โดย องค์ บรรจุน
คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้คงรักแผ่นดินถิ่นเกิดด้วยกันทั้งนั้น แม้จะรู้ดีว่าตนเองแตกต่างจากผู้คนเชื้อสายหลักและผู้ปกครองของประเทศนั้นก็ตาม หากจะมีคนที่เกิดบน แผ่นดินนั้นแล้วยังคงรักในเชื้อสายเผ่าพันธุ์ของบรรพชนซึ่ง เป็นคนส่วนน้อยก็คงเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ในกรณีของ รุบมะน เธอมีบรรพชนเป็นชาวกอระข่า ประชากรหลักของ ประเทศเนปาล แม้เธอจะยังคงใช้ภาษาเนปาลีและใช้ชีวิตในวัฒนธรรมแบบเนปาล แต่เธอก็ไม่รู้จักเนปาล เหตุเพราะ ตระกูลของเธออพยพเข้ามาอยู่พม่าตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ด้วย รูปลักษณ์ภายนอกและวัฒนธรรมเฉพาะของชาวกอระข่า ทำให้ทุกคนเรียกเธอว่า ‘แขก’ ประกอบกับรูปแบบการปกครอง โดยรัฐบาลทหารพม่าที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิต อย่างปกติสุขได้ ทำให้รุบมะนีไม่เคยรู้สึกว่าเธอเป็นคนพม่า ที่สำคัญเธอไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตที่นั่น ในขณะเดียวกัน รุบมะนีก็ไม่ได้คิดว่าเธอเป็นคนไทย แต่ถ้าเป็นไปได้ เธอก็จะเลือกใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยตลอดไป
กอระข่า (gorkha หรือ gurkha) มาจากชื่อภูเขา gorkha ถิ่นที่อยู่สำคัญในประเทศเนปาล คนไทยรู้จักกันในชื่อ “กูรข่า” ชาว กอระข่าเป็นชนส่วนใหญ่ของเนปาล ลักษณะนิสัยโดยทั่วไปเป็นคนที่ มีเมตตา รักสงบ แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องรบก็ตั้งหน้าตั้งตารบอย่าง เอาเป็นเอาตาย ด้วยเหตุนี้สายเลือดกอระข่าในปัจจุบันจึงมีนักกีฬา ประเภทต่อสู้และกีฬาประเภทใช้ความอดทนสูง เช่น มวย วิ่งมาราธอน ชื่อเสียงของชาวกอระข่าในด้านการรบเป็นที่เลื่องลือ ทำให้อินเดียและ อังกฤษนิยมจ้างไปรบ ด้วยเป็นเผ่าพันธุ์ที่กล้าหาญ อดทน มีวินัย และ รักษาคำพูดเท่าชีวิต
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษได้จ้างทหารกอระข่าให้มารบ กับกองทัพญี่ปุ่น คาดกันว่าปู่ย่าตายายของรุบมะนีน่าจะเป็นหนึ่งใน ทหารรับจ้างเหล่านั้นด้วย ภายหลังจากเลิกรับจ้างรบแล้วก็ไม่ได้ เดินทางกลับเนปาล แต่ลงหลักปักฐานอยู่ในพม่าต่อมาจนถึงปัจจุบัน
รุบมะนีเล่าว่า ในประเทศเนปาลก็มีการแบ่งวรรณะเช่นเดียวกับในอินเดีย ตระกูลของเธออยู่ในวรรณะไรน์ เป็นวรรณะระดับกลางซึ่งเป็น คนส่วนใหญ่ของชาวกอระข่าทั้งหมด และโดยมากคนในวรรณะนี้จะทำหน้าที่เป็นทหาร คนวรรณะสูงจะเป็นนักบวชและผู้ปกครอง ส่วน วรรณะต่ำสุดจะเป็นพวกใช้แรงงาน เช่น ทำทอง ปั้นหม้อ ทอผ้า กสิกรรม เป็นต้น เมื่อปู่ของรุบมะนีตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในประเทศพม่าแล้วก็ สมัครรับราชการเป็นทหารให้กับรัฐบาลพม่าตามความถนัดเดิมของตน รวมทั้งตกทอดมาถึงรุ่นพ่อของเธอด้วย
