นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การสู้รบระหว่างกองทัพพม่าสนธิกองกำลังทหารกะเหรี่ยงพุทธ หรือ DKBA กับกองกำลังกะเหรี่ยงคริสต์ หรือ KNU ช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนกว่าสามพันคนได้หนีภัยความตายเข้ามาฝั่งไทย และอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ตั้งอยู่ในอ.ท่าสองยาง จ.ตาก โดยมีทหารไทยเป็นผู้ดูแลพื้นที่ มีองค์กรต่างประเทศให้การช่วยเหลือด้านอาหาร ขณะที่สถานการณ์การสู้รบภายในรัฐกะเหรี่ยงก็ยังไม่ได้รับการยืนยันแน่ชัดว่าได้ยุติลงแล้ว หรือมีความปลอดภัยหรือไม่อย่างไร ผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลับถูกบังคับข่มขู่ และถูกผลักดันให้กลับไปเผชิญกับภัยความตายอีกครั้ง
“พวกเราจะทำไร่ทำนาได้อย่างไร หากกับระเบิดอยู่ในผืนดินที่เราทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว แล้วเราจะเอาอะไรกิน บริเวณรอบเลอเปอเฮอก็เป็นกับระเบิด จะมีคนเสียแขนเสียขา เสียชีวิตไม่รู้อีกเท่าไหร่” เสียงของผู้ลี้ภัยคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านเลอเปอเฮอ รัฐกะเหรี่ยงประเทศพม่า ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมยติดชายแดนไทยตรงข้าม อ.ท่าสองยาง จ.ตาก พวกเขาทั้งหมดยังคงกังวลถึงความปลอดภัยหากจะต้องกลับบ้านในเวลานี้ ไม่มีฝ่ายใดออกมายืนยันว่าพื้นที่ในหมู่บ้านปลอดภัยจากกับระเบิดหรือไม่ ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งข้ามกลับไปดูแลสัตว์เลี้ยงและที่ทำกินของตนโดยหวังว่า หากปลอดภัย พวกเขาจะได้กลับบ้านจริงๆ สักที แต่บนเส้นทางเดินที่ใช้เป็นประจำกลับเต็มไปด้วยกับระเบิด พวกเขาได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 5 คน โดยเป็นผู้หญิงและเด็ก ซ้ำร้ายกว่านั้น ผู้หญิงคนหนึ่งเหยียบถูกกับระเบิดทำให้เธอต้องสูญเสียเท้าไปหนึ่งข้าง ในขณะที่ตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน
จากรายงานของ The Free Burma Rangers เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมาได้แสดงภาพถ่ายจากพื้นที่หมู่บ้านเควเดอ และ เลอโด ซึ่งถูกเผาทำลายบ้านเรือนและที่นา ชาวบ้านต่างหนีออกมาซ่อนตัวอยู่กลางป่า หัวหน้าฝ่าย KNU ในพื้นที่สองคนถูกสังหารและถูกเผาอย่างโหดเหี้ยมจากน้ำมือของทหารพม่า
ถึงแม้จะมีเสียงของชาวบ้านและการรายงานเป็นระยะถึงเหตุการณ์การสู้รบและการขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ในฝั่งกะเหรี่ยงจำนวนผู้ไร้ที่อยู่อาศัยซึ่งได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตยังคงเหมือนเส้นกราฟที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ นั้น ก็น่าจะยืนยันได้ถึงสถานการณ์ที่อันตราย ไม่น่าไว้วางใจ และไม่สมควรที่จะมีการพิจารณาส่งผู้ลี้ภัยกลับในตอนนี้ แต่เหตุใดจึงมีถ้อยคำแถลงของกองทัพภาคที่ 3 เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า มีมติให้ส่งผู้ลี้ภัยกลุ่มเดือนมิถุนายน 2552 ทั้งหมดกลับภูมิลำเนา โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ สิ้นสุดภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 หรือทหารจะมองว่าหากผู้ลี้ภัยกลับไปแล้วก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติขณะที่อยู่ท่ามกลางภาวะสงคราม และพื้นที่รอบบ้านเต็มไปด้วยกับระเบิด เพราะ
