เยือนเทศกาลมะหน่าว ก่อนจะเหลือเพียงความทรงจำ

โดย โม๋หอม

ซากุระทาวเวอร์ ย่างกุ้ง ประเทศพม่า
ธนบัตรใบละ 100 ดอลลาร์ จำนวน 3 ฉบับ เทียบเท่าเงินไทยมูลค่าเหยียบหมื่นถูกหยิบยื่น เพื่อแลกกับตั๋วโดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียว 2 ที่นั่ง จากย่างกุ้งไปยังมิตจีนา เมืองหลวงของรัฐคะฉิ่น เพื่อร่วมงานเทศกาลเต้นมะหน่าว งานเต้นรำประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวคะฉิ่น แม้สนนราคา จะค่อนข้างแพง และต้องใช้เวลาจองล่วงหน้านานนับเดือน แต่ด้วยข่าวลือที่หนาหูในกลุ่มเพื่อน คะฉิ่นว่า ปีนี้อาจจะจัดขึ้นเป็นปีสุดท้าย ซึ่งได้เริ่มขึ้นแล้วในขณะนี้และจะสิ้นสุดลงในอีก 2 วัน ข้างหน้า หากเดินทางด้วยวิธีอื่นอาจสายเกินไป จึงทำให้เรากัดฟันจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินที่ ราคาแพงกว่าบินไปกลับกรุงเทพฯ-ฮ่องกงเพื่อไม่ให้พลาดงานนี้

มิตจีนา รัฐคะฉิ่น
หลังจากเดินทางมาทั้งวัน เราก็มาถึงโรงแรมที่จองล่วงหน้าไว้ใน ช่วงบ่ายแก่ๆ ถึงแดดจะร้อนแต่เราก็ต้องหนาวกับราคาห้องพักคืนละ 40 ดอลลาร์ (1,320 บาท) แม้จะเป็นราคามาตรฐานของโรงแรมในมิตจีนา ช่วงเทศกาล แต่สภาพห้องนั้น บอกได้คำเดียวว่าค่อนข้างห่างไกลจาก มาตรฐานโรงแรมราคาเดียวกันในเมืองไทยอยู่มากทีเดียว 

เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า อากาศเริ่มเย็นลงทีละนิดจนหนาวจัด บนท้องถนนในเมืองเต็มไปด้วยขบวนมอเตอร์ไซด์และสามล้อรับจ้าง นับร้อยที่ทยอยพาผู้โดยสาร ทั้งหนุ่มสาว เฒ่าแก่ ลูกเด็กเล็กแดงจาก ทั่วสารทิศ แล่นฝ่าลมหนาวไปยังสถานที่จัดงานเต้นมะหน่าวในช่วง กลางคืน 

ยานพาหนะถูกกันไว้จอดในสถานที่ที่จัดไว้ก่อนถึงประตูทางเข้า เราจึงต้องเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปที่งาน ทันทีที่ก้าวเข้าประตูงานก็จะมอง เห็น “เสามะหน่าว” ที่มีลวดลายทรงเรขาคณิตหลากสี ตั้งตระหง่าน โดดเด่นอยู่บนลานคอนกรีตรูปทรงกลมความกว้างกว่า 50 เมตร ซึ่ง ประกอบด้วยเสาจำนวน 12 ต้น โดยเสาหลักจำนวน 6 ต้นวางเรียงหน้า กระดานทิ้งช่วงห่างกันพอประมาณ  เสาหลักต้นแรกและต้นสุดท้ายจะมีเสาอีก 2 ต้นไขว้กันอยู่ด้านหลัง ส่วนปลายของเสาเหล่านั้นจะมีทั้งทรง กลมนูนและเว้าโค้ง ซึ่งปลายแบบกลมหมายถึงเพศชาย ส่วนปลายเสาที่ เว้าโค้งหมายถึงเพศหญิง ส่วนเสาที่เหลืออีก 2 ต้นพาดขวางอยู่ด้านหน้า ซึ่งเสาต้นหนึ่งจะมีลักษณะคล้ายนกเงือกที่ชาวคะฉิ่นนับถือ เนื่องจากเป็น นกที่มีความอดทนและซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียว  

