กว่าจะเป็นสาละวินโพสต์ : 8 ปีของการเดินทาง ท่ามกลางม่านหมอก

โดย ธันวา สิริเมธี

ลืมตาดูโลก
เป็นเวลานานถึงแปดปีแล้วที่สาละวินโพสต์ได้ถือกำเนิดขึ้นบน โลกใบนี้ ผู้เขียนในฐานะบรรณาธิการตั้งแต่ฉบับที่หนึ่งจนถึงฉบับ ปัจจุบันจึงขออนุญาตเป็นผู้ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวหลายๆ เรื่อง เกี่ยวกับการทำงานของพวกเราตลอดระยะเวลาแปดปีที่ผ่านมา เพื่อให้คุณผู้อ่านรู้จักสาละวินโพสต์มากยิ่งขึ้น


ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2545 ผู้เขียนเพิ่งเรียนจบปริญญาโทจาก คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อ การทำวิทยานิพนธ์คือ “กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของชาวไทยใหญ่ ชายแดนไทย-พม่า : กรณีศึกษาหมู่บ้านเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่” การทำวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ทำให้ได้รู้จักกับกลุ่มข่าว ของชาวไทยใหญ่ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ในเวลานั้น  เมืองไทยยังไม่มีสื่อภาษาไทยที่เผยแพร่สถานการณ์ประเทศพม่าอย่างต่อเนื่อง สื่อกระแสหลักที่มีอยู่ในท้องตลาดส่วนใหญ่นำเสนอเรื่องราว เกี่ยวกับประเทศพม่าเฉพาะในแง่มุมเชิงลบ เต็มไปด้วยอคติ และขาด ความต่อเนื่องในการติดตามสถานการณ์พม่าซึ่งค่อนข้างมีความ ซับซ้อน ทางสำนักข่าวไทยใหญ่จึงชักชวนให้ร่วมทำงานเผยแพร่ข่าว เกี่ยวกับประเทศพม่าเป็นภาษาไทย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากแหล่งทุนต่างประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา โดยใช้ชื่อภาษาไทยว่า “ศูนย์ข่าวสาละวิน” ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสำนักข่าวไทยใหญ่เป็น กลุ่มแรกในการเริ่มต้นทำงาน และในเวลาต่อมาได้ขยายความร่วมมือ ไปยังสำนักข่าวกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วทุกกลุ่มจากประเทศพม่า

ในขวบปีแรกของศูนย์ข่าวสาละวินได้ทำงานแปลข่าวภาษาไทยให้กับสำนักข่าวไทยใหญ่ซึ่งใช้ชื่อว่า “สำนักข่าวเชื่อม” มีการส่งข่าว สถานการณ์ประเทศพม่าให้กับผู้อ่านทางอีเมล์ และในปีเดียวกัน นั้นเองที่สาละวินโพสต์ได้ถือกำเนิดขึ้นในรูปแบบจดหมายข่าวสีขาว-ดำ ขนาด 8 หน้า เพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ไทยที่ปฏิบัติงานอยู่ตามแนวชายแดน ตะวันตกได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศพม่า ซึ่ง จะนำไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้น

ต่อมาสาละวินโพสต์ก็เริ่มขยายกลุ่มคนอ่านจากเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานตามแนวชายแดนสู่กลุ่มอาจารย์ นักศึกษา และประชาชน ทั่วไป โดยเริ่มวางจำหน่ายและรับสมัครสมาชิก รวมทั้งมีเว็บไซต์ สำหรับการค้นหาข้อมูลย้อนหลังและการติดตามข่าวสารทาง www.salweennews.org ตลอดระยะเวลาแปดปีที่ผ่านมา สาละวินโพสต์เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งจากการเผยแพร่เรื่องราวของสาละวินโพสต์บน พื้นที่สื่อกระแสหลัก อาทิ หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ รายวัน  นิตยสารมติชนรายสัปดาห์  นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ นิตยสาร ELLE   นิตยสาร Secret  นิตยสารลิซ่า  เป็นต้น รวมถึงการบอกเล่าปากต่อปาก  ทำให้วันนี้สาละวินโพสต์ได้ทำหน้าที่เป็นสื่อทางเลือกที่นำเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศพม่าไปสู่สังคมไทยได้กว้างขวางขึ้น  