ความเคยชินเช่นนั้นหรือ ถือว่าเป็นทัศนคติที่เลวร้ายต่อหลักสิทธิมนุษยชน ดังคำกล่าวอ้างเมื่อแรกเริ่มในการอำนวยพื้นที่ให้ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้เข้ามาพักพิงเพื่อหลีกหนีจากภัยความตาย
การให้สัมภาษณ์ของนายทหารระดับสูงของไทยและคณะที่ได้ให้เหตุผลหลังจากการลงตรวจพื้นที่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้งสองจุดว่า สภาพที่พักนั้นได้เสื่อมโทรมลงมาก ประกอบกับการสู้รบในขณะนี้
สงบลงแล้ว และการอาศัยอยู่นานเกินไปอาจทำให้ยืดเยื้อเหมือนพื้นที่ชั่วคราวอื่นๆ ซึ่งหวั่นว่าจะไม่เกิดผลดีต่อประเทศไทย เช่น การสวมบัตรเป็นคนไทย การแอบเข้าไปพื้นที่ชั้นในก็อาจจะมีมากขึ้น คำสัมภาษณ์ได้เน้นไปในด้านความมั่นคงของประเทศไทย แต่ปัจจัยหลักเรื่องความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึงประกอบกันกลับไม่มีการพูดถึง
นายซอ เคว เซ ตัวแทนผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงกล่าวว่า ทุกวันนี้ พวกเขารอที่จะกลับไปอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง แต่ยังไม่สามารถกลับได้เพราะกับระเบิดที่ยังมีอยู่ทั่วไป และหวาดกลัวทหาร DKBA ที่เข้ามา คุมพื้นที่ แน่นอนว่าหากกลับไปในเวลานี้จะต้องถูกบังคับใช้แรงงาน ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารจนไม่สามารถทำมาหากินได้ ส่งผลให้พวกเขา ขาดแคลนอาหาร
ขณะเดียวกัน ศูนย์ข่าวข้ามพรมแดนได้รายงานว่า หลายต่อ หลายครั้งตลอดระยะเวลาแปดเดือน ทหารไทยในพื้นที่พยายามใช้วิธี กดดันผู้ลี้ภัยให้อยู่ในศูนย์พักพิงไม่ได้ และเลือกเดินทางกลับเอง โดยอ้างว่า ทั้งหมดเป็นความสมัครใจ ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลว่า ต่อไปจะไม่มีความช่วยเหลืออาหารแล้ว และควบคุมการเข้าออก ในศูนย์ฯ อย่างเข้มงวด รวมทั้งการจับกุมสองผู้นำผู้ลี้ภัยจากบ้านอุสุทะ ในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การตรวจค้นหายาเสพติดในศูนย์พักพิง การยึดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด กีดกั้นการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารอย่าง อิสระ และไม่อนุญาตให้ซ่อมแซมเพิงพักที่มีเพียงผ้าใบมุงบังแดด บังฝน ทำให้ผู้ลี้ภัยต้องอยู่กันอย่างลำบากและไร้ซึ่งอิสรภาพ ทหารในพื้นที่ปฏิบัติกับพวกเขาราวกับว่าผู้ลี้ภัยคือนักโทษอุจฉกรรจ์
จนกระทั่งมีกำหนดการลงพื้นที่ของคณะตัวแทนอนุกรรมการ สิทธิมนุษยชนจึงได้รับอนุญาตให้ซ่อมแซมที่พัก สร้างความแปลกใจ ให้ใครหลายคนท่ามกลางการควบคุมอย่างเข้มงวดมาตลอด ผู้ลี้ภัยไม่มี แม้โอกาสจะได้ตอบคำถามของเจ้าหน้าที่จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ที่มาสัมภาษณ์ถึงความต้องการ ที่จะเข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละหรือไม่ เพราะต้องหยุดชะงักลง เมื่อทหารไทยระบุว่าค่ายแม่หละแออัดเกินไปไม่สามารถรับผู้ลี้ภัยได้อีก นั่นเท่ากับว่าพวกเขาเหลืออยู่เพียงตัวเลือกเดียวนั่นก็คือ การกลับบ้านที่เต็มไปด้วยกับระเบิดและตายโดยสมัครใจอย่างนั้นหรือ
ประกอบกับมีข่าวลือว่า การผลักดันให้ผู้ลี้ภัยกลับนั้นได้รับความ ร่วมมือจากกลุ่ม KNU ด้วย ซึ่งภายหลัง KNU ได้เผยแพร่แถลงการณ์ “จุดยืนของสหภาพกะเหรี่ยงต่อกรณีผู้ลี้ภัย” (KNU Position on Refugees) ผ่านทางเว็บไซต์เพื่อยืนยันต่อกรณีที่มีข่าวว่าเป็นผู้ร่วมให้มีการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก นั้นไม่ใช่ความจริง โดยย้ำชัดว่ายังคงยึดตามแถลงการณ์ ฉบับวันที่ 31 พ.ค. 2543 ที่ระบุว่า มีผู้คนจำนวนมากในพม่าต้องลี้ภัยเพราะการกดขี่ จากรัฐบาลทหารพม่า และเป็นเรื่องจำเป็นที่ UNHCR หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องควรมีหน้าที่ดูแลผู้ลี้ภัยตามหลักการมนุษยธรรมขั้นพื้นฐาน ส่วนการส่งผู้ลี้ภัยกลับนั้นจะต้องมีผู้รับผิดชอบหากเกิดผลกระทบทางลบขึ้นภายหลัง