เสามะหน่าวเป็นทั้งสัญลักษณ์ของชาวคะฉิ่นและหัวใจสำคัญ ของเทศกาลเต้นมะหน่าว ซึ่งในตำนานของบรรพบุรุษของชาวคะฉิ่นกล่าว ไว้ว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น การเต้นมะหน่าวเกิดขึ้นในโลกที่ปกครองด้วย สุริยเทพ โดยราชาแห่งนกและราชานกยูงได้เข้าร่วมเต้นรำด้วย และเมื่อ นกยูงลงมายังพื้นโลกก็ได้สอนชาวคะฉิ่นให้เต้นมะหน่าว นับจากนั้นมา ชาวคะฉิ่นจึงมีการเต้นรอบเสามะหน่าวเพื่อสรรเสริญสุริยเทพที่พวกเขา นับถือ โดยจะมีการเต้นเฉพาะโอกาสสำคัญเท่านั้น ซึ่งได้แก่ งานแต่งงาน งานศพ การประกาศสงคราม งานฉลองชัยชนะ งานสันติภาพ และความ มั่งคั่ง ซึ่งในงานต่างๆ เหล่านี้จะเรียกการเต้นมะหน่าวในชื่อต่างกันไป และในงานที่มิตจีนาที่เรากำลังยืนอยู่ เป็นช่วงของการเฉลิมฉลอง วันสถาปนารัฐคะฉิ่น หลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ซึ่งจะตรงกับ วันที่ 10 มกราคมของทุกปี แต่ระยะหลัง การเฉลิมฉลองจะเน้นไปที่ การแสดงออกถึงวัฒนธรรมมากกว่า  

ในปีนี้การจัดงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ไปจนถึงวันที่ 12 มกราคม  โดย มีการเฉลิมฉลองทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน โดยในช่วงกลางวันจะมีการละเล่นและแข่งกีฬาโดยมีการเต้นรำมะหน่าวเป็นหลัก ส่วนกลางคืน มีการแสดงบนเวทีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเต้นรำของชนเผ่าต่างๆ การแสดงดนตรี รวมถึงการประกวดสาว “มิสคะฉิ่น” และ “ชายงาม” ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อไม่นานมานี้  

ลานเสามะหน่าวในขณะนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยเวทีการแสดงถึง 4 เวที และเต็นท์ขายของจำนวนมาก  สินค้าบางชนิดอย่างกาแฟและน้ำยา ล้างจานถือโอกาสออกร้านโปรโมทสินค้า โดยมีพริตตี้สาวคอยแนะนำอยู่ ประจำซุ้มของตัวเอง กาแฟชื่อดังยี่ห้อหนึ่งลงทุนถึงขนาดยิงแสงเลเซอร์ ข้อความภาษาพม่าไปบนท้องฟ้าเป็นการโฆษณาเลยก็มี ผู้คนในงานซึ่ง กะประมาณจากสายตาแล้วเหยียบหมื่น บ้างก็แต่งตัวแบบสมัยใหม่ เทรนด์เกาหลี บางส่วนก็สวมผ้าซิ่นชุดประจำเผ่า ส่วนมากจะไปรวมตัว กันอยู่ที่หน้าเวทีเพื่อชมการแสดง ขณะที่หลายคนยืนเต๊ะท่าถ่ายรูปอยู่ หน้าเสามะหน่าวเป็นที่ระลึก 

นอกจากความบันเทิงแล้ว บริเวณงานยังมีนิทรรศการวัฒนธรรมชนเผ่าให้ได้ชมและศึกษากันด้วย ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้า เครื่องมือในการดำรงชีวิต และเครื่องดนตรีโบราณแบบต่างๆ ซึ่งมีผู้สนใจเข้าชมจำนวนมากไม่แพ้ เวทีการแสดง แม้ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว แต่ในอาคารนิทรรศการคนแน่น เอี้ยดเบียดเสียดกันจนร้อน ด้านหน้าอาคารนิทรรศการมีรูปถ่ายของผู้นำ สูงสุดของรัฐบาลทหารพม่าและคณะตั้งตระหง่านโดดเด่น ดูเหมือน รัฐบาลพม่าจะส่งเสริมวัฒนธรรมชนเผ่าเป็นอย่างดี แถมอนุญาตให้ จัดงานได้อย่างใหญ่โต แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไฉนจึงมีการห้ามชน กลุ่มน้อยไม่ให้สอนภาษาของตัวเองอยู่ทั่วประเทศ เมื่อเพื่อนชาวคะฉิ่น บอกว่างานนี้มีแขกจากสถานทูตต่างประเทศมาเที่ยวด้วย จึงถึงบางอ้อว่า เพราะเหตุใดรูปผู้นำจึงติดหราอยู่หน้างาน 

