ด้วยสาเหตุปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้รัฐบาลเผด็จการ และปัญหาเรื่องปากท้อง ส่งผลให้ประชาชนในพม่าจำนวนมหาศาลผันตัวเองกลายเป็นแรงงานอพยพ และประชาชนชั้นล่างสุดในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะไทยที่มีแรงงานข้ามชาติ จากพม่าทั้งผิดและถูกกฎหมายเกือบ 2 - 3 ล้านคน หรือแรงงานข้ามชาติจำนวน 80 เปอร์เซ็นต์ มาจากพม่า
ไทยเริ่มผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตทำงานให้กับแรงงานข้ามชาติจากกัมพูชา ลาว และพม่านับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขแรงงานข้ามชาติที่ยังคงมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ทางการไทยคิดจัดการเรื่องแรงงานเหล่านี้ให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยการกำหนดแผนออกหนังสือเดินทางให้กับแรงงาน แต่กว่าจะได้รับหนังสือเดินทางที่ว่านี้ แรงงานข้ามชาติจะต้องผ่านขั้นตอนสำคัญที่เรียกว่า การพิสูจน์สัญชาติ ว่าเป็นพลเมืองของประเทศต้นทางที่จากมาจริง แม้ขั้นตอนที่ว่านี้จะไม่สร้างปัญหายุ่งยากให้กับแรงงานกัมพูชาและลาว แต่กลับพบว่าสร้างปัญหาให้กับแรงงานจากพม่า ประเทศที่ไฟสงครามยังคงคุกรุ่น จึงเป็นที่ถกเถียงกันว่า แท้จริงแล้วการพิสูจน์สัญชาติที่ว่านี้เป็นทางออกให้กับแรงงานข้ามชาติจากพม่า และเอื้อประโยชน์ให้ประเทศไทยจริงหรือ ?
9 ธันวาคม 2551 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการพิสูจน์สัญชาติแรงงานพม่า ลาว และกัมพูชาที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง และได้รับการผ่อนผันให้ทำงานในประเทศไทย จากมติดังกล่าว แรงงานชาวพม่า ลาว และกัมพูชาจะต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ เพื่อให้การจัดการแรงงานข้ามชาติมีระบบมากขึ้น และเพื่อเปลี่ยนสถานะจากแรงงานใต้ดินผิดกฎหมายมาเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย มีหนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน) ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่า (MOU) โดยกำหนดให้ แรงงานจะต้องดำเนินการยื่นเรื่องขอพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 28 ก.พ. 53 ไม่เช่นนั้นแรงงานจะต้องถูกผลักดันออกจากประเทศ
เนื่องจากใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติจำนวน61,543 คน หมดอายุลงเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 53 ที่ผ่านมา และแรงงานอีก กลุ่มหนึ่งจำนวน 1,249,147 คน ที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุในวันที่ 28 ก.พ. 53 นี้เช่นกัน แต่รัฐบาลได้กำหนดให้แรงงานทั้งสองกลุ่มนี้ยื่นขอต่อใบอนุญาตภายในวันที่ 28 ก.พ.53 นี้เช่นเดียวกัน ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่า กำหนดระยะเวลาดังกล่าวค่อนข้างกระชั้นชิดมากเกินไป หากเทียบกับตัวเลขแรงงานที่มีจำนวนมาก และอาจไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดได้ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงออกมติครม. ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 19 ม.ค.53 ผ่อนผันให้แรงงานที่ยื่นความจำนงต้องการพิสูจน์สัญชาติสามารถอยู่ในประเทศไทยได้ต่อไปอีก 2 ปี แต่ต้องดำเนินการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 28 เดือนกุมภาพันธ์ 2555
ขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติแรงงานจะต้องดำเนินการมีทั้งหมด 13 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแบบย่อมีดังนี้
- นายจ้างรับแบบฟอร์มขอรับการพิสูจน์สัญชาติพร้อมกรอก รายละเอียดให้ครบถ้วนพร้อมหลักฐานสำเนาใบอนุญาตทำงาน (บัตร ทร.38/1)
- ส่งเอกสารให้กับสำนักงานจัดหางานประจำจังหวัดในพื้นที่ ทำงานของแรงงานต่างด้าว
- สำนักงานจัดหางานส่งต่อให้กรมการจัดหางานเพื่อรวบรวมส่งให้ทางการพม่าตรวจสอบ
- ทางการพม่าจะส่งรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบให้กรมการจัดหา งาน เพื่อแจ้งให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดประสานไปยังนายจ้างให้พา แรงงานไปพิสูจน์สัญชาติ ณ จุดที่กำหนดไว้ 3 แห่งคือ จุดแรกที่ จ.ท่าขี้เหล็กตรงข้าม อ.แม่สาย จุดที่สอง จ.เมียวดี ตรงข้าม อ.แม่สอด จุดที่สอง อ.เกาะสอง ตรงข้าม จ.ระนอง
แรงงานที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติจะได้รับหนังสือเดินทาง วีซ่า ทำงานและเป็นแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย ซึ่งจะได้รับอนุญาตให้ ทำงานในประเทศไทยได้เป็นเวลา 2 ปี และสามารถเดินทางในประเทศไทย ได้ โดยไทยอ้างว่า แรงงานที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติยังมีสิทธิตามกฎหมาย แรงงาน รวมถึงสิทธิตามกฎหมายประกันสังคม และสิทธิทางกฎหมายไทย ในด้านอื่นๆ อีกด้วย ทว่า กระบวนการที่นำไปสู่การพิสูจน์สัญชาตินี้ ก่อให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา โดยเฉพาะกับแรงงานชนกลุ่มน้อย ที่ส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ
พิสูจน์สัญชาติทางออกจริงหรือ ?
“พวกเรารู้สึกไม่มั่นใจในความปลอดภัยของครอบครัวที่อยู่ ข้างหลัง และเกรงว่าพวกเขาจะถูกทหารพม่ารีดไถ ถ้าเราต้องไป ดำเนินการพิสูจน์สัญชาติและเปิดเผยชื่อ ที่อยู่จริงให้กับหน่วยงาน ของรัฐบาลทหารพม่า เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า รัฐบาลและกองทัพพม่า โหดร้ายกับประชาชนในพม่ามากแค่ไหน ยิ่งเป็นชนกลุ่มน้อยด้วย แล้ว พวกเขายิ่งมองว่าเป็นศัตรู แต่ในทางกลับกัน หากไม่ไปพิสูจน์ สัญชาติ พวกเราก็ต้องกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในไทย และถูกกดขี่มากขึ้น ชีวิตคงไม่มีความสุข พวกเรา ยังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเดินไปทางไหน เพราะทั้งสองทางมีแต่เสีย กับเสีย”
นี่คือเสียงสะท้อนจากแรงงานชาวไทยใหญ่คนหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ที่ผ่านมาการขึ้นทะเบียนกับทางการไทย แรงงานจากพม่าส่วนใหญ่ไม่ ระบุชื่อและที่อยู่จริง เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยจากทหารพม่า และในขณะนี้แรงงานจากพม่าจำนวนมากต่างกังวลกับความปลอดภัย ของตัวเองและคนในครอบครัวที่อยู่ในพม่า หากต้องเปิดเผยข้อมูลต่อ ทางการพม่าที่มองว่าชนกลุมน้อยเป็นศัตรูกับรัฐบาล ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลพม่าเข้มงวดและไม่อนุญาตให้หญิงสาวที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ออกนอกประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้หญิงสาวมาหางานทำในประเทศ เพื่อนบ้าน หญิงสาวที่มีอายุต่ำว่า 25 ปีจำนวนมากจึงต้องใช้วิธีลักลอบ ออกนอกประเทศ และหากเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติแรงงานหญิง เหล่านี้จะต้องเปิดเผยข้อมูลจริง จึงก่อให้เกิดความหวาดกลัวและไม่มั่นใจ ในความปลอดภัย
ที่กล่าวมาข้างต้นอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แรงงานจำนวน มากปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ โดยพบว่าในเดือน มกราคมที่ผ่านมา มีแรงงานจากพม่าที่เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ เพียง 140,000 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของแรงงานจากพม่าทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียน 1,076,110 คน* (*ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2552)
แอนดี้ ฮอลล์ ผู้อำนวยการโครงการยุติธรรมเพื่อแรงงานข้ามชาติ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ได้แสดงความคิดเห็นและแสดง ความเป็นห่วงต่อสถานการณ์แรงงานโดยเฉพาะแรงงานที่เป็นชนกลุ่ม น้อย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าชนกลุ่มน้อยในพม่ายังคงต่อต้านรัฐบาลทหาร พม่าว่า การที่ต้องเดินทางไปพิสูจน์สัญชาติและเผชิญหน้าโดยตรงกับ ทางการอาจทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ปัญหาที่พบในการพิสูจน์ สัญชาติอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ที่ผ่านมาทางการไทยได้เผยแพร่และ ประชาสัมพันธ์เรื่องการพิสูจน์สัญชาติแก่นายจ้างและแรงงานน้อยมาก จึงทำให้แรงงานอีกจำนวนมากไม่มีความรู้และไม่เข้าใจเรื่องการพิสูจน์ สัญชาติ ซึ่งส่วนใหญ่รับรู้มาจากการบอกเล่ากันปากต่อปาก ซึ่งอาจทำให้ แรงงานและนายจ้างถูกนายหน้าหลอกลวงและเสียค่าใช้จ่ายที่สูงเกินความจริง
