สัมภาษณ์ : ถอดประสบการณ์แก้ปัญหาพม่าของอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ อัษฎา ชัยนาม

คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ได้รับเกียรติ์จากอดีตท่านทูต อัษฏา ชัยนาม ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค อดีตเอกอัครราชทูตท่านนี้เริ่มติดตามประเด็นปัญหาประเทศพม่ามางแต่เข้ารับราชการในกระทรวงต่างประเทศใหม่ ๆ  เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ขณะที่ท่านอายุเพียง 27 ปี ท่านได้รับมอบหมายให้ทำงานที่สถานทูตไทยประจำกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า เป็นเวลา 4 ปี ท่านจึงได้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนในประเทศพม่าอย่างลึกซึ้งจนสามารถเข้าใจปัญหาในประเทศพม่าได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นท่านยังคงติดตามประเด็นปัญหาในประเทศพม่าเรื่อยมา และเมื่อท่านต้องเดินทางไปรับตำแหน่งสำคัญในสหประชาชาติช่วง 6 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ คือ ระหว่างปี พ.ศ. 2539 – 2543 ท่านจึงนำประสบการณ์ทำงานเรื่องพม่าที่สั่งสมมาตลอดชีวิตมาใช้ทำงานผลักดันนโยบายของสหประชาชาติต่อประเทศพม่า  ปัจจุบัน ท่านเป็นที่ปรึกษาของสภาเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย หรือ ฟอรั่ม-เอเชีย ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยในพม่า


ประสบการณ์การเดินทางไปทำงานในพม่าครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง 
ตอนนั้นผมอายุ  27 ปี เพิ่งเริ่มต้นทำงานใหม่ ๆ ก็ได้รับคำสั่งให้ไปประจำการต่างประเทศครั้งแรกที่พม่า  ท่านเอกอัครราชทูตประจำประเทศพม่าสมัยนั้นคือคุณวงศ์  พลนิกร  เป็นผู้ชักชวนผมไปทำงานที่สถานทูตไทยในพม่า ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเมืองดูแลเฉพาะปัญหาไทยกับพม่าเป็นเวลา  4 ปีระหว่าง พ.ศ. 2512 - 2516   ก่อนที่ผมจะเดินทางไปพม่า ท่านทูตวงศ์ได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำทัวร์เพื่อศึกษาปัญหาชายแดนไทย-พม่าตั้งแต่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จนถึงจังหวัดระนอง   โดยใช้รถยนต์วิ่งเลาะตะเข็บชายแดนจากแม่สายลงมาเรื่อย ๆ   แล้วก็พักค้างแรมตามเส้นทางพร้อมกับฟังบรรยายสรุปจากจังหวัดต่าง ๆ   ตอนนั้นผมรู้สึกสนุกและตื่นเต้นมาก

ความสัมพันธ์ไทย-พม่าในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร 
แย่มาก เพราะเป็นช่วงที่นายพลเนวินยึดอำนาจ แล้วอูนุ นายกคนก่อนเพิ่งหนีมาเมืองไทย  แล้วก็พยายามจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นแล้วก็ด่ารัฐบาลพม่าซึ่งปกครองโดยนายพลเนวิน   ทางพม่าก็ไม่พอใจมากเพราะมาทำการเคลื่อนไหวที่เมืองไทยเพราะฉะนั้นเราทำงานอยู่ที่สถานทูตไทยในพม่าก็ทำงานลำบาก พวกรัฐบาลก็แทบไม่อยากติดต่อกับเรา  เราก็เลยต้องพยายามทำงานกับภาคประชาชนเน้นงานด้านวัฒนธรรมแทน ส่วนงานด้านการเมืองทำไม่ได้เลย เช่น เวลามีงานบุญเราก็หาเงินมาบริจาค  เพราะประชาชนพม่ายากจนมาก  พื้นที่ทำงานของเราจึงอยู่ตามวัดต่าง ๆ ทั้งในย่างกุ้งและนอกเมือง  

ท่านสามารถติดต่อพูดคุยกับผู้นำระดับสูงได้ไหม
น้อยมาก  เพราะ ขอเข้าพบลำบาก หรือถ้าเชิญเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลมาก็ต้องขออนุญาตนาย แล้วส่วนมากจะไม่กล้าส่งเจ้าหน้าที่มาคนเดียว ต้องมากับเพื่อนฝูง ลูกน้องหรือนาย เพื่อเป็นพยานว่าเขาไม่ได้พูดอะไรไม่ดี  ตำแหน่งของผมในเวลานั้น คือ เลขานุการโท  หน้าที่ของผม คือ ต้องเก็บข้อมูลข่าวและแสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับพม่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาชายแดน  ส่วนงานที่ต้องติดต่อกับรัฐบาลพม่าจะเป็นงานของระดับทูต หรือรัฐมนตรี  งานของผมต้องติดต่อกับคนท้องถิ่นมากกว่า