แนวคิดในการทำงานของสาละวินโพสต์เกิดมาจากคำถามที่ว่า เพราะเหตุใดคนไทยจึงมีอคติต่อประชาชนจากประเทศพม่าและ เราจะมีส่วนช่วยลดอคติเหล่านี้ได้อย่างไร  เพราะอคตินั้นเปรียบเสมือน “ม่านบังตา” ที่ทำให้ประชาชนไทยและประชาชนจากพม่ามองไม่เห็นหัวใจของกันและกัน ทั้งๆ ที่เราต่างเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อความรู้สึก รู้ร้อนรู้หนาวไม่แตกต่างกัน และที่สำคัญ เราจะต้องเป็นประเทศ เพื่อนบ้านกันไปตราบจนรุ่นลูกรุ่นหลาน หากคนรุ่นเราเกลียดชังกัน ลูกหลานของเราก็ไม่ต่างกัน ทั้งๆ ที่ความเกลียดชังไม่ได้นำมาซึ่งความสุขใดๆ ตรงกันข้าม หากคนรุ่นเรารักกันเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน รุ่นลูกรุ่นหลานของเราก็คงจะเป็นเพื่อนบ้านที่ช่วยดูแลกันและกันตลอดไป  หากต้องเลือกระหว่าง “ความเกลียดชัง” และ “ความรัก” แล้ว เรา ควรจะเลือกอะไรที่จะทำให้เรามีความสุข

คำตอบของสาละวินโพสต์คือ เราเลือกเดินบนถนนแห่งความรัก มองเห็นหัวใจของกันและกัน เพราะมันทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยเฉพาะในโลกอนาคตซึ่งเส้นเขตแดนประเทศกำลังเป็นเรื่องไร้ ความหมาย

กว่าจะเป็นสาละวินโพสต์ 

เนื่องจากสาละวินโพสต์เป็นสื่อภาษาไทยที่นำเสนอเรื่องราว ข้ามพรมแดน การทำงานของเราจึงไม่ง่ายนัก เพราะต้องอาศัยความ พร้อมในหลายๆ ปัจจัย  ปัจจัยแรก คือ แหล่งทุนสนับสนุน หลายคน อาจไม่รู้ว่าการเดินทางเข้าไปในประเทศพม่าบางพื้นที่มีค่าใช้จ่ายสูง พอๆ กับการเดินทางไปยังประเทศยุโรปเลยทีเดียว แต่คุณภาพการ เดินทางทั้งเรื่องที่พัก อาหารการกิน และพาหนะอาจเทียบเท่ากับการ เดินทางในประเทศไทยยุค 40-50 ปีก่อน ยกตัวอย่างเช่น การเดินทาง ไปในเมืองที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าชม นักท่องเที่ยวจะต้องเสีย ค่าเข้าเมือง และค่าเข้าชมสถานที่แต่ละแห่งแบบยิบย่อย รวมถึงค่าผ่านทางสำหรับกล้องถ่ายรูป (ทั้งๆ ที่เป็นกล้องของตนเอง) ส่วนโรงแรมก็ ไม่ได้มีให้พักแบบเสรี แต่ต้องเป็นโรงแรมที่ผ่านการจดทะเบียนให้นัก ท่องเที่ยวเข้าพัก บางโรงแรมอาจอนุญาตให้นักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจ เฉพาะบางสัญชาติเข้าพัก เช่น โรงแรมในเมืองล่าเสี้ยว ซึ่งอยู่ใกล้กับ ชายแดนจีน บางโรงแรมอนุญาตให้ชาวจีนเข้าพักเท่านั้น  ส่วนโรงแรมที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าพักก็มักจะมีราคาสูงประมาณ 20 เหรียญต่อคืนขึ้นไป การเดินทางในพม่า 1 สัปดาห์หากรวมค่าตั๋ว เครื่องบินและค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วต้องใช้เงินอย่างน้อย 20,000 บาท  (ราคานี้อาจเดินทางได้เฉพาะในเขตย่างกุ้งหรือมัณฑเลย์) หากเดินทาง ไปไกลถึงรัฐคะฉิ่น รัฐชิน หรือรัฐอารกัน ราคาอาจสูงถึง 40,000 – 50,000 บาทต่อคน ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่ช่างภาพชาวญี่ปุ่นซึ่งเขียนเรื่อง “การเดินทางตามหาคนตัวจิ๋วในรัฐชิน” ใช้เวลา 1 เดือนเสียค่าใช้จ่าย ประมาณ 200,000 บาท ราคานี้อาจทำให้หลายคนเลือกเดินทางไป ยุโรปมากกว่าพม่า แต่สำหรับคนทำงานเรื่องพม่าแล้ว เราจำเป็นต้อง จ่ายเพื่อให้ได้ข้อมูลและภาพถ่ายหายากกลับมา  