ด้านประเสริฐ แก้วฟอง จากมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิต แรงงานมองว่า ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือแรงงานข้ามชาติอาจแบกรับหนี้สินเพิ่มขึ้น เพราะก่อนที่รัฐบาลจะมีมติให้ดำเนินการพิสูจน์สัญชาติ ได้มีการเปิดให้แรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนรอบสุดท้าย ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม - 29 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา การขึ้นทะเบียนรอบที่ผ่านมา แรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าระเบียบของทางราชการเป็นเท่าตัว กล่าวคือตามระเบียบแล้ว แรงงานจะต้องเสียเงินจำนวน 3,880 บาท แต่ ในความเป็นจริงแรงงานต้องเสียเงินจำนวน 5,000 – 10,000 ให้กับ นายหน้าที่นายจ้างมอบหมายให้มาดำเนินการแทน ซึ่งนายจ้างหรือ บริษัทที่จ้างแรงงานจะหักค่าจ้างของแรงงานเป็นจำนวนมากในแต่ละ เดือนจนกว่าจะครบกำหนด
กล่าวคือ แรงงานต้องทำงานใช้หนี้และเป็นหนี้สินเพิ่มขึ้น และ การพิสูจน์สัญชาติก็ทำให้แรงงานจำใจต้องกู้ยืมเงินจากนายจ้างหรือ บุคคลอื่นเพื่อจ่ายให้นายหน้าอีกครั้ง ซึ่งอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง หนึ่งหมื่นบาทต่อคน ทำให้แรงงานอาจเป็นหนี้ไม่รู้จบ เพราะนโยบายของ ทางการไทยที่เปิดช่องโหว่ให้นายหน้าแสวงหาผลประโยชน์จาก แรงงาน
ตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้แรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์ สัญชาติเพิ่มมากขึ้นก็คือ การที่ทางการพม่าไม่ยอมส่งเจ้าหน้าที่เข้ามา พิสูจน์สัญชาติให้กับแรงงานในประเทศไทย เหมือนที่ทางการกัมพูชาและ ลาวปฏิบัติ แต่กลับบังคับให้แรงงานเดินทางไปพิสูจน์สัญชาติในเขตพม่า บริเวณชายแดนไทย – พม่าแทน ซึ่งทำให้แรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายใน การเดินทางเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คำถามที่ตามมาก็คือ หากทางการพม่า ไม่ยอมรับแรงงานชนกลุ่มน้อย อย่างมอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ทวายและ ชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ รวมถึงกลุ่มคนที่อยู่ชายขอบอย่างผู้ลี้ภัยทาง การเมืองและจากภัยสงคราม หรือกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเป็น พลเมืองของประเทศพม่า รัฐไทยจะหาทางออกให้กับปัญหานี้อย่างไร
ไทยควรทบทวนนโยบายพิสูจน์สัญชาติ แรงงานพม่าหรือไม่? หากกล่าวตามความเป็นจริงแล้ว นโยบายการพิสูจน์สัญชาติ แรงงานข้ามชาติเพื่อให้ได้รับหนังสือเดินทางและใบอนุญาตทำงานถูก กฎหมายเป็นแนวทางที่ดีและควรปฏิบัติ เพราะส่งผลดีต่อแรงงานข้าม ชาติทั้งในด้านการเข้าถึงการรับบริการจากทางรัฐ และหลีกเลี่ยงจากการ ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างคนไทย และคนในเครื่องแบบ รวมถึงหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวยังไม่พร้อมใช้กับแรงงานข้ามชาติ จากพม่า ประเทศที่ยังมีปัญหาสงครามทางการเมืองจากความขัดแย้ง ระหว่างชนกลุ่มน้อยหลายชาติพันธุ์กับรัฐบาลเผด็จการ เพราะรัฐบาล พม่าจะใช้โอกาสนี้ตอบโต้แรงงานชนกลุ่มน้อยและกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย โดยการไม่ยอมรับเป็นพลเมืองของประเทศพม่า และอาจถึงขั้นจับกุมตัว ในระหว่างที่เดินทางไปพิสูจน์สัญชาติในฝั่งพม่า ถึงแม้ว่าทางการพม่าจะออกมายืนยันว่าการพิสูจน์สัญชาติมีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศพม่าเป็นประเทศปิด และข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า ยากที่จะเล็ดรอดสู่โลกภายนอก ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ทางการไทยคำนึงถึง แต่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจจากแรงงานข้ามชาติ โดยไม่ได้คำนึงถึง สถานการณ์ของแรงงานในประเทศต้นทาง