ท่านมีเสรีภาพการเดินทางในพม่ามากน้อยแค่ไหน 
เวลาผมไปไหนก็ถูกตามอยู่เรื่อย  ถูกถ่ายรูป  บางทีผมรำคาญ ไปไหนก็ตามมาถ่ายรูปผม ยกตัวอย่างถ้าไปนอกเมือง  ห้ามไปไกลเกิน 50 กิโลเมตร  แล้วต้องขออนุญาตอะไรต่ออะไร   ต้องแจ้งเลขทะเบียนรถไว้ก่อน แล้วบอกว่าจะไปวันไหน หลังจากนั้นก็ให้คนตามไปถ่ายรูปผมตลอดทางจนผมรำคาญ  ผมก็เลยหันมาถ่ายรูปพวกเขาบ้าง เขาก็หนีไป  เวลาเราไปทำพิธีศาสนา  ไปทำบุญ เขาก็ตามมาถ่ายรูป  ผมคิดว่าพวกตำรวจลับ  มีชีวิตที่ค่อนข้างเครียดนะ

มีประสบการณ์ทำงานที่ท่านยังคงประทับใจมาจนถึงวันนี้
เหตุการณ์ที่ผมประทับใจ คือ ผมได้ติดต่อของเยี่ยมคนไทยในคุกซึ่งเป็นลูกเรือประมงที่ไปติดคุกที่เมืองมะละแหม่งทางตอนใต้ของพม่า  ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลพม่ายอมให้เจ้าหน้าที่ไทยเดินทางไปเยี่ยมคนไทยในคุกได้    เราพบคนไทยในคุกประมาณ 500 คน  ประมาณร้อยละ 80 จะเป็นลูกเรือประมงที่ละเมิดน่านน้ำพม่า ที่เหลือจะเป็นคนที่แอบเข้ามายิงสัตว์หรือขโมยทรัพยากรธรรมชาติ  แต่เนื่องจากคุกมีขนาดสำหรับจุคนแค่ 250  คนเท่านั้น และเขาให้อาบน้ำวันละ 2 ขัน  สภาพของคนไทยในคุกที่ผมเห็นจึงน่าสงสารมาก ผมจึงขอเลี้ยงอาหารคนไทยในคุก ซึ่งพอทีที่เมืองเมาะละแหม่งมี “ผัดไทย” ขายด้วย แต่คนที่นั่นเขาเรียกว่า “กาทีก้า”  หน้าตาเหมือนกับผัดไทยบ้านเราเลย ผมก็เลยเหมามาเลี้ยงคนไทยในคุกทั้ง 500 คนเลย   งานนั้นเป็นงานที่ตื่นเต้นมากสำหรับผม  ภายหลังผมพบว่าที่พม่าจะมีอาหารที่หน้าตาเหมือนอาหารไทย 2 อย่าง คือ ผัดไทย หรือ “กาทีก้า” กับขนมหม้อแกง  ซึ่งเขาเรียกว่า  “ขโน๊ะหม่อแกง”  มีขายที่ย่างกุ้ง ส่วนกาทีก้ามีขายที่เมาะละแหม่ง

