โดย ฮานอย
ปลายฤดูหนาวในต้นเดือนกุมภาพันธ์ แดดยามเที่ยงวันบนดอยไตแลงยังคงเพิ่มอุณหภูมิ ขึ้นเรื่อยๆ แต่บริเวณลานกว้างหน้าอาคารเรียนของโรงเรียนมัธยมดอยไตแลงถูกจัดให้เป็น สนามแข่งฟุตบอลที่มีท้องฟ้ารอบล้อมเป็นฉากหลัง ข้างสนามเต็มไปด้วยเด็กๆ กำลังส่งเสียงเชียร์ เพื่อนอย่างสนุกสนาน
วันนี้โรงเรียนหยุดการเรียนการสอนชั่วคราว เพื่อให้เด็กๆ ส่วนหนึ่งซักซ้อมเตรียมการแสดงในงานวันชาติไทใหญ่ที่ใกล้ เข้ามา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเชิญให้คณะของผู้เขียนเข้าไปนั่งหลบร้อน บริเวณห้องพักครู จึงพบกับการต้อนรับจากหนุ่มน้อยหน้าตาคมเข้ม เสื้อผ้าการแต่งกายตามสมัยเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่ยิ่งทำให้แปลกใจ เมื่อเขาแนะนำตัวเองอย่างสุภาพว่าเป็นครูสอนภาษาอังกฤษประจำ โรงเรียนนี้ การสนทนาจึงเริ่มด้วยคำถามที่บ่งบอกถึงความสนใจใคร่รู้ที่มาที่ไปของการเลือกจับหนังสือ มากกว่าจะไปจับปืนเป็น ทหารเหมือนอย่างที่เด็กผู้ชายบนดอยไตแลงหลายคนเลือกทำ
จายเหลินเป็นชื่อเรียกตามภาษาไทใหญ่มีความหมาย ในภาษาไทยว่า “พระจันทร์” อายุ19 ปี เกิดในรัฐฉานและจบ การศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนในเมืองตองยี เขาอพยพมาอาศัย อยู่บนดอยไตแลงพร้อมครอบครัว เพราะเกรงกลัวถึงความไม่ปลอดภัย จากทหารพม่า ด้วยความสนใจในภาษาอังกฤษและมีผลการเรียน อยู่ในระดับดี เขาได้รับเลือกจากผู้บริหารโรงเรียนดอยไตแลงให้เข้าร่วม เรียนภาษาอังกฤษในโครงการด้านการศึกษาจากเครือข่ายปฏิบัติงานสตรี ไทใหญ่ (SWAN) ในจังหวัดเชียงใหม่อยู่สองปี นั่นคือจุดเริ่มต้นของ แรงบันดาลใจทำให้เขาอยากเป็นครู
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจนจบหลักสูตร จายเหลินเลือกที่จะ กลับไปเริ่มทำในสิ่งที่เขาตั้งใจ อันที่จริงความรู้ความสามารถที่มีก็พอจะนำพาให้เขาหางานดีๆ ส่งเงินให้ครอบครัวได ้โดยไม่ต้องกลับไปใช้ชีวิต อยู่บนดอยที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นในเมือง
จายเหลินเริ่มเข้ามารับหน้าที่ในโรงเรียนมัธยมเป็นระยะเวลาปีกว่า ในทุกๆ วันเขามีตารางการสอนที่เรียกได้ว่าแน่นเอี้ยด หน้าที่ความ รับผิดชอบไม่ต่างกับครูคนอื่นๆ ที่ต้องสอนหนังสือ ตรวจการบ้าน วางแผนการสอน ประเมินผลการเรียน ดูแลนักเรียนประจำชั้นเรียน ที่เป็นเสมือนน้องสาวและน้องชายกลุ่มใหญ่ของเขา ดูเหมือนกิจกรรม ในแต่ละวันจะทำให้ไม่มีเวลาใช้ชีวิตอย่างคนในวัยเดียวกันเขาได้รับ ค่าตอบแทนที่ได้เดือนละ 2,500 บาท ถือว่าน้อยมากและเทียบไม่ได้ กับสิ่งที่เขาทำอยู่ รวมถึงค่าใช้จ่ายในครอบครัวซึ่งเขาพอช่วยแบ่งเบา ได้บ้าง