เดิมทีปู่ย่าตายายของรุบมะนีอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมิมิหยุ เมืองมิตจีนา ทางตอนเหนือของพม่า ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับอินเดียและ จีน ภายหลังเมื่อพ่อรับราชการทหารจึงย้ายครอบครัวมาอยู่ในเมือง ร่างกุ้ง เมื่อพ่อเสียชีวิต แม่จึงกลับไปอยู่หมู่บ้านตามเดิม ส่วนรุบมะนียัง คงรับจ้างทอผ้าอยู่ในร่างกุ้ง เมื่ออายุได้ 28 ปี แม่ขอให้รุบมะนีกลับไปอยู่บ้านเพื่อที่แม่จะได้เข้ามาทำงานในเมืองไทย ตามคำชวนของญาติ และเพื่อนๆ ที่เข้ามาเมืองไทยก่อนหน้านั้น เนื่องจากการทำมาหากิน ฝืดเคือง รุบมะนีสงสารแม่จึงขอให้แม่อยู่บ้านดังเดิม เธอขอเข้ามา ทำงานเมืองไทยเอง โดยสัญญาว่าจะส่งเงินกลับไปให้แม่ทุกเดือน ตลอดระยะเวลา 16 ปี ตั้งแต่มาเมืองไทย รุบมะนีส่งเงินให้แม่ไม่เคยขาด และเป็น 16 ปี ที่รุบมะนีไม่เคยกลับไปบ้านเกิดเลย ซึ่งเธอเชื่อว่าตอนนี้ เธอไม่สามารถจำทางกลับบ้านได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเธอคง ไม่มีโอกาสได้กลับไปที่บ้านเกิดอีก เพราะแม่เองก็หนีความยากลำบาก มาอาศัยอยู่ที่เมียวดีได้ระยะหนึ่งแล้ว ทุกวันนี้แม่ได้เก็บสะสมเงินทองที่ เธอส่งไปให้เปิดร้านขายของชำ มีความเป็นอยู่สุขสบายมากขึ้น หาก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงรุบมะนีตั้งใจว่า อีกไม่เกิน 2 ปี เธอจะกลับไปอยู่ กับแม่ที่เมียวดี แม้จะคิดถึงเมืองไทยบ้างแต่ก็สามารถกลับมาเที่ยวได้ ง่าย เพราะเมียวดีอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอำเภอแม่สอดของไทย เพียงเดินข้าม สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ ความยาวไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
เริ่มแรกรุบมะนีเข้ามาทาง จ.เชียงรายและอยู่เรียนภาษาไทยที่นั่น เมื่อภาษาไทยใช้งานได้แล้ว น้องสาวที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯมานานได้รับมาอยู่ด้วย
รุบมะนีเป็นคนหัวไว ทำอาหารได้หลายชาติ เรียนรู้ภาษาได้เร็ว ปัจจุบันเธอสามารถสื่อสารได้ถึง 5 ภาษา คือ เนปาล อินเดีย พม่า อังกฤษ และไทย ทำให้เธอสามารถเลือกงานได้ โดยเธอจะเลือกทำงาน แม่บ้านให้กับนายจ้างที่เป็นคนฮินดู อิสลาม หรือฝรั่งตะวันตก เป็นส่วนมาก ส่วนหนึ่งเพราะเธอมีความสามารถโดดเด่นในเรื่องภาษา ทำอาหารได้หลากหลาย และความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่เอาเปรียบ ใครและไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบด้วยเช่นกัน คุณสมบัติข้อนี้เองที่ทำให้ เธอได้รับเงินเดือนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแรงงานต่างด้าวด้วยกัน หรือแม้แต่กับแม่บ้านคนไทยทั่วไป นอกจากนี้เธอยังเป็นคนหัวสมัย ใหม่ที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง เธอใช้ชีวิตในวัฒนธรรมกอระข่า แต่ก็เปิดรับ วัฒนธรรมไทยและสากลไปพร้อมๆ กัน เธอไม่ชอบสวมชุดกอระข่า จะ สวมเฉพาะวันสำคัญในชีวิตของลูกผู้หญิงเท่านั้น นั่นคือวันแต่งงาน บางครั้งเธอก็สังสรรค์กับเพื่อนๆ โดยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อ่อนๆ เพิ่ม บรรยากาศในการแลกเปลี่ยนสนทนา ซึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า คนกอระข่าถือว่า ผู้หญิงที่กินเหล้านั้นเป็นความเสียหายของวงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง
“อยู่เมืองไทยก็ดี ได้รู้อะไรมากขึ้น ทำอาหารได้มากขึ้น งานบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทันสมัยไม่เคยใช้ก็ได้ใช้ เรื่องแต่งตัวพี่เลือกของพี่เอง พี่ชอบแต่งแบบคนไทยทั่วไป ไม่ชอบแต่งแบบกอระข่า มันไม่สบายตัว วันหยุดหากไม่ไปวัดก็จะชวนเพื่อนมานั่งคุยกันทำอาหารกินที่ห้องเช่า ส่วนใหญ่ทำอาหารแบบกอระข่า กินอย่างที่เราชอบกิน อย่างที่แม่ เคยทำให้กิน ช่วยกันทำช่วยกันกิน กินได้ทุกอย่างแต่ไม่กินเนื้อวัว เพราะศาสนาเราห้าม...เครื่องปรุงซื้อได้ทั่วไป แถวพระโขนง คลองเตย มีเยอะมาก แถวนี้คนกอระข่าอยู่กันเยอะ ในเมืองไทยตอนนี้พี่ว่าน่าจะมีกอระข่าเป็นแสนคน...”
็นงานเทศกาลสำคัญของกอระข่า รุบมะนีจะไปวัดศิวะซึ่งเป็นวัด ฮินดูย่านอ่อนนุช แต่หากไม่ใช่วันสำคัญเธอและเพื่อนๆ ก็จะไปทำบุญ ในวัดพุทธทั่วไป เพราะเธอเห็นว่าพุทธกับฮินดูสามารถไปด้วยกันได้ ไม่มีความขัดแย้งกันเหมือนศาสนาอื่น
คนกอระข่าที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่เมื่อมาอยู่เมืองไทยจะเป็น ลูกจ้างร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ส่วนผู้หญิงจะทำงานเป็นแม่บ้าน
“ผู้ชายกอระข่าส่วนมากที่พึ่งเข้ามาจะเป็นลูกจ้างร้านตัดเสื้อผ้า ก่อน ที่เห็นหน้าเหมือนแขกคอยเรียกลูกค้าอยู่แถวบางลำพู ถนนข้าวสาร พาหุรัด นั่นกอระข่าทั้งนั้น เพราะเขาพูดอังกฤษได้ พอแต่งตัวดี หล่อขึ้น กว่าอยู่ที่บ้าน ใครไม่รู้นึกว่ามาจากอินเดีย ตำรวจเกรงใจก็ไม่ค่อยมายุ่ง พอเขาเป็นงานแล้ว มีทุน และรู้ช่องทางค้าขายแล้วก็จะหาร้านเปิด ทำเอง... ผู้หญิงนี่เขาไม่รับ เราต้องมาทำงานแม่บ้าน ทำแบบชวนๆ กันมา ใครมีช่องทางดีก็แนะนำกันต่อๆ ไปเจ้านายคนไหนไม่ดี เราก็เตือนกัน ให้รู้กันทั่ว...”