ประสบการณ์อื่น ๆ ที่ผมยังจำได้จนถึงวันนี้ คือ ผมชอบแอบเดินทางออกนอกเมืองแบบไม่เป็นทางการ  ผมปลอมตัวเป็นชาวบ้าน   ใส่โสร่ง สวมรองเท้าแตะ  ไม่ใช้รถที่มีป้ายคณะทูต ผมจะเช่ารถเก่าๆ     แล้วไปกับคนพม่า บางทีก็ไปเที่ยว  ไปล่าสัตว์  เข้าป่าเข้าดง  ผมยังเคยเจอโรงงานทำอาวุธกลางป่าเลย  บางทีก็ไปเจอกองกำลังคอมมิวนิสต์  แต่ว่าเข้ามาสวามิภักดิ์กับรัฐบาลแล้วรัฐบาลมอบหมายให้ดูแลเขตนั้น   ตื่นเต้นเป็นบ้าเลย   ตอนนั้น พวกผมตั้งแคมป์อยู่กลางป่า  ตกเย็นเห็นพวกทหารคอมมิวนิสต์สะพายย่ามมีลูกปืนอยู่เต็ม ถือปืนเดินเรียงออกมาเป็นแถว  ส่วนพวกผมมีแค่ 6-7 คนเท่านั้น ที่น่ากลัวก็คือ พอพวกเขาเห็นพวกผมก็เอาลูกปืนออกมาจากย่ามให้พวกผมดูว่ามันมีกระสุนมากขนาดไหนแล้วก็เก็บใส่ย่ามกลับไป แล้วก็เอาย่ามมาวางข้าง ๆ พวกผม โอ้โฮ คุณคิดดูซิว่าพวกผมจะประสาทแค่ไหนนะ  พอหัวหน้ากลุ่มเห็นนกเกาะยอดไม้ก็คว้าปืนออกมายิงไปเรื่อย แล้วพอพวกผมก็เริ่มสังเกตเห็นว่า จริง ๆ แล้วเขากำลังเมา   เพื่อนพม่าของผมเลยจัดการมอมเหล้าต่อ โดยเอาเหล้าฝรั่งที่พวกผมเตรียมมารินให้หัวหน้ากลุ่มดื่มจนเมาฟุบไปต่อหน้าต่อตา  พวกผมเลยบอกให้บรรดาลูกน้องหามหัวหน้ากลับไป  พอเช้าวันรุ่งขึ้น ประมาณตีห้าเรารีบเก็บของหนี แต่ยังไม่ทันจะออกไป หัวหน้าก็มาร้องเรียกบอกว่า อย่าเพิ่งรีบไป แล้วขอโทษที่เมื่อคืนนี้เมาหนักไปหน่อย เขาบอกว่าแถวนี้มีกวางและหมูป่าเยอะ   ให้อยู่ล่าสัตว์ต่อได้ ไม่ว่าอะไร  แต่พวกผมบอกขอบคุณๆ ต้องรีบไปต่อ ก่อนจากกัน หัวหน้ากลุ่มก็บอกกับพวกผมว่า คราวหน้ามาอีกนะแล้วอย่าลืมเอาเหล้าฝรั่งมาเยอะๆ   เพราะเหล้าฝรั่งอร่อยดี

ประสบการณ์การเดินทางไปหมู่บ้านในชนบทของพม่าเป็นอย่างไรบ้าง   
ผมได้สัมผัสกับชีวิตการนอนในป่า นอนกับชาวบ้านในชนบทจริง ๆ เวลาไปถึงเขาให้การต้อนรับเราอย่างดี เขาพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะมีในบ้านหลังนั้นมาต้อนรับเรา ถึงขนาดว่าในหมู่บ้านมีหมอนอันเดียวดำสกปรกเขาก็เอามาให้ผมนอน เพราะถือว่าเป็นแขกพิเศษ  หรือถ้ายิงกวางได้   เขาก็จะตัดอัณฑะกวางทอดกระเทียมพริกไทยเอามาให้ผมกิน บอกว่าผมเป็นแขกผู้มีเกียรติต้องกินอันนี้  สนุกเป็นบ้าเลย ชีวิตอย่างนี้ไม่ได้เจออีกแล้ว

สมัยนั้นความสัมพันธ์ตามชายแดนเป็นอย่างไร
ไม่ค่อยดี  เพราะว่า หนึ่ง เรื่องประมงเราไปขโมยปลาเขา  เช่น มีข้อตกลงกันว่า เรือที่มีสีฟ้าเข้าไปจับปลาในน่านน้ำพม่าได้ เมื่อจับปลาเสร็จแล้วขอให้กลับเข้าท่าที่เกาะสอง ตรงข้ามจังหวัดระนอง เพื่อจ่ายภาษีให้ทางพม่า แต่ปรากฏว่า พอเราได้ปลาแล้วแทนที่จะเข้าท่าเรือก็ไม่เข้า  แล้วก็ทำเรือสีฟ้าซะ 7-8 ลำ   เราไปทำงานการทูตที่พม่าก็ลำบากใจพอสมควรในเรื่องนี้  สอง คือ เรื่องแร่ คนไทยไปติดต่อซื้อขายแร่กับกลุ่มกะเหรี่ยงแถวชายแดนพม่าติดกับจังหวัดกาญจนบุรี แล้วถูกทหารพม่าจับได้ก็ไปติดคุกที่พม่า   เรื่องที่สาม คือ เรื่องไม้  มีปัญหาตลอดแนวชายแดน เพราะพวกทหารชนกลุ่มน้อยต้องการเงินมาสู้รบก็เอาไม้มาขายให้คนไทย ทางการพม่ารู้เข้าก็ไม่พอใจ

สิ่งที่น่าหนักใจของการทำงานการทูตกับรัฐบาลทหารพม่าคืออะไร
เนื่องจากรัฐบาลพม่าเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารทำให้เราไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์ทางการทูตได้อย่างเต็มที่ รัฐบาลทหารพม่าไม่ค่อยชอบการแสดงความคิดเห็น ต้องการสั่งอย่างเดียว  แต่เราจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ทั้งสองระดับ คือ ระดับรัฐบาล กับระดับประชาชน  จุดยืนของผมที่สำคัญคือว่าเราเป็นประเทศประชาธิปไตยเพราะฉะนั้นเราต้องมีความรู้สึกที่ดี ต้องมีความเห็นใจประชาชนพม่าที่พยายามเรียกร้องให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย  แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารพม่าด้วย  เราจะต้องมีความสัมพันธ์ในระดับที่สมดุล  ระหว่างหลักการประชาธิปไตยกับความจำเป็นที่จะต้องรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารพม่า