เขาบอกถึงชีวิตของการเป็นครูว่า นอกเหนือจากการสอนก็คือ การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติม ได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ และคนที่ได้รับ ประโยชน์ก็ไม่ใช่เพียงตัวเขา แต่ยังส่งไปถึงน้องๆ นักเรียนด้วย ชีวิตการเป็น ครูในทุกวันของเขาจึงไม่น่าเบื่ออย่างที่ใครๆ คิดนึก
ผลการสอนของจายเหลินคงประเมินได้จากคะแนนของนักเรียน ที่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เด็กนักเรียนหลายคนมีผล การเรียนที่ดี และน่าจะสนับสนุนให้ได้รับการศึกษาต่อ แต่ติด ปัญหาหลายอย่าง ท้ายที่สุดเมื่อเรียนจบก็เข้าสู่ตลาดแรงงาน ราคาถูกในเมืองใหญ่และในจังหวัดใกล้เคียง ส่วนใหญ่ก็จะรับจ้าง ตามร้านอาหาร เช่น เป็นเด็กเสิร์ฟ แม่บ้าน หรือแรงงานก่อสร้าง น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ นักเรียนบางคนอาจโชคดีได้รับทุนสนับสนุนจากทางโรงเรียนให้ไป ศึกษาต่อในเมืองไทยตามที่งบประมาณและองค์ประกอบหลายด้าน จะเอื้ออำนวย ซึ่งเด็กๆ เหล่านี้ก็จะกลับมารับหน้าที่ครูส่งต่อความรู้ให้กับ น้องๆ เช่นเดียวกับจายเหลิน ผู้เขียนจึงคลายความสงสัยเมื่อพบกับ ครู สอนภาษาไทยอีกคนที่มีอายุเพียง 18 ปี ดูเหมือนว่า ทางออกเดียว ของเมล็็ดพันธ์ุน้อยๆ บนดอยไตแลงที่ไม่ต้องการเป็นแรงงานคือ การกลับมาเป็นครู
ในคาบเรียนช่วงเย็นของทุกวัน จายเหลินยังสอนดนตรีให้ กับเด็กๆ นักเรียน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีต้าร์ คีย์บอร์ด และเต้นรำ เขาเล่าว่า สนใจและชอบที่จะร้องเพลงเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก และมี โอกาสได้เรียนเปียโนเมื่อครั้งที่อยู่เชียงใหม่ อีกทั้งยังได้ร้องเพลงร่วมกับเพื่อนๆ ในอัลบัมที่จัดทำโดย SWAN นอกจากนั้นเขายังชอบแต่งเพลง เป็นงานอดิเรก ส่วนการวางตัวในฐานะของครูนั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียง ปนหัวเราะว่า บ่อยครั้งที่นักเรียนอายุเท่ากันเผลอมากอดคอหยอกล้อ ตามประสาเด็กผู้ชาย พอรู้ตัวก็กล่าวขอโทษ หรือบางทีตัวเขาเองก็ ร่วมทำกิจกรรมของโรงเรียนที่จัดขึ้นให้กับนักเรียนอย่างกลมกลืน จนแยก ไม่ออกว่าใครเป็นครูใครเป็นนักเรียน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขามอง เพียงว่า ตัวเองเป็นเสมือนพี่ชายที่มีน้องๆ ต้องดูแล ไม่ต้องเก๊กท่าเป็น ครูที่ต้องมีใครมาทำความเคารพตลอดเวลาที่พบหน้าหรือเดินผ่าน ทุกคนก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน นั่นทำให้เขาเป็นคุณครูที่เรียกได้ว่าเป็นขวัญใจคนหนึ่งของนักเรียน