ปัจจัยที่สอง คือ ทีมงาน ซึ่งต้องมีคุณสมบัติหลากหลาย  คุณสมบัติอย่างแรก คือ ความสามารถทางภาษา บุคลากรของเราต้องใช้ ภาษาได้อย่างน้อยสองภาษา คือ ภาษาไทยสำหรับการเขียนงานลง สาละวินโพสต์  ภาษาอังกฤษหรือภาษาพม่าสำหรับการสัมภาษณ์และ เก็บข้อมูล คุณสมบัติอย่างที่สอง คือ ความสามารถในการแปลหรือ เขียนภาษาไทย และคุณสมบัติสุดท้าย คือ ความกล้าหาญและ ความรอบคอบ  คุณสมบัติสองอย่างนี้ต้องไปด้วยกันเพราะหากมีความกล้าหาญแต่ไม่รอบคอบก็อาจถูกจับติดคุกในพม่าได้ หนึ่งในทีมงานของ เราเคยประสบปัญหานี้จนทำให้ปัจจุบันไม่สามารถทำงานในประเด็น พม่าอีก จากคุณสมบัติทั้งสามข้อที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การคัดสรรทีมงาน ของเราไม่ใช่เรื่องง่ายนัก สาละวินโพสต์จึงเป็นองค์กรเล็กๆ ที่เริ่มจากคน ทำงานเพียงหนึ่งคนในปีแรก และปัจจุบันมีทีมงานทั้งหมด 5 คนเท่านั้น ที่ผลิตหนังสือให้คุณผู้อ่านทุกๆ สองเดือน

ปัจจัยสุดท้าย คือ เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพม่า  เนื่องจากเราต้องเดินทางเก็บข้อมูลในประเทศพม่า การสร้างเครือข่ายกับประชาชนในพื้นที่ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการเก็บข้อมูล เพราะนั่นหมายถึงความปลอดภัยของคนทำงานและการได้ข้อมูลหรือ ภาพถ่ายกลับมาตีพิมพ์ หากเราไม่มีเครือข่ายเหล่านี้การเก็บข้อมูลของเราก็จะทำได้โดยผิวเผินและไม่สามารถเข้าถึงบางพื้นที่ได้  

จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า กว่าจะเป็นสาละวิน โพสต์ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหากขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไป สาละวินโพสต์ก็คงจะไม่ได้ก้าวเดินมาถึงวันนี้