อยากให้ช่วยขยายความคำว่า “สมดุล”   
สมดุล  คือ ด้านหนึ่งไม่แสดงความสัมพันธ์กับพม่าแบบอี๋อ๋อใกล้ชิด  เช่น ไม่แสดงจุดยืนว่าส่งเสริมหรือสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าในเวทีโลก  แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องแสดงว่าเป็นมิตรกันในระดับหนึ่ง เช่น ในสมัยคุณชวนเป็นนายกจะไม่ยอมเดินทางไปพบผู้นำทหารพม่าอย่างเป็นทางการ  แต่จะส่งเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีไปแทน   เพราะคุณชวนเห็นว่ารัฐบาลทหารกดขี่ประชาชนนี่เป็นการรักษาความสัมพันธ์ระดับการทูตแบบสมดุล แม้ว่าในระดับหลักการแล้ว เราจะยืนอยู่ข้างคนที่สู้เพื่อประชาธิปไตยก็ตาม

สมัยที่ท่านประจำในพม่าเป็นช่วงก่อนเหตุการณ์ 8-8-88  ตอนนั้นประเทศพม่าในสายตานานาชาติเป็นอย่างไรบ้าง 
มีการพูดถึงว่าเป็นเมืองปิด  เป็นรัฐบาลเผด็จการข่มเหงประชาชน

หลังจากหมดภารกิจในประเทศพม่าแล้วท่านยังคงติดตามทำงานเรื่องพม่าในด้านใดบ้าง 
หลังจากผมอยู่ในพม่าสี่ปีผมก็ย้ายไปทำงานในประเทศอื่น และอีกประมาณ 6-7 ปีต่อมาก็ได้กลับมาเป็นผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศไทย ดูแลปัญหาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพม่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ผมต้องติดตาม  หลังจากนั้นผมก็ไปทำงานในประเด็นอื่นอีกหลายปี ได้เรียนรู้ปัญหาของประเทศอื่น ๆ เห็นภาพปัญหากว้างขึ้น  และได้กลับมาทำงานในประเด็นพม่าอีกครั้ง ในสมัยรัฐบาลชวน  ผมได้รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติที่กรุงนิวยอร์กอยู่ 6 ปี  ตั้งแต่ปี 1997

กระบวนการทำงานของทูตไทยในสหประชาชาติหรือยูเอ็นเป็นอย่างไร 
การทำงานที่ยูเอ็นจะมีปัญหาเยอะแยะให้เราตัดสินใจเองว่าจะเลือกทำในเรื่องใดบ้าง และรัฐบาลก็ไม่ได้กำหนดแนวทางการทำงานมาให้เรา  ผมก็เลยเลือกประเด็นที่ผมสนใจ แล้วแจ้งกลับไปกระทรวงต่างประเทศของไทยว่าผมคิดว่าเรื่องไหนน่าจะทำ เพราะอะไร  ผมเลือกทำเรื่องพม่าเป็นหลักและเรื่องอื่น ๆ ที่ผมสนใจควบคู่ไปด้วย

ท่านมีบทบาทผลักดันเกี่ยวกับนโยบายพม่าอย่างไรบ้าง  
สิ่งสำคัญสองเรื่องเกี่ยวกับพม่าที่ผมริเริ่มให้รัฐบาลไทยทำคือ หนึ่ง นโยบายไม่แก้ต่างให้รัฐบาลพม่า แต่ก็จะไม่โจมตี เนื่องจากรัฐบาลพม่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ ดังนั้น หากถูกยูเอ็นโจมตี เราไม่ต้องไปปกป้อง  แต่ก็ไม่ต้องไปโจมตีซ้ำเพราะเราเป็นเพื่อนบ้าน เราไม่มีหน้าที่ไปปกป้อง ถ้ารัฐบาลเขาทำไม่ดีไว้ก็ต้องให้เขาปกป้องตัวเอง  แต่ก็มีบางประเทศที่พยายามปกป้องให้รัฐบาลทหารพม่า เช่น สิงคโปร์   เพราะเขาอยากทำธุรกิจในพม่า   ผมได้ผลักดันให้ให้เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลไทยในช่วงเวลานั้น

สอง ผมขอมีส่วนร่วมในการร่างข้อมตินโยบายยูเอ็นต่อประเทศพม่า   ซึ่งก่อนหน้านั้น สถานทูตไทยไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย ทั้ง ๆ ที่พม่าเป็นประเทศที่ติดกับบ้านเรา ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะต้องกระทบกระเทือนเราแน่นอน  ผมเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อจะได้คุมเกมถูก  เพราะถ้านโยบายออกไปแล้วมันแก้ไขลำบาก