สิบหกปีในการทำงานของรุบมะนี เธอเปลี่ยนนายจ้างมาแล้วห้า ราย ทุกวันนี้อยู่กับนายจ้างคนที่หก นายจ้างส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา ไม่เคย ถูกรังแก เพราะเธอเป็นคนฉลาดทันคนและไม่ยอมคน ไม่เคยเจอ นายจ้างที่เห็นแก่ตัว เพราะมีเพื่อนฝูงบอกต่อแนะนำ ติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอยู่เสมอ เหตุที่เธอต้องเปลี่ยนนายจ้างบ่อยเพราะ เธอชอบที่จะอยู่กับนายจ้างที่เป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากให้ค่าตอบแทนดี วันทำงานก็ทำงานเต็มเวลา วันหยุดก็เป็นวันหยุดจริงๆ ไม่จู้จี้เอาเปรียบ รวมทั้งไม่มีการกลั่นแกล้งรังแกหรือโกงค่าแรง เนื่องจากเป็นคนต่างชาติ ด้วยกัน ผิดจากคนไทยเจ้าของประเทศที่อาจมีการเอาเปรียบได้ เพราะเห็นคนทำงานบ้านเป็นแค่เพียงแรงงานต่างด้าวราคาถูก
“พี่ไม่เคยถูกโกงค่าแรงเลย เพราะเราช่วยกัน ติดต่อกัน คุยกัน ตลอด ถ้าจะโกงก็ต้องทะเลาะกัน เอาค่าแรงของเรามาให้ได้ แต่เขา ไม่กล้าหรอก เพราะเขาก็เป็นต่างด้าวเหมือนเรา...ถ้านายจ้างไม่ดีเราจะ ช่วยกันเอาเรื่องของเขาไปบอกต่อๆ กันไป จะได้รู้กันทั่วๆ คนอื่นจะได้ ไม่ถูกหลอกอย่างเราอีก”
สิ่งหนึ่งที่รุบมะนีแตกต่างจากแรงงานต่างด้าวทั่วไปคือ ความ ฉลาดทันคน และความหยิ่งทะนงในชาติพันธุ์ของตนเอง
“ก่อนทำงานต้องตกลงกันก่อน ให้เรากินกี่มื้อ นอนกี่ชั่วโมง พักวันไหนบ้าง พักกับเจ้านายหรือเช่าห้องพักต่างหาก... ทุกวันนี้พี่ทำงาน กับเจ้านายคนไนจีเรีย อยู่คอนโดห้องใหญ่มาก และมีแขกมาหาเยอะ งานก็หนักหน่อย ต้องดูแลบ้านมาก ทำอาหารมาก แต่ก็ได้ทิปมากด้วย เจ้านายคนนี้ตอนแรกก็ให้พี่ไปกลับ พอทำงานได้สักพักเริ่มไว้ใจกันแล้วก็ให้พักที่คอนโด จะได้กลับห้องเช่าเฉพาะวันอาทิตย์”
การที่รุบมะนีไม่ได้รู้สึกว่าเธอเป็นคนพม่า แต่เป็นคนกอระข่าซึ่งมี ประเทศเป็นของตนเอง ไม่ได้รู้สึกว่าตกเป็นทาสหรือเป็นเบี้ยล่างของ พม่า ประเทศของเธอก็ยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกแย่งชิงไปอย่างมอญ ไทยใหญ่ ยะไข่ หรือชนชาติอื่นๆ ประชากรพม่าเกือบ 1 ใน 4 ต่างมีเชื้อสายกอระข่า ทั้งยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ คนพม่าและรัฐบาล ทหารเองก็ไม่กล้ารังแกอย่างตรงไปตรงมานัก เมื่อรุบมะนีมาทำงานใน เมืองไทยเธอจึงไม่ได้มีสำนึกแบบคนอาศัยหรือส่วนเกินของสังคมไทย เธออยู่ในฐานะคนที่ทำงานแลกค่าตอบแทน ไม่ยอมให้นายจ้าง เอาเปรียบค่าแรงหรือทำร้ายรังแกอย่างที่แรงงานต่างด้าวทั้งหลายมัก ถูกกระทำ อันเป็นความเจ็บช้ำซ้ำซ้อนไม่ต่างกันไม่ว่าจะอยู่ในพม่าหรือในประเทศไทย ทั้งที่สองประเทศนี้มีระบบการปกครองที่แตกต่างกัน
ประสบการณ์และทัศนคติของรุบมะนีเป็นเรื่องน่าคิด สำหรับแรงงานและนายจ้างอีกหลายคน รวมทั้งรัฐบาล เจ้าหน้าที่ และข้าราชการไทย สิ่งสำคัญที่สุดที่นายจ้างชาวไทย ประเทศที่ได้ชื่อว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยคงต้องขบคิดด้วยเช่นกัน ว่าเพราะเหตุใด แรงงานต่างด้าวที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องถูกคนไทย บางคนกระทำย่ำยีไม่แตกต่างจากประเทศต้นทางของเขาที่ปกครอง ด้วยรัฐบาลทหารเผด็จการ