ถนนในม่านหมอก 


ตลอดระยะเวลาแปดปีของการเดินทางบนถนนสายนี้ สาละวิน โพสต์เริ่มต้นออกเดินทางภายใต้ม่านหมอกอันขุ่นมัวของอคติในใจคน ไทยที่มีต่อประชาชนจากประเทศพม่า  เรามองไม่เห็นทางข้างหน้าว่าจะ ก้าวเดินไปในทิศทางใด เพราะคนส่วนใหญ่มักตั้งคำถามว่า  “ทำไมต้อง ทำสื่อที่เห็นอกเห็นใจคนที่เคยเผาบ้านเผาเมืองเรา” บางคนที่ได้เห็น สาละวินโพสต์วิจารณ์ว่า “สื่อที่มีแต่เรื่องพม่า ใครจะอ่าน เพราะพม่า มีแต่ปัญหาเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง”  

แม้ว่าคำถามส่วนใหญ่ที่เราเจอมักทำให้เรารู้สึกเหมือนก้าวเดินอยู่บนถนนที่มืดมิด มองไม่เห็นปลายทางข้างหน้าแต่ด้วยความเชื่อ ลึกๆ ในใจว่า “อคติย่อมมีวันเปลี่ยนแปลงได้” และหากเราไม่เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ อีกสิบปีข้างหน้าเราก็ต้องยังยืนอยู่ที่เดิม ด้วยเหตุนี้ เราจึงค่อยๆ หาทางพัฒนาสาละวินโพสต์ให้มีเนื้อหาหลากหลาย เข้าถึงคนอ่านให้มากขึ้นเรื่อยๆ  

หากเปรียบเทียบช่วงปีแรกของสาละวินโพสต์ บนถนนสายนี้ อาจมีเพียงประกายไม้ขีดไฟก้านเล็กๆ ที่ส่องสว่างขึ้นมาชั่วครู่ให้เราได้ เห็นหนทางใกล้ๆ หลังจากนั้นในปีต่อมา เทียนเล่มน้อยก็ค่อยๆ ให้ แสงสว่างมองเห็นทางไกลออกไปอีกนิด และจนถึงวันนี้แสงจากเทียน เล่มน้อยก็ไม่ได้มีเพียงเล่มเดียว แต่มีแสงจากเทียนหลายเล่มมารวมกันจนทำให้เรามองเห็นทางข้างหน้าที่ชัดเจนและยาวไกลมากขึ้น เราเชื่อว่า ตลอดแปดปีที่ผ่านมา แสงสว่างได้ส่องผ่านม่านหมอกแห่งอคติในใจคนไทยไปได้จำนวนไม่น้อย แม้ว่าจะยังไม่ใช่คนไทยส่วนใหญ่ แต่เราก็ดีใจที่เราไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิม....ที่ที่เต็มไปด้วยม่านหมอกแห่งอคติ

อันที่จริง  สาละวินโพสต์ไม่ใช่สื่อแรกและสื่อเดียวในเมืองไทยที่นำเสนอเรื่องพม่าโดยเฉพาะ แต่เรายังมีเพื่อนร่วมเดินบนถนนสาย เดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน อาทิ นิตยสารเพื่อนไร้พรมแดน ของมูลนิธิ เพื่อนไร้พรมแดน จดหมายข่าวสาละวินของกรรมการรณรงค์เพื่อ ประชาธิปไตยในพม่า และ ศูนย์ข่าวข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นศูนย์ข่าว ออนไลน์ภาคภาษาไทยจากความร่วมมือขององค์กรที่ทำงานด้าน แรงงานไทย เป็นต้น ด้วยการทำงานของเพื่อนๆ ในแวดวงเดียวกันนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันคนไทยสามารถรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับประเทศพม่าในมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น  ด้วยเพราะสาละวินโพสต์เพียงสื่อเดียวคงไม่สามารถลบล้างอคติต่อคนพม่าในใจของคนไทยไปได้แน่ๆ  เราจึงหวังว่า เราจะมีเพื่อนร่วมเดินทางจุดเทียนเล่มเล็กๆ ร่วมกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดย เฉพาะสื่อกระแสหลักที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมากที่สุดจะหันมาร่วมมือกับเราในการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศพม่าและเพื่อนบ้านใน แง่มุมของ “ความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์” มากยิ่งขึ้น เราเชื่อว่า ในอนาคต ประชาชนจากสองประเทศจะมองเห็นกันและกันในแง่มุมที่เปลี่ยนไป

