โดย องค์ บรรจุน
คนไทยใหญ่หลายคนที่ได้ยินการพูดคุยของเราอยู่ตรงนั้นพูด เป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ต้องการเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ เพราะ การมีบัตรประชาชนพม่า นอกจากจะทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บช้ำที่ต้องถือ บัตรประชาชนพม่าอยู่บนแผ่นดินรัฐฉานของเขาเองแล้ว การมีบัตร ประชาชนยังทำให้รัฐบาลพม่า “ฮู่ปี่ ฮู่น้อง ฮู่เจ้อ ฮู่เคอ” ไม่สามารถทำ กิจกรรมเพื่อพี่น้องไทยใหญ่ได้อีกต่อไป แม้แต่การเข้ามาทำงานในเมือง ไทยก็จะต้องถูกตรวจสอบและติดตาม รวมทั้งญาติพี่น้องเพื่อนบ้านก็ พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
พี่จิ่งคำเกิดที่เมืองล่าเสี้ยวทางเหนือของรัฐฉาน บวชเณรตั้งแต่ อายุได้ 1 ขวบ บวชจนอายุได้ 19 ปี เกิดร้อนผ้าเหลืองอยากสึกหาลาเพศ มาใส่ชุดฆราวาส ทั้งที่พ่อแม่ไม่อยากให้สึกด้วยกลัวความเดือดร้อนที่จะ ติดตามมา ต้องถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ หากไม่เข้ากองทัพไทยใหญ่ก็อาจ ต้องเข้ากองทัพพม่า แต่ที่สุดพี่จิ่งคำก็ตัดสินใจสึกออกมา เพราะทนดูดาย สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นรายรอบหมู่บ้านไม่ได้
หลังจากออกมาจากร่มเงาพุทธศาสนาแล้ว พี่จิ่งคำได้ช่วยงาน ทางบ้านทำไร่ทำนา และเข้าเป็นอาสาสมัครทำงานกับพี่น้องร่วม อุดมการณ์ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชนชาติที่ทุกข์ยาก จนกระทั่งแต่งงานมี ครอบครัว ลูกทั้งสองคนยังไม่ทันโตช่วยตัวเองได้ พี่จิ่งคำก็ต้องออกจาก บ้านระเหเร่ร่อนหนีการติดตามของทหารพม่า ตัดสินใจเข้ามาทำงานใน เมืองไทยตั้งแต่อายุ 39 กระทั่งอยู่ในวัย 47 ปี ในวันนี้ เหตุผลที่ต้องเข้ามา ทำงานในเมืองไทยของพี่จิ่งคำก็ไม่ได้แตกต่างจากคนไทยใหญ่ คนมอญ คนปกาเกอะญอ(กะเหรี่ยง) คนทวาย คนคะฉิ่น หรือชาติพันธุ์อื่นใดใน พม่า ทุกคนมีเส้นทางชีวิตที่แทบจะทับซ้อนกันเป็นแนวเดียว นั่นคือ เจ้าหน้าที่รัฐบาลทหารพม่าเรียกเก็บภาษีชาวบ้านเกษตรกรยากจน อย่างชนิดรีดนาทาเร้น ครอบครัวที่ไม่มีจ่ายก็ต้องเอาร่างกายเข้าแลก ผู้หญิงมักถูกฉุดคร่าข่มขืน ส่วนผู้ชายก็ต้องถูกเกณฑ์แรงงานสร้างถนน ปลูกรื้อสิ่งก่อสร้าง หรือไปเป็นทหารและลูกหาบให้กับกองทัพ หากใครหนี กองทัพ บ้านเรือนไร่นาก็จะถูกทางการพม่ายึด ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วไปในประเทศพม่า รวมทั้งเมืองล่าเสี้ยว เขตรัฐฉาน บ้านเกิดของพี่จิ่งคำ
“คนในหมู่บ้านหนีออกมากันเยอะ ตอนแรกผมหนีมาอยู่ เมืองป๋อน ภาคใต้ของรัฐฉาน ส่งให้เมียกับลูกอีก 2 คน ไปอยู่ในเวียง (ตัวเมือง) กับญาติๆ... ตั้งใจไปหาที่อยู่ หางานทำให้ได้ก่อน ค่อยส่ง ข่าวให้ลูกกับเมียตามมาอยู่ด้วย จะได้ไม่ลำบาก”