นอกจากนี้ในช่วงที่ผมประจำอยู่ที่นิวยอร์ก ผมเป็นทูตไทยคนแรกที่ยอมเปิดสถานทูตไทยต้อนรับกลุ่มรัฐบาลพลัดถิ่น ซึ่งมีพวก ส.ส. พม่าที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1990 แต่ถูกรัฐบาลทหารยึดอำนาจไป คนกลุ่มนี้ก็ต้องหนีภัยออกนอกประเทศและมาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ในประเทศอื่น ซึ่งการเปิดสถานทูตไทยต้อนรับในทางการทูตถือว่าเราให้เกียรติและยกฐานะของเขาให้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย

ทางรัฐบาลทหารพม่าแสดงปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร 
ในด้านรัฐบาลพม่าทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นสิทธ์ของเราที่จะพบปะใครก็ได้    แล้วถ้าเขาออกข่าวโจมตีเรา เขาก็จะเสียมากกว่าได้

ช่วงนั้นยูเอ็นให้ความสำคัญกับพม่าในระดับไหน
ยูเอ็นจะให้ความสำคัญแค่ไหนขึ้นกับว่ามีประเทศสำคัญที่เป็นพี่ใหญ่ให้ความสำคัญแค่ไหน  อย่างเรื่องพม่า พวกสหภาพยุโรปให้ความสำคัญมาก ทั้งอังกฤษ  เดนมาร์ก สวีเดน ฮอลแลนด์ รวมทั้งสหรัฐฯ อย่างญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญ  แต่เป็นความสำคัญอีกแบบหนึ่ง คือ พยามยามไม่ให้กดดันพม่าแรงเกินไป  ส่วนอาเซียนไม่ค่อยให้ความสำคัญ  มีแต่สิงคโปร์ที่ให้ความสำคัญแบบพยายามช่วยรัฐบาลทหาร ในยุคที่ผมทำงานที่นี่ผมก็ให้ความสำคัญเพราะผมมองว่าถ้าพม่ามีปัญหาอะไรก็ตามมันจะกระทบกระเทือนถึงเมืองไทยแน่นอน  ไม่ว่าจะเป็นปัญหานโยบายเศรษฐกิจที่ล้มเหลว  ทำให้ประชาชนพม่าจำนวนมากต้องเข้ามาทำงานเมืองไทย    ปัญหาการเมือง การสู้รบตามชายแดน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหายาเสพติด ปัญหาสาธารณสุข ผมคิดว่าทุกอย่างมีต้นตอมาจากรัฐบาลทหารพม่าที่ไม่สามารถบริหารประเทศให้ดีได้ ไม่มีนโยบายที่ดีที่ทำให้คนสามารถทำมาหากินในประเทศตนเองได้  ต้นตออยู่ที่นี่แล้วทำไมเราต้องตั้งรับอยู่ตลอดเวลา  เราจำเป็นต้องมีนโยบายที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพม่า ดังนั้น ภารกิจของผมในยูเอ็นต่อประเด็นเรื่องพม่า คือ ต้องแน่ใจว่ามติของประเทศอื่นต้องกดดันพม่าแรงพอสมควรเช่นกัน

กลุ่มประเทศตะวันตกกับประเทศในกลุ่มอาเซียนมองพม่าแตกต่างกันไหม  
กลุ่มประเทศตะวันตกจะมองในแง่อุดมการณ์ประชาธิปไตย   ส่วนกลุ่มประเทศอาเซียนจะมองพม่าในเรื่องเศรษฐกิจการค้า โดยเฉพาะสิงคโปร์ขายอาวุธให้รัฐบาลทหาร และยังมีธุรกิจอีกหลายอย่าง เช่น โรงแรม  ห้างสรรพสินค้า  เป็นต้น


