โดย โม๋หอม

มกราคม 2553 ประเทศพม่า
การปะทะคารมระหว่างนางเอกและแม่สามีกันอย่างดุเดือดในหนังพม่าบนรถทัวร์ปรับอากาศสายตองจี-ย่างกุ้งเบี่ยงเบนความสนใจจากถนนลูกรังเลียบเขาที่เต็มไปด้วยโค้งหักศอกน่าหวาดเสียวได้บ้างเป็นระยะๆ ขณะเดียวกัน เราก็อดทึ่งไม่ได้ที่คนขับ สามารถควบคุมรถบัสคันใหญ่คับถนนฝ่าความมืดมาได้อย่างปลอดภัย ขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ นั่งเคี้ยวหมากตุ้ยๆ อย่างสบาย อารมณ์









เมื่อสิ้นสุดทางเขาและเข้าสู่ทางทางตรงได้สักระยะหนึ่ง แสงไฟในตัวเมืองที่สว่างไสวผุดขึ้นมาในความมืดมา แต่ไกล อย่างกับสวรรค์ไม่มีผิด มองดูนาฬิกาก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ในประเทศพม่า มีเพียงไม่กี่ที่ที่มีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลาเช่นนี้ เท่าที่เคยสัมผัสก็มีเมืองลาที่เต็มไปด้วยบ่อนกาสิโน ชายแดนรัฐฉาน-จีน ขนาดย่างกุ้งเมืองหลวงเก่ายังต้องพึ่งเครื่องปั่นไฟกันอยู่เลย พอดึก มาหน่อยเสียงเครื่องปั่นไฟประสานเสียงกันอึกทึกครึกโครม ส่วนเมืองน้องใหม่ล่าสุดที่ที่มีไฟฟ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็คือ เนปีดอว์ เมืองหลวงใหม่ของพม่าที่อยู่เบื้องหน้าเราในขณะนี้ ซึ่งศูนย์บัญชาการแห่งใหม่ของรัฐบาลเผด็จการที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง

อันที่จริงเมืองเนปีดอว์เป็นชื่อที่รัฐบาลทหารพม่าตั้งขึ้นมาใหม่สำหรับเมืองหลวงแห่งใหม่โดยเฉพาะ มีความหมายว่า ราชบัลลังก์ หรือ ที่ประทับของกษัตริย์ ตั้งอยู่ในอำเภอปีนมะนา ภาคมัณฑะเลย์ ห่างจาก ย่างกุ้งไปทางเหนือประมาณ 350 กิโลเมตร รถบัสของเรามุ่งหน้าเข้าไปในใจกลางแสงสว่างและวนรอบวงเวียนขนาดใหญ่ ที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ในเวลานี้ดูเหมือนจะมีแค่รถของเราคันเดียวโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนถนนแปดเลน ว่ากันว่ากว้างขวางพอจอดเครื่องบินรบได้สบายๆ แต่ดูจะมากเกินความจำเป็นไปหน่อยหากใช้เพื่อให้ประชาชนสัญจรกันธรรมดา

“นึกเหรอว่าเค้า(รบ.พม่า) จะผลาญเงินสร้างให้มันใหญ่โตเล่นๆ โดยไม่มีอะไรแอบแฝง”  อยู่ๆ คำพูดของเพื่อนชาวพม่าคนหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัว ในตอนนั้น เพื่อนอีกคนก็พูดขึ้นมาว่า “ก็ไม่แน่นะถ้าโหรเป็น คนสั่ง”

แม้จะเรียกเสียงฮาได้แต่ก็ไม่ได้ไร้สาระเสียทีเดียว เพราะใน สายตาชาวพม่า นายพลตานฉ่วย ผู้นำดันดับหนึ่งของพม่า ขึ้นชื่อว่าเป็น ผู้นำประเทศคนหนึ่งที่งมงายเรื่องโหราศาสตร์(และไสยสาสตร์)มากถึงขนาดเคยจัดงานแต่งงานให้ภรรยาสุดรักกับดาราชายคนหนึ่งที่ชื่อ ลูมีน ซึ่งอายุอ่อนกว่าเป็นรอบเพื่อแก้เคล็ดตามที่หมอดูแนะนำ แถมยังยกโขยงกันไปฮันนีมูนหมู่ด้วยกันเสร็จสรรพ เป็นเรื่องที่ฮือฮากันมาก 