เริ่มแรกพี่จิ่งคำเข้ามาอาศัยอยู่แถบชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตระเวนรับจ้างไปหลายที่แล้วแต่จะมีคนว่าจ้าง เช่น อำเภอปาย ปางมะผ้า ดอยสามสิบ ดอยไตแลง เกียงหอม เมืองแปง เป็นลูกจ้างรายวันทำสวน ทำไร่และงานรับจ้างทั่วไป เช่น ไร่ส้ม ไร่มันฝรั่ง ได้ค่าแรงพอกินพอใช้ ไปวันๆ เก็บเงินได้ก็ส่งไปให้พ่อแม่และลูกเมียได้ใช้จ่าย จนเมื่อเก็บเงินได้ ก้อนหนึ่งราวหมื่นบาทเศษจึงย้ายไปอยู่เชียงใหม่ พาลูกเมียไปอยู่ด้วยกัน ทำงานเป็นลูกจ้างเฝ้าสวนลำไย แม้จะเจอนายจ้างใจดี มีรายได้มากขึ้น แต่เมื่อญาติที่เข้าเมืองไทยมาก่อนหน้าส่งข่าวไปว่า ทางกรุงเทพฯ มีงาน เย็บผ้าได้ค่าแรงดีกว่ามาก พี่จิ่งคำและครอบครัวจึงลงมาอยู่กรุงเทพฯ กับญาติ
“ผมมาอยู่แถวคลองขวาง หนองแขมได้ 5 ปี แล้ว ที่นั่นมีญาติๆ อยู่เยอะ คนไทยใหญ่เป็นพันๆ คน... ลูกคนโตอายุ 18 เมียผมเย็บผ้า ส่วนผมทำงานเป็นรปภ. ลูกชายคนเล็กอายุ 16 ไม่ได้มากรุงเทพฯ ด้วย เขาบวชเณรอยู่ทางโน้น...”
แม้พี่จิ่งคำจะค่อนข้างโชคดีที่เข้ามาอยู่เมืองไทยอย่างไม่ต้อง ผจญชะตากรรมเลวร้ายเท่าใดนัก เพราะการบวชเรียนนานถึง 11 ปี ทำให้ มีความรู้ติดตัวไม่น้อย ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาก็สอนให้ระมัด ระวังตัว ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของใครง่ายๆ รวมทั้งยังมีบรรดาญาติๆ ที่เข้ามา ก่อนคอยช่วยเหลือแนะนำ แต่พี่จิ่งคำก็ยอมรับว่าคนไทยใหญ่รุ่นหนุ่ม รุ่นสาวที่ไม่มีญาติพี่น้องในเมืองไทยมักถูกหลอกอยู่เสมอ บางคนถูก นายจ้างเอาเปรียบค่าแรง บางคนถูกเจ้าหน้าที่รีดไถ พาไปข่มขืน บางคน ป่วยและได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง ไม่มีคนดูแลช่วยเหลือ
“ผมรู้จักมูลนิธิตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพราะมีคนรู้จักแนะนำ ให้มามูลนิธิ ผมมาทุกวันอาทิตย์ มาช่วยงานวัด ไม่มีอะไรทำ มาคุยกันยังดี ปีที่แล้วเขาเลยตั้งให้เป็นกรรมการวัด เป็นหัวหน้าสายที่ 25 หนองแขม บางบอน บางแค... คนไทยใหญ่ทุกคนจะได้รับการบอก ต่อๆ กันมาทุกคนว่า ที่กรุงเทพฯ มีมูลนิธิ มีวัดของคนไทยใหญ่ ใคร เดือดร้อนอะไรก็ให้มาขอความช่วยเหลือได้ ถ้าเดือดร้อน ถ้าไม่มี ข้าวกินก็มาขอได้จนกว่าจะมีทางไป...ตอนอยู่เชียงใหม่ผมชอบช่วยเหลืองานส่วนรวมอยู่แล้ว แม้แต่ออกวิทยุกระจายเสียงให้ ความรู้เรื่องยาเสพติดก็เคย เพราะทางชุมชนไม่อยากให้ปลูกฝิ่น ค้ายาหรือเสพยา เขาเห็นผมอยู่บ้านใกล้ขุนส่า และผมก็มีความรู้ เคยเห็นมาเยอะ เขาก็เลยให้ผมไปพูดให้คนฟัง...”