ทำไมกลุ่มอาเซียนจึงยอมรับพม่าเป็นสมาชิก 
 ก่อนที่พม่าจะเข้าเป็นสมาชิกมีการถกเถียงกันมากว่าถ้ายอมให้พม่าเป็นสมาชิกเราจะได้อะไร    พม่ายอมให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าไปลงทุนเพราะอยากได้เงิน   แต่ถ้าพม่าเข้ามาเป็นสมาชิก อาเซียนจะมีปัญหาด้านการเมือง แต่ทางมาเลเซียก็บอกว่าถ้าให้พม่าเข้ามา เราจะได้ล้างสมองเขา เขาจะได้เปลี่ยน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้ามเลย เพราะพม่ายิ่งไม่เปลี่ยนเข้าไปใหญ่  และยิ่งรู้สึกว่ามีความมั่นคงขึ้น  ซ้ำร้าย กลับพยายามเปลี่ยนอาเซียนให้อนุรักษ์นิยมมากขึ้นด้วย  พม่าเลยมีอาเซียนเป็นเกาะกำบัง คอยปกป้อง ได้ประโยชน์เต็มที่ทางการทูตกับการเมืองระหว่างประเทศ  แต่เราไม่ได้อะไรเลย  นอกจากสิ่งที่เคยได้อยู่แล้วเกี่ยวกับการลงทุน  ซึ่งถ้าพม่าไม่เป็นสมาชิกอาเซียน เราก็ได้สิ่งนี้อยู่แล้ว  ดังนั้น พม่าเลยเป็นพันธะห้อยคอที่ดึงเราให้ตกต่ำลงไป เพราะเวลาพม่าสร้างปัญหา พวกสมาชิกอาเซียนก็ต้องออกมาคอยปกป้อง ด้วยความคิดที่ว่าไม่ยอมให้ประเทศสมาชิกเสียศักดิ์ศรี  คิดแค่ว่าต้องปกป้องญาติพี่น้องของเรา โดยไม่เคยดูเลยว่าญาติเรามีนิสัยที่ไม่ดี ขี้ขโมย ไปกระทำชำเราผู้หญิงยังไง ไปทำอะไรเสีย ๆ หาย ๆ บ้าง คิดแต่เพียงว่าเพราะเขาเป็นญาติเรา  เราเลยต้องปกป้องเขา

หลังจากอาเซียนรู้ตัวแล้วว่าพม่าไม่ยอมเปลี่ยน แล้วอาเซียนมองพม่าเปลี่ยนไปไหม 
ตอนนี้เริ่มดีขึ้นมาหน่อย  เริ่มมองว่าถึงจะเป็นญาติกัน แต่ก็ต้องเปลี่ยนนะ  ไม่งั้นพวกเราแย่นะ เพราะคบกับประเทศอื่นไม่ได้ เขาจะไม่คบเราถ้าพม่ายังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย  เช่นเวลาเราจะติดต่อกับประเทศที่คว่ำบาตรพม่า เขาก็บอกว่า เขาจะไม่ตกลงอะไรกับเราตราบใดก็ตามที่พม่ายังประพฤติตัวอย่างนี้

ในมุมมองของท่าน อาเซียนพยายามทำอะไรที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองพม่าบ้าง
น้อยมาก  ก่อนหน้านี้อองซานซูจียังมีความเป็นอิสระ  เดินทางไปต่างจังหวัดได้  ไปรณรงค์หาเสียงได้  ตั้งแต่เข้ามาอาเซียนถูกกังขังบริเวณไปไหนไม่ได้เลย    คนก็พูดกันเยอะว่าก่อนที่พม่าจะเข้ามาต้องตั้งเงื่อนไขคือหนึ่งปล่อยนางอองซานซูจี  สองปล่อยพวกสมาชิกพรรคอื่นๆ  ที่ถูกขังเหมือนกันต้องปล่อยให้หมด  คือต้องตั้งเงื่อนไขเลย  แต่เราไม่เห็นตั้งเลย  แล้วไม่รู้จะรีบรับเข้ามาทำไม    

ถ้าเราปล่อยให้พม่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวต่อไปท่านมองว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
มีทฤษฎีของมาเลย์ว่า เราต้องให้พม่าเข้ามาเป็นสมาชิกอาเซียน เพราะถ้าไม่อย่างนั้น พม่าจะพึ่งจีนมากขึ้น  เอื้อประโยชน์ให้กับจีน  ดีไม่ดีให้จีนตั้งฐานทัพเลย  แต่ทฤษฎีนี้ผมไม่เชื่อเพราะผมคิดว่าผมรู้จักพม่าดีพอสมควร  ตั้งแต่อยู่ในพม่า 4 ปี  คบกับคนพม่า ดูจิตวิทยาคนพม่า  ผมคิดว่าคนพม่าเป็นคนรักชาติมาก  คงไม่ยอมให้จีนมาครอบงำได้ง่ายๆ  ผมเชื่ออย่างนี้นะ ผมคิดว่าผู้นำพม่าฉลาด เขาอาจยอมเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเพราะจำเป็นต้องคบกับประเทศอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่จะไม่ยอมให้ประเทศอื่นครอบงำง่าย ๆ

ตอนนี้พม่าเป็นสมาชิกอาเซียนแล้ว แต่ก็ยังติดต่อกับจีนอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม
ก็ยังติดต่ออยู่เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่  ยังไงก็หนีไม่พ้น