ด้วยเหตุนี้ นอกเหนือจากเหตุผลต่างๆ นานาในการย้ายเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตั้ง ซึ่งตั้งอยู่กลางประเทศและสามารถเดินทางจากทุกส่วนของประเทศได้สะดวก และสามารถควบคุมชนกลุ่มน้อยเพราะใกล้กับที่อยู่ของชนกลุ่มน้อย หรือเหตุผลเรื่องต้องการแยกกลุ่มทหารออกจากพลเรือนไม่ให้เกิดกรณีพลเรือนมีอำนาจขึ้นมายึดอำนาจ  รวมไปถึงเพื่อเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ในอดีต เพราะปีนมะนาเคยเป็นศูนย์กลางกองกำลังเอกราชพม่าต่อสู้กับญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และยังปลอดภัยจากการรุกรานของศัตรูทั้งทางน้ำและทางอากาศ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเด็นความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ยังคงเป็นหนึ่งในข้อสันนิษฐานของการย้ายเมืองหลวงครั้งนี้




รถบัสชะลอหน้าโรงแรมที่ตั้งอยู่อีกฟากของถนน ซึ่งห่างจากจุดที่เรายืนอยู่หลายสิบเมตร  เราแบกเป้ใบเขื่องวิ่งข้ามถนนไปยังโรงแรมที่จองไว้ราคาคืนละ 50 เหรียญ (ประมาณ 1,650 บาท) ซึ่งถูกที่สุดแล้วใน ตัวเมืองเท่าที่สามารถหาได้ในขณะนั้น หากต้องการราคาถูกกว่านี้ ต้องไปพักในปีนมะนาที่อยู่นอกเมือง ไม่นานนัก รถกอล์ฟพร้อมพนักงานแต่งเครื่องแบบเต็มยศพาเราไปยังบ้านพักสุดหรู แยกเป็นสัดส่วนเหมือน บ้านจัดสรร แต่ละหลังแบ่งเป็นสองห้อง บางห้องก็มีรถเก๋งคันหรูจอดอยู่ที่โรงจอดรถหน้าห้อง บ่งบอกฐานะของแขกที่เข้าพัก ซึ่งนอกจากเจ้าหน้าที่หรือทหารระดับสูงกับนักธุรกิจชาวจีนแล้ว ประชาชนทั่วไปคงไม่มีปัญญาขับรถแพงอย่างนี้เป็นแน่ แถมยังไม่มีธุระจำเป็นต้องเข้าเมืองมาค้างโรงแรมหรูอย่างนี้ เพราะแม้บางกระทรวงจะย้ายสำนักงานมาที่นี้แล้ว แต่หน่วยงานหลายแห่งที่ประชาชนต้องไปติดต่อ อย่างเช่น การทำพาสปอร์ต หรือ ขอใบอนุญาตต่างๆ ก็ยังคงเปิดทำการในย่างกุ้งตามปกติ

ในค่ำคืนนั้น อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่ทำให้เราหลับลงได้ แม้ว่าเสียงเพลงคาราโอเกะจากโรงแรมข้างๆ จะดังสนั่นลั่นทุ่งก็ตาม

เช้าวันรุ่งขึ้น เราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าแบบอเมริกันบุฟเฟต์ผสมพม่า ท่ามกลางสายตาของแขกโต๊ะอื่น เพราะดูเหมือนว่าเราจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มเดียวในนั้น ส่วนใหญ่เป็นชายวัยกลางคนในชุดประจำชาติพม่า สวมเสื้อผ่าหน้า นุ่งโสร่งผ้าไหมราคาแพงแบบที่เคยเห็นในข่าวการเมืองพม่า

เนื่องจากพรุ่งนี้เราต้องไปเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินที่กรุงย่างกุ้งจึงขอให้พนักงานต้อนรับที่โรงแรมเป็นธุระติดต่อเรื่องการเดินทางให้ ซึ่งวิธีที่เร็วที่สุด คือ เครื่องบิน แต่โชคร้ายที่วันนั้นสำนักงานขายตั๋วเครื่องบินหยุดทำการเหลือตัวเลือกเพียงสองทาง คือ เหมาแท็กซี่ราคา 300 เหรียญหรือนั่งรถประจำทางไม่กี่พันจั๊ต