มูลนิธิที่พี่จิ่งคำพูดถึงนี้ คือ มูลนิธิพระธรรมแสง เขตบางขุนเทียน มีการประชุมคณะกรรมการแทบทุกสัปดาห์ โดยจะประชุมกันที่ศูนย์ศึกษา ปฏิบัติธรรมสาธุประดิษฐ์ เขตยานนาวา หรือที่เรียกกันในหมู่ชาวไทยใหญ่ ว่าวัดใหม่สาธุประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นสำนักสงฆ์ของชาวไทยใหญ่ ที่องค์กร ทั้งสองทำงานคู่ขนานไปด้วยกัน ก่อตั้งโดยคนไทยเชื้อสายไทยใหญ่ใน เมืองไทย แม้คนทั่วไปเรียกศูนย์ศึกษาปฏิบัติธรรมสาธุประดิษฐ์ว่าวัด เนื่องจากก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2523 มีพระสงฆ์ชาวไทยใหญ่อยู่จำพรรษา ในแต่ละปีนับ 10 รูป มีลักษณะอาคารและเครื่องใช้คล้ายวัด แต่กรรมการ สำนักสงฆ์ยืนยันที่จะคงความเป็นสำนักสงฆ์เช่นนี้ต่อไป เนื่องจากเกรงว่า เมื่อจดทะเบียนเป็นวัดแล้ว ก็จะต้องอยู่ในความปกครองดูแลของสำนัก พระพุทธศาสนาแห่งชาติ แม้จะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม แต่หากหมดคนในรุ่น ก่อตั้งนี้แล้ว เจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการธำรงความเป็นไทยใหญ่ ไว้นั้นอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงไป
“คนที่เดือดร้อนเข้ามาขอความช่วยเหลือมีหลายอย่าง อย่างคนล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ท้องเสียหนักมาก ไม่มียา กิน ไม่มีตังค์แม้แต่บาทเดียว นายจ้างเขาไล่ออกจากงาน โทรศัพท์มา หาผม ผมก็ประสานกับกรรมการมูลนิธิให้ไปช่วยพาไปโรงพยาบาล... บางรายที่อยู่ใกล้บ้าน ผมก็จะไปหาเขาถึงบ้าน ออกเงินช่วยเขา ไปก่อนแล้วมาเบิกที่มูลนิธิทีหลัง... มีรายหนึ่งอยู่แถวสุขุมวิท คนนี้ ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่ผมเจอมา เป็นผู้หญิงไทยใหญ่ ทำงานแม่บ้าน ถูกคนพาเข้าโรงแรมไปรุมข่มขืน พอดีหนีออกมาได้วิ่งไปหารปภ. ผู้หญิงให้เบอร์ผมไปกับรปภ. เขาเลยโทรมาบอกผมให้ไปช่วย ผมไปกับกรรมการมูลนิธิ พาผู้หญิงไปโรงพยาบาล ดีอยู่หน่อยที่คนร้ายคนหนึ่งเป็นไทยใหญ่ด้วยกัน รู้พี่รู้น้องอยู่แล้ว หนีไม่รอด กรรมการไปคุย เรียกค่าเสียหายไป 3 หมื่นบาท แล้วพวกเราช่วยกัน ส่งผู้หญิงกลับไปทางเชียงใหม่...”
คนไทยใหญ่หลายคนถูกนายจ้างเบี้ยวค่าแรง กรรมการมูลนิธิมีวิธีช่วยเหลือที่นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้ อยู่มาก ไม่ว่าเป็นแรงงานชาติพันธุ์ใดก็ตาม แต่หลายรายมักจะจบลงที่ การไม่กล้าเอาเรื่องเอาราว มีน้อยรายที่เข้าขอความช่วยเหลือจากองค์กร อาสาสมัคร (NGO) รวมทั้งองค์กรกลุ่มอาสาสมัครของชาติพันธุ์ตนเองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือกันในด้านมนุษยธรรม เป็นการวิ่งเต้นแจ้งความ ตั้งทนายต่อสู้คดีเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมทางกฎหมาย แม้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นธรรม และควรกระทำก็ตาม แต่กว่าที่เรื่องจะถึงที่สุด ก็มักจะกินเวลานาน ผู้เสียหายไม่อาจรับค่าชดเชยได้ทันท่วงที ที่สุด ความสัมพันธ์และความรู้สึกระหว่างนายจ้างและลูกจ้างชาติพันธุ์นั้นๆ ก็เป็นอันเลวร้ายไปจนถึงที่สุด
“การแจ้งตำรวจแม้เราจะได้รับความเป็นธรรม นายจ้าง ถูกจับถูกปรับแต่มันช้าไป บางทีเขาก็โกรธหาทางแกล้งเราได้อีก ทีหลัง... เราจะใช้วิธีให้คนไทยใหญ่ด้วยกันที่พูดภาษาไทยเก่งๆ ไป ขอพบและพูดคุยกับนายจ้างดีๆ อธิบายให้เขาฟัง บอกให้เข้าใจว่า ค่าแรงของเราสำคัญกับเรามากยังไง แม้จะดูหน่อยเดียวของเขา ก็ตาม...อย่างนายจ้างไม่จ่ายเงินให้เราสักหมื่นนึง เราก็เข้าไปอธิบาย อย่างนี้ อย่างน้อยก็จะได้กลับมาครึ่งหนึ่ง และได้กลับมาทุกครั้ง สองสามพันยังดีกว่าไม่ได้ เสร็จแล้วเราก็จำเอาไว้ บอกต่อๆ กันไป ว่า อย่าให้พวกเราไปทำงานกับนายจ้างคนนั้นอีก...”
เมื่อพี่จิ่งคำถูกถามว่า เมื่อไหร่จะกลับบ้านไปอยู่รัฐฉาน และถ้า เป็นไปได้จะทำอะไรต่อไป คำตอบที่ได้ฟังจากพี่จิ่งคำคือ “ยังไม่กลับ กลับไม่ได้ กลับไปก็ถูกจับ อยู่ทำงานเก็บเงินก่อน มีโอกาสก็ช่วยเหลือคนไต (ไทยใหญ่) ที่ได้ตุ๊ก (ทุกข์) บ้าง... ...
ความต้องการของผมก็คือ ผมไม่ต้องการให้ไต(ไทยใหญ่) กับพม่าต้องเกี่ยวข้องกัน หากดูประวัติศาสตร์ พม่านี่ไม่ดี โจมตี เครือมอญหาย พระเจ้าอยู่หัวมอญหาย เดี๋ยวนี้โจมตีไทยใหญ่ หอเชียงตุงก็หาย หอคำหาย สอนหนังสือไต(ไทยใหญ่) ก็ไม่ได้... เราไม่อยากให้เชื้อเครือเราหาย ถ้าผมเป็นเทวดา ผมอยากให้คนไทย เรารักกัน ให้คนลาว คนไทย คนไทยใหญ่ คนไทอาหม คนไทคำตี่ คนไทอัสสัม ที่อยู่ประเทศต่างๆ มารวมกัน มีพระเจ้าอยู่หัวเดียวกัน ผมไม่อยากอยู่กับพม่า”