ที่ผ่านมา  นานาประเทศพยายามกดดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในพม่า แต่เพราะเหตุใดสถานการณ์จึงยังเหมือนเดิม 
เพราะรัฐบาลทหารพม่ายังคงมีความคิดแบบชาตินิยม ไม่ยอมให้ต่างประเทศมาครอบงำความคิด และไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง สิ่งที่ผู้นำทหารกลัวมาคือการเสียอำนาจอะไร และมองว่าประชาธิปไตยเป็นบ่อนทำลายฐานอำนาจ มีอาการหวั่นวิตกว่าตนจะเสียอำนาจอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นการย้ายเมืองหลวงใหม่ ผมมองว่ามาจากความหวาดกลัวการสูญเสียอำนาจ เขาไม่ไว้ใจใครเลย

ทำไมรัฐบาลทหารจึงยังสามารถบริหารประเทศอยู่ได้โดยที่นานาชาติไม่ยอมรับ
เพราะประเทศพม่ามีทรัพยากรธรรมชาติเยอะแยะ  ทั้งบนดิน ใต้ดิน ใต้ทะเล ป่าไม้ น้ำมัน แก๊ส เพชรนิลจินดา  เขาก็นำออกมาขายให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ได้คว่ำบาตร ก็พอเลี้ยงตัวเองอยู่ได้โดยไม่ต้องสนใจการคว่ำบาตรจากตะวันตก

แรงกดดันจากนานาชาติที่ผ่านมาส่งผลต่อรัฐบาลทหารอย่างไรบ้าง 
ไม่ได้ผลอะไรสักเท่าไหร่  ถ้าอยากกดดันให้ได้ผลนะ ประเทศเพื่อนบ้านต้องกดดันด้วย  คือ หนึ่ง อินเดีย สอง จีน  สาม ไทย  และสี่ บังคลาเทศ     ถ้าประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับพม่ามีความคิดเหมือนกัน   ไม่ยอมให้มีการค้าขายอะไรต่ออะไรนี่  อาจจะเปลี่ยนได้ ส่วนข้อมติของยูเอ็นต้องยังต้องคว่ำบาตรเหมือนเดิมนะ   ซึ่งประชาชนอาจจะลำบากในตอนแรกๆ แต่นั่นจะทำให้ประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐบาล   เพราะผมจะพูดกับคนพม่าเสมอว่าหากต้องการให้มีความเปลี่ยนแปลงจริงๆ  ต้องมาจากพวกประชาชนระดับรากหญ้าในพม่านั่นแหละ อย่าไปหวังพวกผู้นำหรือชนชั้นกลาง หรือข้อมติยูเอ็น หวังให้ฝรั่งมาด่า ผมว่าไม่ได้ผลหรอก  หรืออาจได้ผลนิดหน่อยแต่ไม่เต็มที่  คนที่ถูกกระทบกระเทือนก็คือคนจนๆ  เพราะฉะนั้นถ้าต้องการคว่ำบาตรพม่า ต้องทำกันทุกประเทศ ไม่ใช่ตะวันตกคว่ำบาตรเศรษฐกิจ แต่เพื่อนบ้านเข้าไปลงทุนเหมือนที่ผ่านมา

แต่ประชาชนจะต้องลำบากมาก หากทุกประเทศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจพม่าใช่ไหม
ตอนแรกอาจต้องลำบากหน่อย  ตอนหลังเขาก็จะรู้ว่าอะไรคืออะไร  อาจจะทำให้ทหารแตกแยก  ทางที่ดีคือเปลี่ยนแปลงให้ทหารแตกแยกให้เกิดการปฏิวัติภายใน   ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในโปแลนด์  แต่ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำอย่างนี้ เพราะจีนก็มองผลประโยชน์ของตนเอง  อินเดียก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนช่วยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่เดี๋ยวนี้ทำธุรกิจกับรัฐบาลทหาร  รัฐบาลไทยก็ไม่ต่างกัน

ในมุมมองของท่าน พลังประชาชนหลังจากเหตุการณ์  8-8-88 หายไปไหน  
ผมคิดว่า รัฐบาลทหารคุมเกมได้ดี   ระบบข้อมูลข่าวสารในพม่าถูกปิดกั้นหมด  ประชาชนที่ไม่มีอะไรจะกินก็ออกมาหางานทำในประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ฝ่ายต่อต้าน ยังไม่มีการรวมตัวกันอย่างเป็นระบบ  พวกนักศึกษาที่เคยเดินขบวนประท้วงก็กระจัดกระจายไปอยู่ต่างประเทศกันหมด ทำให้การเคลื่อนไหวภายในประเทศพม่าลำบาก