วิธีการที่ทหารในพื้นที่ใช้กดดันผู้ลี้ภัยให้เดินทางกลับประเทศนั้น อาจจะได้ผลในด้านตัวเลขของผู้ลี้ภัยที่ลดลง แต่ถือว่าล้มเหลวต่อ กระบวนการป้องกันการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการปฏิบัติด้วยวิธีนี้ ยังส่งเสริมให้เกิดกระบวนการค้ามนุษย์เพิ่มมากขึ้น เพราะทหารแสดง ให้เห็นว่าการเข้ามาอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัยนั้นชาวบ้านจะต้องอดทน อย่างมาก การเลือกที่จะหนีเข้ามาพักพิงในฝั่งไทยอย่างหลบๆ ซ่อนๆ โดยปราศจากการดูแลของเจ้าหน้าที่จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้ ง่ายกว่า และยังสามารถหาหนทางในการทำงานเลี้ยงชีพได้ โดยมี นายหน้าคอยรับอยู่รอบแนวชายแดน ทั้งหมดนี้กลายเป็นจุดเริ่ม ของอีกหลายปัญหาให้กับประเทศไทยในภายภาคหน้า
ด้านกลุ่มองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในและนอกประเทศกว่า ร้อยองค์กรต่างออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลไทย สภาความ มั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยุติการ ส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศและหยุดการกดดันผู้ลี้ภัย ด้วยการส่งกลับจะเป็น การละเมิดกฎจารีตระหว่างประเทศว่าด้วยหลักการ การไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับ ไปสู่อันตราย(non-refoulement principle) พร้อมกันนั้นได้เสนอแนะ ให้มีการเปิดพื้นที่เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมการรับรู้โดยให้สื่อมวลชน และภาคประชาสังคมร่วมแสวงหามาตรการที่เหมาะสม ขณะที่มีจดหมาย จากสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกา รวม 27 คน นำโดย นายโจเซฟ โครว์ลีย์ ส.ส. พรรคเดโมแครต จากรัฐนิวยอร์ก ส่งถึงนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยุติการส่งชาวพม่า เชื้อสายกะเหรี่ยงกลับประเทศในขณะนี้ โดยระบุว่าถ้าหากมีการ บังคับให้เดินทางกลับไป ผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะเผชิญหน้ากับการกดขี่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง พร้อมกันนั้นก็เตือนด้วยว่าความพยายามในการบังคับให้คนเหล่านี้เดินทางกลับ จะส่งผลทำลายชื่อเสียงของไทย ที่สั่งสมมาในอดีตในฐานะเป็นประเทศที่ให้การดูแลผู้ลี้ภัยจากเหตุร้าย แรงต่างๆ ไปจนหมดสิ้น
เสียงเรียกร้องและข้อสงสัยต่างๆจากหลายฝ่ายทำให้มีการชี้แจง จากทหาร นำโดยพ.อ.นพดล วัชรจิตบวร ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 35 ผู้รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าวได้เชิญหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจาก UNHCR องค์การ มนุษยธรรมชายแดนไทย-พม่า หรือ TBBC ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความ มั่นคงของไทย และผู้นำชาวกะเหรี่ยงที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามายัง ชายแดนไทย ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงในการอำนวยความสะดวก แก่ผู้ลี้ภัยให้ทยอยกลับฝั่งพม่าด้วยความปลอดภัย และปฏิเสธว่าทหาร ไม่ได้ใช้กลวิธีกดดันเพื่อเกิดการสมัครใจ มูลเหตุที่ถูกหยิบยก ขึ้นมาคือการอ้างถึงนโยบายของรัฐบาลไทยที่ระบุจะไม่ให้มีการ จัดตั้งพื้นที่พักพิงชั่วคราวเพิ่มอีก พร้อมกับพาผู้ร่วมประชุมไปบริเวณจุด ที่มีผู้ลี้ภัยนั่งเรือข้ามกลับบ้าน