เราเดินชมงานกันไม่นานนักก็สู้ความง่วงและความหนาวเย็น ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ไหว จึงต้องกลับไปพักผ่อนเก็บแรงไว้ สำหรับเที่ยวงานต่อในพรุ่งนี้เช้า เราเดินผ่านซุ้มประชาสัมพันธ์ที่ดูจะ วุ่นวายอยู่พอสมควรเพราะคนกำลังรุมล้อม โดยแต่ละคนจะเขียนชื่อ เพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ที่พลัดหลงใส่กระดาษ ต่อคิวยื่นให้เจ้าหน้าที่ประกาศ ตามหา ซึ่งขณะนี้โต๊ะประชาสัมพันธ์ก็เต็มไปด้วยกองกระดาษขาวโพลน ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ยินเสียงประกาศตามหาคนหายพร้อมๆ กับเสียงเพลง จาก 4 เวทีที่ดังแข่งกันตลอดทั้งคืน  

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ทั่วทุกแห่งในมิตจีนาถูกปกคลุมไปด้วยไอ หมอกที่เย็นยะเยือก อากาศที่หนาวเหน็บทำให้ทุกคนต้องสวมเสื้อ กันหนาวที่หนาเป็นพิเศษ แม้บางคนจะสวมหมวกและถุงมือไหมพรม แต่ส่วนใหญ่กลับเดินเท้าเปลือยเปล่าคีบรองเท้าแตะกันหน้าตาเฉย  

เราไปถึงบริเวณงานกันตั้งแต่เช้าตรู่ หนุ่มสาวในชุดประจำเผ่า เริ่มทยอยเข้ามาในงานกันเป็นกลุ่ม แต่ที่โดดเด่นเตะตาที่สุดคือชาย 6 คน ซึ่งมีทั้งหนุ่มๆ และวัยกลางคน แต่ละคนแต่งกายด้วยเสื้อคลุมมันวาวตัวยาวหลากสี สวมหมวกที่ประดับด้วยขนนกยูงสวยงาม กำลังถ่ายรูปร่วมกับกลุ่มหนุ่มสาวที่แต่งกายด้วยชุดชนเผ่าคะฉิ่นอยู่บริเวณด้านหน้า ลานเสามะหน่าว  

เครื่องแต่งกายของพวกเขาถูกจำลองมาจากนกยูงในตำนาน ซึ่ง เป็นผู้ที่สอนให้ชาวคะฉิ่นรู้จักการเต้นมะหน่าว  ผู้ที่แต่งชุดนกยูงได้จะต้อง มีประสบการณ์ในการเต้นมะหน่าว เพราะจะต้องเป็นผู้นำคนนับร้อยใน การเต้นครั้งนี้ แต่สิ่งสำคัญซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ คือ ดาบสำหรับ ผู้ชายที่จะต้องพกติดกายไว้ตลอดเวลา ซึ่งดาบนับว่ามีความสำคัญกับ ชาวคะฉิ่นมาก เพราะในสมัยโบราณกิจกรรมทุกอย่างในการดำรงชีวิต ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ดาบเป็นอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว สร้างบ้านเรือน และยังถือเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะอีกด้วย 

ส่วนผู้หญิงมักจะถือผ้าเช็ดหน้าเวลาเต้น ทำให้นักธุรกิจหัวใส บางรายเกิดไอเดียเก๋ แจกผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์ชื่อสินค้าและโลโก้ ให้สาวๆ ที่เข้าไปเต้นถือเพื่อเป็นการโฆษณา  

