"ประชาธิปไตยจัดฉาก" หนังน่าดูกำกับโดยรัฐบาลพม่า


โดย หมอกเต่หว่า
ภาพ Mizzima
หากการเมืองพม่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งโดยมีประชาชนเป็นตัวละคร ผู้กำกับและคนเขียนบทก็คงหนีไม่พ้นนายพลตานฉ่วยและคณะรัฐบาลทหาร ที่สามารถจัดฉากและเปลี่ยนแปลงบทบาทของตัวละคร และเรื่องราวตามใจชอบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการออกกฎหมายเลือกตั้งที่ผ่านมา นอกจากจะไม่ให้ความยุติธรรมแก่พรรคการเมืองที่เลือกข้างประชาธิปไตยแล้ว ยังกีดกันนักโทษการเมืองชาวพม่าและชนกลุ่มน้อยไม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมอีกด้วย ดังนั้น การเลือกตั้งที่รัฐบาลพม่าเตรียมจัดขึ้นจึงเป็นแค่ฉากหนึ่งในหนังพม่าที่มีชื่อเรื่องว่า “ประชาธิปไตยจัดฉาก” โดยมีนานาชาติเป็นผู้ชมเท่านั้นเอง

ฉากที่หนึ่ง ออกกฎหมายเลือกตั้ง - กีดกันนักโทษการเมือง 

เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้ง 5 ฉบับ ซึ่งประกอบไปด้วย หนึ่ง กฎหมายคณะกรรมการการเลือกตั้ง สอง กฎหมายการจดทะเบียนพรรคการเมือง สาม กฎหมายการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สี่ กฎหมายการเลือกตั้งสภาแห่งชาติ และ ห้า กฎหมายการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ซึ่งนับว่าเป็นกฎหมายเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปีหลังจากที่หลายคนตั้งตารอคอย โดยหลังจากรัฐบาลออกมาประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้งได้ไม่นาน รัฐบาลยังไฟเขียวอนุญาต ให้สำนักงานของพรรคเอ็นแอลดีทั่วประเทศที่มีกว่า 300 แห่ง รวมถึงพรรคการเมืองประชาธิปไตยกลุ่มอื่นๆ สามารถเปิดทำการได้อีกครั้ง

หากมองผิวเผินแล้วดูเหมือนว่า รัฐบาลพม่ากำลังสวมบทบาทเป็นพ่อพระ แต่เมื่อกลับมาพิจารณาถึงเนื้อหาในกฎหมายเลือกตั้งฉบับนี้ชาวพม่าบางคนถึงกับเอ่ยปากว่าเป็นกฎหมายที่ตลกที่สุดในประวัติศาสตร์ชาวพม่าเลยทีเดียว

เนื้อหาของกฎหมายระบุว่า ผู้ที่เคยต้องโทษคดีและถูกศาลสั่งว่ามีความผิดและถูกจำคุก ไม่สามารถจัดตั้งพรรคการเมืองได้และพรรคการเมืองใดที่ต้องการลงสมัครชิงชัยลงเลือกตั้งจะต้องไม่มีสมาชิกพรรคที่ต้องโทษคดีจำคุก ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า กฎหมายฉบับนี้ร่างขึ้นมาเพื่อกีดกันไม่ให้นักโทษทางการเมืองจำนวนกว่า 2 พันคนเข้ามามีบทบาทในการเลือกตั้งและการเมืองของพม่าในอนาคต รวมทั้งยังพุ่งเป้าเล่นงานนางอองซาน ซูจีและพรรคเอ็นแอลดี รวมถึงพรรคการเมืองสายประชาธิปไตยออกจากวงจรการเมืองในพม่า จึงเปรียบได้ว่า นักโทษการเมืองทั้งหมดในเวลานี้จึงเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุด


นอกจากนี้ ในกฎหมายการจดทะเบียนเลือกตั้งของรัฐบาลยังระบุว่า พรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งต้องยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับปี  2008 ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ดีว่า  รัฐธรรมนูญฉบับนี้เอื้อประโยชน์ให้แก่รัฐบาลทหารและพวกพ้อง ไม่ใช่รัฐธรรมนูญในแบบของประชาธิปไตย กฎหมาย เลือกตั้งยังระบุอีกว่า ในระหว่างที่หาเสียง ห้ามผู้ลงสมัครหาเสียงโดยการปราศรัยว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ พร้อมกันนี้รัฐบาลยังประกาศว่าผลการเลือกตั้งในปี 2533 เป็นโมฆะ ทั้งๆ ที่การ เลือกตั้งครั้งนั้น พรรคเอ็นแอลดีได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย ขณะที่ หลายคนมองว่า การที่รัฐบาลออกกฎหมายในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ผิดคาด เพราะถ้าหากรัฐบาลออกกฎหมายที่ยังพอเหลือความยุติธรรม นั่นต่างหากที่แปลกและเป็นฝันกลางวันอันเพ้อเจ้อ

ด้านนางซูจีเองได้ออกมาแสดงท่าทีต่อต้านกฎหมายดังกล่าวชัดเจนว่าไม่ยุติธรรมและไม่ให้เสรีภาพ เธอไม่คิดว่ารัฐบาลจะกล้าประกาศกฎหมายฉบับนี้ขึ้น และไม่เห็นด้วยที่พรรคเอ็นแอลดีจะลงเลือกตั้งภายใต้กฎหมายนี้ โดยให้เหตุผลว่า หากเอ็นแอลดียอมรับข้อเสนอของรัฐบาลก็เท่ากับว่า ยอมรับรัฐธรรมนูญปี 2008 ที่รัฐบาล เป็นผู้ร่างขึ้น

“กฎหมายเลือกตั้งไม่มีความยุติธรรม และดิฉันไม่อาจยอมรับกฎหมายดังกล่าวได้ นักโทษทางการเมืองส่วนใหญ่ถูกจับเพราะเคลื่อนไหวทางการเมือง การบังคับให้พวกเขาเหล่านั้นออกจากพรรค ของตัวเอง และห้ามลงแข่งขันเลือกตั้ง ถือเป็นการเพิ่มโทษหนักขึ้นเป็นสองเท่า” นางซูจีกล่าวผ่านทางโฆษกพรรคเอ็นแอลดี เช่นเดียวกับชนกลุ่มน้อยที่เป็นปรปักษ์กับรัฐบาลพม่าที่แสดงจุดยืนในทิศทางเดียวกันกับนางซูจี

ด้านนักวิเคราะห์บางคนมองว่า แท้จริงแล้ว รัฐบาลอาจต้องการให้พรรคเอ็นแอลดีลงเลือกตั้ง แต่ไม่ใช่ภายใต้การนำของนางซูจี เพราะรู้ดีว่า หากปล่อยนางซูจีนำพรรคลงเลือกตั้งก็ได้จะรับเสียงสนับสนุนเหมือนในอดีต และรัฐบาลไม่อยากเห็นความผิดพลาดนั้นอีกครั้ง อีกด้านหนึ่ง ถ้าสามารถดึงพรรคเอ็นแอลดีมามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ก็ยิ่งจะทำให้การเลือกตั้งของพม่าในสายตานานาชาติ ซึ่งเป็นผู้ชมดูสมจริงสมจังและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็แล้วแต่ กฎหมายเลือกตั้งฉบับนี้กำลังทำให้พรรคเอ็นแอลดีและพรรคฝ่ายค้านที่เลือกข้างประชาธิปไตยกลุ่มอื่นๆ กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก 

ฉากที่สอง สร้างวิกฤติให้พรรคฝ่ายค้าน 

พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ พรรคเอ็นแอลดี ภายใต้การนำของนางอองซาน ซูจี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านกลุ่มใหญ่ที่สุดในพม่า และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมายาวนานกว่า 20 ปี และเคยชนะ การเลือกตั้งเมื่อปี 2533 อย่างถล่มทลาย แต่รัฐบาลทหารกลับไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น รวมทั้งไม่ยอมให้จัดตั้งรัฐบาลและเข้ามาบริหารประเทศ ตลอดระยะเวลาการต่อสู้อัยาวนานที่ผ่านมา สมาชิก ในพรรคต้องเผชิญกับการถูกจับกุม การข่มขู่จากทางการพม่า แต่ก็ยังยืน ข้างประชาชนตลอดมาเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย และภายหลังที่กฎหมายเลือกตั้งนี้ออกมา พรรคเอ็นแอลดีอาจต้องยุติบทบาททางการเมือง หลังจากไม่ยอมขับไล่นางซูจีออกจากพรรคตามข้อเสนอของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับพรรคเอ็นแอลดี