“ปกติแล้ว รถบัสที่นี่จะไม่รับชาวต่างชาติ...แต่ฉันจะลอง พยายามค่ะ” พนักงานสาวบอกกับเรา ซึ่งคิดไม่ถึงว่าการเดินทางของนักท่องเที่ยวในเมืองหลวงใหญ่โตมันจะยากเย็นอะไรขนาดนี้ เราลุ้น ด้วยใจระทึก ขณะที่พนักงานสองคนสลับกันยกหูโทรศัพท์ติดต่อคนนู้นคนนี้วุ่นวายไปหมด ระหว่างนั้นเราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรจองโรงแรมในย่างกุ้ง ปรากฏว่า ‘ไม่มีสัญญาณ’ ก่อนจะได้รับข่าวดีว่าได้รถเที่ยวหกโมงเย็น 

เราเหมาแท็กซี่เที่ยวรอบเมืองในสนนราคา 50 ดอลลาร์เจ้าเดียว ในเมือง ครั้นจะเดินเที่ยวก็คงไปได้ไม่ถึงไหนเพราะกว้างมาก ที่แรก ที่ไปคือห้างสรรพสินค้า Junction ที่อยู่เยื้องๆ โรงแรม ลักษณะคล้ายๆ ห้างค้าปลีกที่อยู่ทั่วบ้านเรา ต่างกันตรงที่มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด มีการตรวจค้นกระเป๋าและเครื่องตรวจโลหะก่อนเข้าไปชอปปิ้ง แม้จะดูทันสมัย แต่ตราบใดที่แผนกสตรียังมีทะนาคา แผนกเสื้อผ้าบุรุษก็ยังมีโลงจี(โสร่ง) เรียงรายหลากสีให้เลือกสรร ส่วนผู้คน ค่อนข้างบางตา รายได้วันนี้อาจไม่คุ้มค่าไฟที่เปิดแอร์เสียเย็นฉ่ำด้วยซ้ำ

เผลอแป๊บเดียวก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงแล้ว คนขับแท็กซี่หนุ่มไทยใหญ่จากเมืองจ๊อกเส่ภูมิใจเสนอมื้อกลางวันในร้านอาหารไทยใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเนินสูงจึงมองเห็นพื้นที่โดยรอบกว้างสุดลูกหูลูกตา เนปีดอว์มีพื้นที่ประมาณ 7 พันตารางกิโลเมตร (สามเท่าของกรุงเทพฯ)และถูกแบ่งเป็นโซนต่างๆ (ดูล้อมกรอบ) ซึ่งในส่วนของโซนทหาร ว่ากันว่า เป็นบริเวณที่มีอุโมงค์ลับและบังเกอร์อยู่ คนทั่วไปจึงไม่สามารถ เข้าถึง ส่วนบริเวณใกล้เคียงร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นตึกแถวและอาคารพาณิชย์ที่กำลังเร่งก่อสร้าง เมืองทั้งเมืองในขณะนี้เห็นจะมีแต่แรงงานก่อสร้างเต็มไปหมด

ถนนคอนกรีตสะท้อนแสงแดดยามบ่ายแก่ๆ เพิ่มอุณหภูมิ ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น เรามุ่งหน้าไปยังองค์เจดีย์สีทองอร่ามที่มองเห็นอยู่แต่ไกล เจดีย์แห่งนี้มีชื่อว่า “Uppatasanti Pagoda” มีความหมายว่า “เจดีย์ แห่งสันติภาพ” ซึ่งจำลองจากเจดีย์ชเวดากอง จึงมีลักษณะเหมือนกัน ทุกประการ เพียงแต่ชเวดากองสูงกว่า 30 ซม. ที่นี่มีทั้งลิฟต์ไว้บริการพื้นทุกตารางนิ้วทำจากหินอ่อนทั้งหมด แถมยังมีรูปแกะสลักหินอ่อนเรียงรายอยู่รอบผนังเจดีย์ที่ใหญ่โตโอ่โถง แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงเห็นช่างฝีมือนั่งอยู่บนนั่งร้าน ใช้กระดาษทรายและก้อนหินค่อยๆ ขัดทีละนิดอย่างพิถีพิถัน

เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว นายพลตานฉ่วยกับครอบครัวมาทำบุญที่วัดแห่งนี้ โดยมีงานเฉลิมฉลองเจดีย์แห่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ แต่อยู่ๆ ก็เกิดเหตุสลดใจไม่คาดฝันเมื่อชิงช้าสวรรค์ล้มทับชาวบ้านเสียชีวิตไปถึง 20 คน จะเป็นเหตุอาเพศประการใดไม่ทราบ แต่คาดว่าหมอดูคงสะเดาะเคราะห์หาทางแก้ไขกันไปเรียบร้อยแล้ว

ชาวพม่าเชื่อกันว่า การสร้างโบสถ์สร้างเจดีย์เป็นการเสริมสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ แต่เจดีย์แห่งสันติภาพที่อลังการที่ทุ่มทุนสร้างด้วยงบประมาณมหาศาลคงไม่อาจลบล้างกรรมชั่วของผู้นำที่ก่อไว้กับประชาชนได้

พูดถึงเรื่องงบประมาณแล้ว ประเทศที่ยากจนติดอันดับโลกอย่างพม่าเอาเงินจากที่ไหนมาสร้างเจดีย์ใหญ่โตมโหฬาร อีกทั้งถนนหนทางและอาคารสถานที่ราชการ อพาร์ทเมนท์ของเจ้าหน้าที่รัฐ และดงคฤหาสน์หลายหลังของนายพลระดับสูง ที่แม้จะไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปได้ แต่ก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปได้ มีคนนำภาพถ่ายดาวเทียมคฤหาสน์เหล่านั้นไปหาขนาดความกว้างของตัวอาคาร วัดได้ถึง 70 เมตร แถมยังมองเห็นสระวายน้ำส่วนตัวหน้าคฤหาสน์แต่ละหลังได้ชัดเจน  ว่ากันว่า เงินที่นำมาสร้างเมืองหลวงใหม่ได้มาจากหลายแหล่ง ทั้งจากจีน และการให้เอกชนเข้าไปสัมปทานเพื่อลงทุนพัฒนาสาธารณูปโภค โดยรัฐบาลจะมีของสมนาคุณแก่เอกชน อาจเป็นที่ดินและสถานที่ราชการในย่างกุ้ง หรือใบอนุญาตทำธุรกิจบางอย่าง เป็นต้น

ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้เรามีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเพื่อเดินเที่ยวในสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายก่อนเดินทางกลับย่างกุ้ง เย็นวันนั้นค่อนข้างคึกคักไปด้วยผู้คนที่ส่วนใหญ่มากันเป็นครอบครัว สิ่งที่ฮิตกันมากคือการถ่ายรูปจากช่างภาพรับจ้าง ซึ่งสามารถพิมพ์ภาพถ่ายจากเครื่องพิมพ์ที่เสียบปลั๊กจากแบตเตอรี่รถยนต์ ออกมาเป็นภาพ สวยงามได้ภายในเวลาไม่กี่นาที นอกจากนี้ ด้านในยังมีน้ำตกจำลองสามารถลงไปเล่นน้ำได้แต่ต้องจ่ายค่าลงสระสนนราคา 50 จั๊ต 

เสียงน้ำตกกระทบพื้นดังซู่ กับเสียงร้องเย้วๆ ของเด็กๆ และหนุ่มสาวที่ลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บวกกับเสียงนกหวีดปรี๊ดๆ ของเจ้าหน้าที่ที่คอยเตือนไม่ให้เล่นผาดโผน ผสมปนเปกัน แม้จะดูวุ่นวายแต่ก็เป็นแห่งเดียวที่เราสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของชีวิตได้ชัดเจนที่สุด เพราะตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในเนปีดอว์ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งถนน หนทาง ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ราชการ ดูใหญ่โตมโหฬารก็จริง แต่กลับไร้ชีวิตชีวา ชาวต่างชาติที่มีโอกาสได้มาเยือนที่นี่โดยเฉพาะช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาบางคนถึงขนาดเรียกเนปีดอว์ว่า ‘เมืองผีสิง’ บางเว็บไซท์ถึงขนาดจัดอันดับให้เป็นเมืองหลวงยอดแย่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลยก็มี

เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ แท็กซี่ไปส่งเราหน้าตลาด ‘มโยะ มะ’ ซึ่งเป็น ตลาดแห่งเดียวที่นี่ และเนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ รถเที่ยวนี้จึงมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการหลายคนเดินทางกลับบ้านในย่างกุ้งพร้อมเรา เจ้าหน้าที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ย้ายตามหน่วยงานมาจากย่างกุ้ง โดยรัฐฯ เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องที่พักอาศัย สร้างอพาร์ทเมนท์ใหม่เอี่ยมให้อยู่กันฟรีๆ แถมมีรถรับส่งจากที่พักไปยังสถานที่ทำงานเสร็จสรรพอีกด้วย ฟังดูอาจเข้าที แต่หลายอย่างในเมืองหลวงใหม่แห่งนี้ มีเบื้องหลังที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิด

“ฉันถูกขอร้องให้ย้าย ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเนปีดอว์เป็นยังไง ไม่มีใครรู้ แต่ฉันไม่อยากตกงาน หลังจากที่เขาประกาศ10 วัน ฉันต้องขนข้าวของย้ายไปอยู่ที่นั่น”

ข้าราชการสาวคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ในบทความเรื่อง Living in a ghost town ในหนังสือพิมพ์ Bangkokpost ตีพิมพ์เมื่อสองปีที่แล้ว เธอบอกว่า ตอนที่ไปถึงเนปีดอว์ช่วงแรก เมืองนี้มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มี ตลาด ไม่มีร้านของชำ หิวเมื่อไหร่ก็ต้องเข้าร้านอาหาร ต่างจากย่างกุ้งที่มีร้านค้าและร้านอาหารอยู่ทุกมุมถนน แถมอพาร์ทเมนท์ที่รัฐฯ สร้างให้ แม้จะไม่เสียค่าเช่า แต่ก็ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงหูฉี่ หลายคนจำใจย้ายมาโดยทิ้งครอบครัวไว้ที่ย่างกุ้ง เพราะยังไม่มีโรงเรียนให้ลูกๆ จนถึงขณะนี้ บางโรงเรียนสร้างเสร็จแล้ว แต่หลายครอบครัวก็ยังไม่ได้ย้ายมากอยู่ด้วยกัน จึงต้องอาศัยช่วงเวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์เพื่อกลับบ้านไปหาครอบครัว นี่คืออีกมุมหนึ่งของเมืองหลวงใหม่ที่คนนอกอย่างเราอาจไม่เคยนึกถึง

เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ไฟฟ้าตามจุดต่างๆ ในเมืองค่อยๆ ทยอยกันส่องสว่างโดยไม่ปล่อยให้เมืองอยู่ในความมืดแม้แต่วินาทีเดียว รถประจำทางแล่นออกจากเนปีดอว์พาเรากลับเข้าสู่ความมืดอีกครั้ง หลายชีวิตบนรถเที่ยวนี้กำลังจะกลับบ้าน ถึงจะเป็นแค่ห้องเช่าแคบๆ มีแค่แสงเทียนริบหรี่ แต่ก็เต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่น
ต่อให้เนปีดอว์จะเจริญแค่ไหนก็ไม่สามารถให้ความรู้สึกเหล่านี้แก่พวกเขาได้




โซนต่างๆ ในเนปีดอว์

Residential zones โซนที่พักเจ้าหน้าที่เป็นอพาร์ทเมนท์สี่ชั้น แต่ละสีบ่งบอกถึงหน่วยงานทีสังกัด เช่น กระทรวงสาธารณะสุขหลังคาสีน้ำเงิน เป็นต้น
Military zones เป็นโซนทหาร บริเวณนี้เชื่อว่ามีอุโมงค์ลับและบังเกอร์ คนทั่วไปไม่สามารเข้าไปถึง
Ministry zone เป็นโซนเป็นที่ตั้งของกระทรวงต่างๆ มีอาคารรัฐสภาสร้างใหม่เพื่อรองรับรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2553
Hotel zone โซนโรงแรมตั้งอยู่ชานเมือง
Shopping โซนการค้า มีตลาด “มโยะ มะ”  ห้าง Junction
Recreation โซนพักผ่อนหย่อนใจ ประกอบด้วยสวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ 2 แห่ง
International zone ประกอบด้วยสถานทูตและสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