ถ้าพม่ายังไม่เปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย  ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง
ปัญหาใหญ่ คือ แรงงานอพยพ ซึ่งจริง ๆ ตอนนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบันก็พยายามแก้นะ  เช่น ส่งแรงงานกลับไป โดยเจรจาในระดับรัฐบาล ความพยายามทำโครงการ contact farming ปลูกผักปลูกหญ้าฝั่งโน้นแล้วมาขายให้เรานะ  หรือ การตั้งโรงงานในชายแดนฝั่งพม่า หรือชายแดนฝั่งไทย แล้วให้มาทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับ เป็นต้น

เพราะเหตุใดโร้ดแม็ปที่ไทยพยายามผลักดันให้พม่าไปสู่ประชาธิปไตยจึงล้มเหลว
ข้อผิดพลาดที่สำคัญที่สุดก็คือ  ตัวแทนรัฐบาลไทยเป็นคนกำหนดแนวทางโดยไม่ถามรัฐบาลพม่า โดยประกาศว่าจะจัดที่เมืองไทยแล้วจะเชิญรัฐบาลพม่า  ฝ่ายต่อต้าน มาจอกัน โดยมีรัฐบาลไทยเป็นประธาน  ซึ่งทางพม่าไม่ยอม  เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรีที่ทำอย่างนั้น เขาต้องการดำเนินการเจรจาที่ประเทศของเขาเอง

ในมุมมองของท่าน  จุดยืนของไทยต่อเรื่องพม่าเราควรจะวางตัวในเรื่องต่างๆ  อย่างไร  
เราควรแสดงความเห็นผ่านข้อมติของยูเอ็น     ไม่ต้องโจมตีด้วยตนเอง   แต่ก็ไม่ต้องสนับสนุน   นโยบายนี้ เรียกว่า carrot  strike  policy  คือมือหนึ่งถือแครอทเพื่อล่อกระต่ายให้มากิน อีกมือหนึ่งถือไม้ไว้ตีถ้ากระต่ายไม่ยอมกินแครอท  ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ด้านหนึ่งเราต้องสนับสนุนให้ตะวันตกโจมตีพม่า  อีกด้านหนึ่ง เราต้องทำให้พม่ารู้สึกว่า เราเป็นที่พึ่ง คือ พอถูกตีจนเจ็บตัวก็มาหาเรา  เราก็ให้แครอทกิน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพม่าไม่ให้ขัดแย้งรุนแรง ขณะเดียวกันก็ช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพม่าด้วย

จากประสบการณ์ทำงานเรื่องพม่าที่ผ่านมามีเรื่องอะไรที่ท่านรู้สึกลำบากใจมากที่สุด
ผมไม่ค่อยลำบากใจ  เพราะผมสนุกและมีจุดยืนที่ชัดเจนในการทำงาน      ผมจะลำบากใจก็ต่อเมื่อนโยบายไม่ชัดเจน  แล้วไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร แต่ตอนที่ผมทำงาน ผมเข้ากับนโยบายของรัฐบาลในยุคนั้นได้  ผมก็ไม่ค่อยหนักใจ ความเห็นการงานของเรา รัฐบาลก็ยอมรับ

ท่านคิดว่าปัญหาเรื่องพม่ามีแนวโน้มจะเป็นอย่างไรต่อไป 
ก็คงจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงภายใน  ถ้าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเข้มแข็งขึ้นมา หรือ ถ้าภายในรัฐบาลทหารแตกกันเอง ก็อาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น   แต่ตอนนี้ระบบเผด็จการภายในยังแข็งแรงมาก ถ้าใครมีความเห็นที่แตกต่างก็รีบกำจัดเลย  แต่ไม่ได้กำจัดแบบฆ่าทิ้งไปเลยนะ  บางทีก็ให้เงินให้ทอง  ให้ไปมีตำแหน่งอื่นที่มีเงินมีทองแต่ไม่มีอำนาจ  ก็ใช้ระบบอย่างนี้  ซูฮาโต้ก็ทำอย่างนี้ถึงอยู่ได้ถึง  32  ปี พอใครขึ้นมาแล้ว มีแววที่จะมาสู้กับผู้นำเก่า ก็รีบย้ายให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจเลย   ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงโดยภายนอก ผ่านมติของยูเอ็นค่อนข้างจะยากหน่อย  เพราะถึงพม่าจะสร้างปัญหามากจนประชาชนอยู่ไม่ไหวมาอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านมาก ๆ  แล้วเพื่อนบ้านทนไม่ได้ต้องฟ้องยูเอ็น  ยูเอ็นก็จะเอาเข้าคณะมนตรีความมั่นคงตัดสินว่าจะทำอย่างไรต่อไป  ถ้าจะส่งกำลังทหารของนานาชาติเข้าไปยึดพื้นที่ไม่ง่ายนะ  เพราะเราต้องอย่าลืมว่าพม่าเป็นประเทศใหญ่และมีภูเขามากมาย   ถ้าจะทำอะไรแบบนี้ คนพม่าต้องรวมตัวกันด้วย ถึงจะสำเร็จ.