ขณะที่หลายฝ่ายเสนอทางออกให้รัฐบาลไทยผ่อนผันให้กับ แรงงานบางกลุ่มที่ไม่สมัครใจดำเนินการพิสูจน์สัญชาติ เนื่องจากความกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยออกใบอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานกลุ่ม นี้ต่อไป ขณะที่แรงงานที่ต้องการพิสูจน์สัญชาติก็สามารถดำเนินการ ได้ต่อไป อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่าขบคิดว่า หากตัวเลขแรงงานที่ ไม่ผ่านและไม่ยอมเข้าร่วมกระบวนการพิสูจน์สัญชาติมีจำนวนมาก ไทยจะผลักดันแรงงานกลุ่มใหญ่นี้ออกจากประเทศได้จริงหรือไม่ เพราะ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติแทรกซึมและ พัฒนาเศรษฐกิจของไทยทุกภาคส่วน และหากไทยปฏิเสธแรงงานกลุ่ม นี้แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยมหาศาล เพราะงานชั้นต่ำ สกปรก อันตราย ค่าแรงน้อยเป็นงานที่แรงงานไทยส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธ ในอีกด้านหนึ่ง แรงงานที่ไม่เข้าร่วมการพิสูจน์สัญชาติจะต้องกลายเป็น แรงงานผิดกฎหมาย กลายเป็นคนไร้ตัวตนต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ทำให้ สถานการณ์ย้อนกลับไปในยุคอดีต ซึ่งทำให้ไทยต้องสูญเสียและสิ้น เปลืองงบประมาณของชาติในการปราบปรามและดูแลแรงงานเหล่านี้ ในระหว่างที่ถูกคุมขัง
อย่างไรก็แล้วแต่ แม้ทางการไทยอ้างว่านโยบายการพิสูจน์ สัญชาติจะจัดระบบแรงงานให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถ รับประกันได้ว่าจะสามารถป้องกันการอพยพของแรงงานจากพม่าได้ หากสถานการณ์การเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัญหาเศรษฐกิจย่ำแย่ ที่มาจากการบริหารผิดพลาดของรัฐบาลเผด็จการทหารยังคงวิกฤติและ เลวร้ายเหมือนที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ผลสุดท้าย กลายเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และผู้ที่ได้รับผลกระทบก็หนี ไม่พ้นแรงงานอพยพที่หวังหนีร้อนมาพึ่งเย็น
ล้อมกรอบ
ขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติของแรงงานพม่าข้อมูลอ้างอิง -สำนักข่าวประชาไท
- ประชาสัมพันธ์และส่งแบบพิสูจน์สัญชาติให้กับจัดหางานในพื้นที่
- แรงงานชาวพม่ากรอกข้อมูลในแบบฟอร์มการพิสูจน์สัญชาติพม่าทั้งภาษาไทยและภาษาพม่า
- นายจ้างหรือสถานประกอบการส่งแบบพิสูจน์สัญชาติพม่าให้กับสำนักงานจัดหางานจังหวัดหรือสำนักจัดหางานกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ 1 - 10
- สำนักงานจัดหางานจังหวัดหรือสำนักจัดหางานกรุงเทพมหานครเขต
ข้ามชาติ
- พื้นที่ 1 -10 จัดส่งแบบพิสูจน์สัญชาติพม่าให้กับกรรมการจัดจ้างแรงงาน
- กรมการจัดหางานส่งแบบพิสูจน์สัญชาติชาวพม่าให้กับทางการพม่าตรวจสอบข้อมูล
- ทางการพม่าแจ้งผลการตรวจสอบข้อมูลแรงงานชาวพม่าให้ฝ่ายไทยทราบ
- การจัดทำแผนกำหนดการพิสูจน์สัญชาติพม่า แจ้งสำนักงานจัดหางานจังหวัดหรือสำนักจัดหางานกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ 1 - 10 และแจ้งให้นายจ้าง สถานประกอบการ หรือลูกจ้างทราบ
- นายจ้างหรือผู้รับมอบอำนาจนำแรงงานพม่าไปเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติตามวัน เวลา สถานที่ ที่กำหนด
- ศูนย์ประสานการพิสูจน์สัญชาติรับรายงานตัวแรงงาน
- แรงงานชาวพม่าเดินทางไปพิสูจน์สัญชาติ ณ เมืองท่าขี้เหล็ก เมียวดี เกาะสอง
- การตรวจลงตราและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
- การตรวจสุขภาพแรงงานข้ามชาติ ณ สถานพยาบาลของรัฐ หากมีการตรวจสุขภาพแล้ว ไม่ต้องตรวจซ้ำอีก
- แรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงาน
- ส่งข้อมูลแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ และขอรับใบอนุญาตทำงานให้กรมการปกครอง (ส่วนการทะเบียนราษฎร)
-พิสูจน์สัญชาติ นโยบายของรัฐต่อรัฐกับความเป็นจริงที่แรงงานข้ามชาติ (พม่า) ต้องเผชิญปัญหาหนักอกโดย ประเสริฐ แก้วฟอง
-สำนักข่าวอิรวดี