ส่วนบทบาทของ UNHCR ในกรณีนี้กลับวางตัวเป็นเพียง ผู้สังเกตการณ์ ไม่ได้ให้การรับรองผู้หนีภัยจากการสู้รบที่ประสงค์จะ เดินทางกลับไปฝั่งพม่าอย่างเป็นทางการ และได้ให้ความเคารพในการ ตัดสินใจของผู้ลี้ภัยที่ได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ไทยเอง ซึ่งจะขออนุญาต เพื่อเข้าไปสอบถามถึงความสมัครใจของผู้ลี้ภัยว่า ไม่ได้เกิดจากการ ข่มขู่บังคับเท่านั้น ส่วนผู้แทนจาก TBBC ให้ความเห็นว่าทหารไทยควร จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลี้ภัยในเรื่องความปลอดภัย ยกตัวอย่างการ ประสานงานการเก็บกู้กับระเบิดที่มีฝังอยู่มากมายในฝั่งพม่า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยตามกฎสากลในการที่จะพิทักษ์ซึ่งชีวิตเพื่อนมนุษย์
แม้ว่าภายหลังการประชุมชี้แจงจะมีคำสั่งจากกระทรวงกลาโหม มายังหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 ให้ยุติการส่งผู้ลี้ภัยที่จะกลับ ไปยังฝั่งพม่า โดยจะมีการเปิดพื้นที่ศูนย์พักพิงเพื่อให้องค์กรต่างๆ ได้ ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมพูดคุยกับผู้ลี้ภัยและสังเกตการณ์การ ปฏิบัติงานของทหาร แต่ก็ยังมีรายงานออกมาจากศูนย์พักพิงบ้านอุสุทะ ที่ยังคงมีการกดดันจากทหารอยู่
ผู้ลี้ภัยกลุ่มบ้านหนองบัวและอุสุทะยังคงต้องเผชิญกับการดิ้นรน เพื่อหาทางเลือกของการอยู่รอดต่อไป โดยที่ไม่มีบทสรุปแนวทางที่ชัดเจน จากรัฐบาลไทย การแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยอย่างจริงจังยังไม่ปรากฏให้เห็น เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะความเข้าใจระหว่างผู้ที่กำหนดนโยบายและผู้ ปฏิบัติ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าของพื้นที่ และประกาศตนอย่างชัดเจน ว่าเป็นประธานองค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน แต่อย่างน้อยก็ถือได้ว่า การทำงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ที่ได้ร่วมมือเรียกร้องเพื่อ ปกป้องสิทธิของความเป็นมนุษย์ ก็ทำให้เกิดการรับรู้ต่อสังคมในวงกว้างและมีการระดมความคิดเห็นเสนอทางออกที่เหมาะสมในระยะยาว
อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งมวลแล้ว รากเหง้าที่มาของการอพยพ หนีภัยสงครามที่ไม่สิ้นสุดในแผ่นดินพม่านั้น ต้องย้อนกลับไปหาต้นตอ คือรัฐบาลทหารพม่าที่คอยแต่จะสร้างปัญหา และละเมิดสิทธิมนุษยชน กลุ่มคนชาติพันธุ์อยู่เป็นประจำซ้ำซาก ประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ถูกกำหนด ให้เป็นเพียงเบี้ยในกระดานหมากรุกที่ถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือในการ ช่วงชิงผลประโยชน์ เพื่อสร้างความมั่งคั่ง มั่นคง และแผ่อำนาจให้กับ ตนเองและพวกพ้องที่สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาล โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้น
ความสงบสุขบนระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกกลุ่ม มีส่วนร่วมโดยแท้จริงอย่างที่่ประชาคมโลกต่างจับตามองและ ต้องการจะเห็นบนแผ่นดินพม่านั้น อาจต้องรอคอยกันต่อไป ตราบใด ที่รัฐบาลทหารพม่ายังคงคิดถึงแต่การรักษาไว้ซึ่งอำนาจของตนเอง ให้ยาวนานที่สุด และมองประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์เป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา