีเรื่องของชนชั้นชาติพันธุ์ อคติ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย

อยากเห็นสังคมพม่าในอนาคตเป็นอย่างไร
พูดไม่ถูก อยากเห็นเหมือนอยากเห็นสังคมไทยนั่นแหละ อยู่ด้วยกันสงบสุข ถ้ามีอคติ มันเรื่องของธรรมชาติ มันไม่สามารถกำจัดให้หมดไปจากโลกได้ แต่ทำอย่างไรที่เราจะอยู่ร่วมกันโดยไม่ฆ่าฟันกัน พม่าถึงจะมีความเลวร้ายอยู่เยอะในชนชั้นปกครอง แต่พม่าก็มีศักยภาพในทางดีเยอะมาก โดยเฉพาะในด้านศาสนา พุทโธที่ท่องอยู่ทุกวันนี้ก็เอามาจากพม่า ขนาดคนไทยที่นั่งวิปัสสนา พุทโธกันอยู่ทุกวันนี้ ก็อย่านึกว่าคนนั่งวิปัสสนาจะไม่เกลียดพม่านะ เวลาเรามองพม่าจากสายตาตะวันตก เราก็จะมองซูจีเป็นพระเอกนางเอก แล้วเราก็มองว่ารัฐบาลทหารเป็นผู้ร้าย กลายเป็นว่าภาพพม่ามีแต่ทางลบ ความจริงพม่ายังมีความงามให้เราได้ซึมซับเรียนรู้อีกเยอะ แล้วบางครั้งเราก็ต้องเอาความงามและความดีเหล่านั้นออกมา ไม่ใช่มีแต่ด้านลบ

คิดว่าเวลาคนไทยมองพม่าจะแยกแยะไม่ออกว่าจะเกลียดหรืออคติใครดีใช่ไหม
มันเป็นอคติไปหมดเลย พอได้ยินคำว่าพม่าปั๊บมันเกลียดไปหมดเลย อย่าได้มีชื่อพม่าปรากฏอยู่นะ ไม่ดี คนที่มาเป็นแรงงานก็มักจะบอกว่าผมไม่ใช่พม่านะ ผมเป็นมอญ กะเหรี่ยง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามบอกคนอ่านว่าพม่ามีความหลากหลาย มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องให้ความกระจ่างในสังคม

จริงๆ แล้วเราควรจะมองคนพม่าหรือคนทุกชาติว่ามีทั้งดี และเลว แต่ตอนนี้เรามองแต่ด้านเลวใช่ไหม
พม่าเป็นศัตรูโบร่ำโบราณของชนชาติเรา แต่อคติเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้หมดไป ถ้าเราไปฝืนบอกว่ามันไม่มีเลย เราก็จะทุกข์ ก็มันมีอยู่น่ะ เราก็ต้องไปเข้าใจว่ามันมี แต่เราก็ต้องตระหนักว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมี ก็ค่อยๆ แก้ก็เหมือนกิเลสคนนั่นแหละ มันดีเหรอ มันก็ต้องฝืน ต้องแก้.

สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 23 ( 16 พฤษภาคม -30 มิถุนายน 2548)