เมื่อใกล้ถึงเวลา ผู้เต้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 แถว แต่ละแถว จะมีผู้นำเต้นแถวละ 2 คน และเมื่อทุกอย่างพร้อม เสียงฆ้องกลองจาก วงดนตรีที่ตั้งอยู่บริเวณฐานของเสามะหน่าวขนาดยักษ์ และเสียงแตรจากเครื่องเป่าโบราณที่อยู่บนหอคอยข้างๆ เสามะหน่าวก็เริ่มบรรเลง ผู้นำย่ำเท้า “ซ้าย ขวา ซ้าย” อยู่กับที่ ย่อตัวเล็กน้อย และส่ายสะโพกนิดๆ พองามตามจังหวะดนตรี ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในลานทรงกลมพร้อมกับ ชูดาบสีเงินวาววับไว้ตลอดเวลา 

เมื่อเดินเข้าไปถึงบริเวณลาน สองแถวแรกแยกตัวออกไปทางซ้าย ส่วนสองแถวที่เหลือแยกไปทางขวา เลาะไปตามขอบลาน เมื่อทั้งสอง แถวเดินมาบรรจบกัน ผู้นำที่อยู่หัวแถวจะใช้ดาบแตะกัน ก่อนที่ทั้ง 4 แถว จะเดินตรงเข้าไปยังเสามะหน่าวที่อยู่กลางลานและเริ่มแปรขบวนเป็น รูปต่างๆ ทั้งวงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม เหมือนกับลวดลายที่แต่งแต้ม บนเสามะหน่าว  

เมื่อเวลาล่วงเลยไป แสงแดดเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกคนยังคง เต้นต่อไปอย่างสนุกสนาน ขณะที่นักร้องหญิงจะคอยเปล่งเสียง “ฮา..เล เล เล เล...” เรียกความคึกคักเป็นระยะ และเมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนจะขานรับด้วยการตะโกนว่า “ฮิ้ว...” พร้อมโบกมือหรือดาบขึ้นสูงๆ (อารมณ์เดียวกับเสียง “โห่…ฮิ้ว” เวลารำกลองยาวของไทย)  

ในปีนี้นอกจากจะมีชาวไทยใหญ่แต่งชุดชนเผ่ามาร่วมเต้นรำ ด้วยแล้ว ยังมีกลุ่มที่สวมชุดแฟนซีมาเต้นกับเขาด้วย บางกลุ่มสวมหมวก โคมไฟและถือหลอดฟลูออเรสเซ้นท์แท่งยาวแทนมีดดาบ เป็นการรณรงค์ ให้ประหยัดไฟไปในตัว ระหว่างนั้นใครอยากเข้ามาร่วมเต้นก็สามารถเดิน เข้ามาแทรกหรือต่อแถวได้ บางคนที่เข้ามาทีหลังไม่ทันได้เตรียมตัวก็หยิบ ของใกล้มือ อย่างตะเกียบ มาชูแทนดาบก็มี สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม แก่ผู้ชมกันถ้วนหน้า  

สองชั่วโมงของการแปรขบวนผ่านไป หลายคนแม้จะเริ่มเหงื่อชุ่ม เพราะความร้อน แต่รอยยิ้มยังไม่จางหาย ผู้นำเริ่มเดินแถวออกจากลาน เสามะหน่าว เมื่อคนสุดท้ายก้าวออกจากลาน การเต้นรำก็เป็นอัน สิ้นสุดลง   

เราทอดตามองลานคอนกรีตที่ว่างเปล่า แหงนมองเสา มะหน่าวที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามอยู่เบื้องหน้า และนึกถึง ข่าวลือที่ว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของงานเต้นมะหน่าว แม้อาจ ฟังดูไร้เหตุผล แต่คำพูดของเพื่อนชาวคะฉิ่นคนหนึ่งที่เคยบอกว่า “ประเทศนี้ ขนาดพระสงฆ์ยังถูกยิง อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น” ก็ทำให้ ถึงกับใจหาย เราก็ได้แต่หวังว่า ขอให้เป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีวัน เกิดขึ้นจริงทีเถอะ