แม้ว่าจายเหลินจะมีความรู้ความสามารถ และได้รับความไว้ วางใจ ให้รับผิดชอบงานในโรงเรียนหลายอย่าง แต่เขายังมีความฝันเล็กๆ ว่าหากมีโอกาสก็อยากจะลงมือทำ “อยากเรียนต่อครับ จะได้กลับมา เป็นครู คงไม่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนเพราะที่นี่คือบ้านของผม” น้ำเสียงที่ เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นจากแววตา อ่อนโยนคู่นั้น แต่ทว่าโอกาสที่จะได้ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ช่างเป็นอุปสรรคสำหรับเขาเพราะติดปัญหาเรื่องเอกสารหลายอย่าง ทั้งเอกสารด้านการศึกษา บัตรประชาชน และที่สำคัญทุนรอนเพื่อชำระ ค่าเล่าเรียนนั้น ทำให้เขาได้เพียงแค่วาดฝันไปก่อน ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่า จะกลับเข้าไปที่เมืองตองยีเพื่อทำบัตรประชาชนพม่า เพื่อที่จะได้นำมา ประกอบการทำหนังสือเดินทาง เพราะเป็นใบเบิกทางด่านแรกสำหรับ การเรียนต่อในประเทศไทย แต่การกลับไปในพื้นที่เดิมที่อพยพหนีมาทำให้เขาหวั่นเกรงต่อความไม่ปลอดภัยต่อตนเองและอาจจะส่งผลมาสู่ครอบครัวในอนาคต
บรรยากาศยามเย็นบนดอยไตแลงดูจะคึกคักไปด้วยผู้คนที่เฝ้า รอชมการแสดงดนตรีและการฟ้อนรำ ที่จัดขึ้นในโอกาสวันชาติรัฐฉาน ปีที่ 63 จายเหลินชักชวนให้ผู้มาเยือนร่วมชมการแสดงที่จัดขึ้น และใน รุ่งเช้าจะมีพิธีเดินสวนสนามของเหล่าทหาร ที่เพิ่งจบการฝึกมาหมาดๆ หากถามถึงการเป็นทหารรับใช้ชาติ เขาตอบด้วยน้ำเสียงอย่างเคร่งขรึม และจริงจังว่า การเป็นทหารนั้นเป็นเรื่องที่ลูกผู้ชายต้องทำเพื่อปกป้อง ดูแลแผ่นดินเกิด สำหรับเขาแล้วการเลือกปฏิบัติหน้าที่เป็นครู เป็นการ ทำตามเจตนารมย์ของการก่อตั้งโรงเรียนที่ว่า การศึกษาเป็นอีกแนวทาง หนึ่งของการกู้ชาติ ในทุกๆ วัน เขาได้อุทิศความรู้ พละกำลังกายทั้งหมด เพื่อเป็นส่วนร่วมในการต่อเติมให้เมล็ดพันธุ์เล็กๆ บนดอยไตแลง เติบโต เป็นที่พึ่งของครอบครัวและชาติต่อไป ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเอกราชที่ชนชาวไทใหญ่ร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาจะสำเร็จผลเมื่อใด เขาก็ยังจะทำหน้าที่นี้ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
เช้าวันรุ่งขึ้นถนนในหมู่บ้านดอยไตแลงเต็มไปด้วยชาวไทใหญ่ ทุกเพศทุกวัยที่พร้อมใจแต่งกายในชุดประจำชาติและจับจองที่นั่ง บริเวณรอบๆ ลานสวนสนามเพื่อชมพิธีที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า เสียงจาก วงดุริยางค์ทหารหญิงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ บอกให้รู้ว่าพิธีได้เริ่มขึ้นแล้ว ขบวนทหารกองทัพรัฐฉานนับพันคนกำลังเดินสับเท้าอย่างพร้อมเพรียง มุ่งหน้าสู่ลานพิธี ถนนบนดอยไตแลงขณะนี้มองเห็นเป็นสีเขียวทอดยาว สุดสายตาด้วยชุดของเหล่าทหารกล้า พร้อมกับธงชาติไทใหญ่ที่กำลัง โบกสะบัด หากแม้ไม่ใช่คนไทใหญ่ก็รู้สึกได้ว่า ในวันนี้ คือวันรวมใจ ของทุกคน ที่จะยืนหยัดร่วมกันต่อสู้เพื่อสันติสุขของรัฐฉาน ตาม เจตนารมย์ของข้อตกลงปางโหลงที่ถูกฉีกทิ้งโดยรัฐบาลทหารพม่า สายตาทุกคู่ต่างจดจ้องไปยังภาพกองทัพอยู่เบื้องหน้า เราอาจไม่เห็น ครูจายเหลินในกลุ่มกองทัพทหารกล้าเหล่านี้ แต่เชื่อได้ว่าท้ายสุด ของแถวจะมีพลเรือนเช่นเขายืนอยู่ในลำดับที่สองเป็นแน่