“ทำไมต้องลดอคติที่มีต่อคนพม่า ?” นี่เป็นคำถามที่คน ทำงานสาละวินโพสต์ต้องตอบมาตลอดเวลาแปดปีที่ผ่านมา หากต้อง ตอบอีกครั้งในที่นี้ เราก็ขอยืนยันคำตอบเดิม คือ อคติไม่ได้ให้สิ่งที่ดีกับใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งผู้มีอคติในใจและผู้ถูกกระทำเพราะอคติ เพราะอคติ จะนำไปสู่ความเกลียดชัง และความเกลียดชังนำไปสู่ความรุนแรง ตรงกันข้าม ความเห็นอกเห็นใจจะนำไปสู่ความรักในเพื่อนมนุษย์  และความรักในเพื่อนมนุษย์จะนำไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริง  

ยกตัวอย่างง่ายๆ หากบ้านไหนมีแรงงานชาวพม่าอยู่ในบ้าน โดยธรรมชาติของคนเรา หากรู้สึกมีอคติกับใคร เราก็มักปฏิบัติต่อบุคคล นั้นในเชิงลบโดยไม่รู้ตัว เช่น แสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยาม ใช้คำพูดไม่สุภาพ ฯลฯ  คนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็ย่อมรู้สึกไม่พอใจอย่างแน่นอน ดังนั้น หากนายจ้างชาวไทยปฏิบัติต่อลูกจ้างชาวพม่าด้วยอคติ พวกเขาก็จะ ทำงานอย่างไม่มีความสุขและเก็บซ่อนความรู้สึกไม่พอใจไว้ ซึ่งหาก ถูกกดขี่มากขึ้นเรื่อยๆ ความไม่พอใจก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำ รุนแรงที่นายจ้างอาจคาดไม่ถึง ตรงกันข้าม หากนายจ้างปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ ถามไถ่ทุกข์สุขหรือเหตุผลที่พวกเขาต้อง จากบ้านจากเมืองมา พวกเขาก็จะรู้สึกดีและทำงานให้คุณด้วยความสุขใจ คุณจะอยู่ในบ้านที่มีความปลอดภัย ไม่ต่างกับเวลาที่คุณรักใครแล้ว อยากดูแลคนที่คุณรัก

ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า สาละวินโพสต์มองประชาชนจากพม่าทุกคนเป็นคนดี ราวกับ “เทวดา” ไม่มีความชั่วร้ายใดๆ   ตรงกันข้าม เรากลับมองว่า ประชาชนจากประเทศพม่าเป็น “มนุษย์” ที่มีทั้งดีและไม่ดี เราอยากให้สังคมไทยโดยเฉพาะสื่อกระแสหลักมอง เห็นทั้ง “ความดี” และ “ความไม่ดี” ไม่ใช่มุ่งนำเสนอ “ความไม่ดี” เพียง ด้านเดียว   ในกรณีที่ประชาชนพม่ากระทำความผิด  สื่อควรนำเสนอตาม “ข้อเท็จจริง” แบบตรงไปตรงมา  ไม่ใช้คำหวือหวาเพื่อยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง เช่น “โจรพม่ายกทัพบุกรีสอร์ท”   “ลูกจ้างพม่าเหี้ยมฆ่านายจ้าง” เป็นต้น และหากนายจ้างชาวไทยหรือคนไทยกระทำความผิดต่อคน พม่าก็นำเสนอให้เกิดความสมดุลของข่าวสารข้อมูลเช่นกัน และในกรณีที่ประชาชนพม่ากระทำความดี สื่อก็ควรนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ด้วย เช่นกัน เช่น กรณีแรงงานพม่าบริจาคเลือดในวันแม่แห่งชาติ ผู้ลี้ภัย ร่วมกันปลูกต้นไม้ หรือแรงงานกับนายจ้างปฏิบัติดีต่อกัน เป็นต้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรามักได้รับคำวิจารณ์ว่า เราเลือกนำเสนอ เฉพาะแง่มุมที่ดีของคนจากประเทศพม่ามากเกินไปจนมองไม่เห็นความเลวร้ายของพวกเขาบ้างเลย เหตุผลที่เราเลือกนำเสนอแง่มุมที่ดีไม่ใช่ เพราะเรา “มองไม่เห็นความเลวร้าย” แต่เพราะเรามองเห็นว่ามันมี มากมายเกินไปแล้วในสื่อกระแสหลักต่างหาก หากสาละวินโพสต์เป็น อีกสื่อหนึ่งที่นำเสนอความเลวร้ายของคนจากพม่า นั่นหมายความว่า เราก็กำลังเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มอคติต่อคนพม่าในสังคมไทย

สิ่งที่สาละวินโพสต์พยายามทำตลอดเวลาที่ผ่านมา คือ “การถ่วงดุล” ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับประเทศพม่าระหว่างตลาดสื่อ กระแสหลักและสื่อทางเลือกให้สมดุลกันมากขึ้น กล่าวคือ ขณะที่สื่อ กระแสหลักเลือกนำเสนอเรื่องเชิงลบมากกว่าเชิงบวก  สาละวินโพสต์ก็ขอเลือกนำเสนอเรื่องดีๆ มากกว่าเชิงลบ โดยที่เราไม่ได้เป็น “ผู้ปรุงแต่ง” เรื่องราวดีๆ เหล่านั้นขึ้นมาก เพียงแต่เราเลือกหยิบเรื่องราวดีๆ ที่สื่อ กระแสหลัก “มองข้าม” ไปเท่านั้นเอง และนี่คือจุดยืนของเราตลอด แปดปีที่ผ่านมา

จนถึงวันนี้....หากเปรียบเทียบการเดินทางของสาละวินโพสต์ บนถนนสายหนึ่ง  เรายังคงอยู่ระหว่างการเดินทางที่มองเห็นปลายทางอยู่อีกไกลลิบลับ เพราะการเปลี่ยนแปลงอคติ....ไม่ว่าเรื่องอะไร ล้วน ต้องใช้เวลา บางเรื่องอาจไม่นาน แต่บางเรื่องอาจชั่วชีวิตคนรุ่นหนึ่ง หรืออีกหลายรุ่นเลยทีเดียว ประชาชนไทยถูกต้องย้ำอคติความเกลียด ชังต่อประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์จากประเทศพม่ามายาวนาน  การ เดินทางของสาละวินโพสต์จึงยังอีกยาวไกลเพื่อไปให้ถึงปลายทาง และการเดินทางครั้งนี้จะเร็วขึ้นหากเราได้รับการสนับสนุนจากคนอ่าน ขยายวงกว้างมากขึ้น และการแบ่งปันพื้นที่ขายในร้านหนังสือที่มีสาขามากมายให้คนอ่านได้มองเห็นและเลือกซื้อได้ง่าย เพื่อที่เราจะได้เป็น ส่วนหนึ่งของการส่งผ่านความเข้าใจต่อประเทศเพื่อนบ้านไปสู่สังคม ไทยมากยิ่งขึ้น  

หากทุกฝ่ายช่วยกันจุดเทียมเล่มน้อยให้สุกสว่าง เราเชื่อว่า การเดินทางของสาละวินโพสต์เพื่อแบ่งปันความเข้าใจให้กับ ประชาชนจากพม่าก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางในเร็ววัน