ก่อนหน้านี้  หลังการประกาศกฎหมายเลือกตั้งได้ไม่นาน ได้เกิดความตึงเครียดขึ้นมาครั้งใหญ่ภายในพรรค หลังสมาชิกพรรคมีความคิดออกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายต่อกฎหมายเลือกตั้ง เมื่อนายอ่องฉ่วย ผู้อำนวยการพรรควัย 92 ปี และผู้นำระดับสูงคนอื่นๆ เห็นว่า เอ็นแอลดีควรลงเลือกตั้ง แม้จะต้องขับนางซูจีออกจากพรรคก็ตามเพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้พรรคอยู่รอด ในขณะที่นายวินติน สมาชิก อาวุโสเอ็นแอลดีและผู้นำคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้

ความคิดเห็นที่แตกต่างฝ่ายยังได้ลุกลามมาถึงประชาชนในระดับรากหญ้า เพราะเมื่อมีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในย่างกุ้ง 374 คนพบว่า จำนวน 166 คน (ร้อยละ 44) มองว่า พรรค เอ็นแอลดีไม่ควรลงเลือกตั้ง เพราะถึงแม้จะลงเลือกตั้งก็จะไม่มีเสรีภาพที่แท้จริง ขณะที่ 146 คน (ร้อยละ39) เห็นด้วย หากเอ็นแอลดีลงเลือกตั้ง โดยให้เหตุผลว่า อย่างน้อยก็ยังเหลือสถานภาพของพรรคการเมืองเพราะไม่เช่นนั้นพรรคเอ็นแอลดีก็จะถูกยุบ การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยจะลำบากมากขึ้น และประชาชนจะหมดสิ้นความหวัง หากไม่มีเอ็นแอลดี 

และท้ายสุดเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา เอ็นแอลดีได้ข้อสรุปโดยเป็นมติจากเสียงส่วนใหญ่ว่า พรรคเอ็นแอลดีจะไม่จดทะเบียนเข้าร่วมเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้อย่างแน่นอน แม้จะต้องถูกยุบพรรคก็ตาม โดยการตัดสินใจครั้งนี้ ผู้นำในพรรคเอ็นแอลดีเปิดเผยว่า มีสาเหตุมาจากกฎหมายเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรมเป็นหลัก แต่ถึงอย่างไร ก็ยังยืนยันจะอยู่เคียงข้างประชาชนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป ในขณะที่พรรค ฝ่ายค้านชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ รวมถึงพรรคสันนิบาตแห่งชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย หรือ เอสเอ็นแอลดี (Shan Nationalities League for Democracy ) ซึ่งครองที่นั่งในสภามาเป็นอันดับที่ 2 รองจากเอ็นแอลดี ก็ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2533 เป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่กำลังเผชิญกับการถูกยุบพรรค หากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาล

กฎหมายเลือกตั้งฉบับนี้ นอกจากจะกดดันพรรคการเมืองฝ่ายค้านแล้ว ยังทำให้เกิดการตั้งคำถามตามมามากมายว่า หากพรรคฝ่ายค้านส่วนใหญ่ปฏิเสธลงเลือกตั้ง การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของพวกเขาจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด

ฉากที่สาม เลือกตั้ง 2010  : ทางออกของรัฐบาล ทางตันของประเทศ 
ผู้ติดตามสถานการณ์ประเทศพม่ามองว่า หลังจากการยุบพรรค สมาชิกพรรคเอ็นแอลดีจะแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการลงเลือกตั้ง กับฝ่ายที่คัดค้านการเลือกตั้ง มีความเป็นไปได้ว่า ฝ่ายที่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งอาจจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่และลงสมัครรับเลือกตั้ง ในขณะที่กลุ่มที่เหลือซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง อาจผันตัวไปเป็นกลุ่มที่มีลักษณะเคลื่อนไหวด้านสังคมมากกว่าจะเป็นพรรคการเมืองแบบเดิม หรือเป็นในลักษณะกลุ่มใต้ดินที่ร่วมมือกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่าทั้งในและนอกประเทศ แต่ถ้าหากสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีไม่สามารถหาจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนได้ ก็จะสลายไปในที่สุดจากแรงบีบคั้นรอบด้านโดยรัฐบาล และจะทำให้รัฐบาลฉวยโอกาสปราบปรามสมาชิกเอ็นแอลดีที่เหลือ เช่นเดียวกับพรรคฝ่ายค้านกลุ่มอื่นที่เหลือก็จะเคลื่อนไหวทางการเมืองยากขึ้นด้วยเช่นกันภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2008 และรัฐบาลชุดใหม่

แต่ในทรรศนะของผู้นำชนกลุ่มน้อยกลับมองต่างออกไป เจ้ายอดศึก ผู้นำสูงสุดกองกำลังรัฐฉาน หรือ เอสเอสเอ (Shan State Army) กลับมองว่า วิกฤติในครั้งนี้เป็นโอกาสสำหรับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน  เพราะถ้าหากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น และรัฐบาลพม่าชุดใหม่ประกาศว่าพม่าเป็นประเทศประชาธิปไตยแล้ว จะมีหนทางที่กว้างขึ้นสำหรับพรรคเอ็นแอลดีและพรรคการเมืองประชาธิปไตยกลุ่มอื่นๆ ให้สามารถกลับเข้าสู่สังเวียนการเมืองได้อีกครั้ง รวมถึงเอื้อให้กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนทำงานได้คล่องขึ้น เพราะสื่อ ต่างประเทศ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงองค์กรเพื่อประชาธิปไตยสากลจะยิ่งเฝ้าจับตามองประชาธิปไตยพม่ามากขึ้นเท่านั้น

พร้อมกันนี้ เจ้ายอดศึกยังเสนอทางออกในการแก้ไขวิกฤติการเมืองในพม่าว่า ขั้นแรก ต้องจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่มาจากตัวแทนของทุกกลุ่ม และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย ขั้นที่สอง คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคนส่วนใหญ่และให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายด้วยเช่นกัน จากนั้น ขึ้นที่สาม จึงจัดการเลือกตั้ง โดยสิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายควรมีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อกันในการแก้ปัญหาการเมืองในพม่าอย่างจริงจัง

เจ้ายอดศึกย้ำว่า ทุกฝ่ายควรรู้จักให้อภัยและลืมเรื่องราวความผิดพลาด ความขัดแย้งในอดีต และหันกลับมาร่วมมือสร้างชาติกันใหม่ เพราะหากยังไม่สามารถขจัดตรงนี้ออกไปได้ เชื่อว่าความขัดแย้งจะไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับที่หากรัฐบาลพม่าไม่ยอมเจรจากับทุกฝ่าย เชื่อว่าความสงบก็จะไม่เกิดขึ้นในพม่าด้วยเช่นกัน

สอดคล้องกับข้อเสนอของพรรคฝ่ายค้านและนานาชาติที่เรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทั้งหมดและปฏิรูปการปกครองประเทศ รวมถึงดำเนินการเจรจากับทุกฝ่ายรวมทั้งชนกลุ่มน้อย แต่ข้อเรียกร้องเหล่านี้จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ในเมื่อสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลยังคงเดินหน้าที่จะนำพาประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตยแบบจอมปลอมโดยที่ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น แถมยัง ได้ผู้สนับสนุนอย่างจีน อินเดีย และรัสเซียคอยหนุนหลังตลอด

หนังเรื่อง “ประชาธิปไตยจัดฉาก” ของรัฐบาลพม่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร จะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างที่ใครหลายคนคาดหวังหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป