ลมหายใจรวยระริน บนต้นน้ำอิระวดี

โดย ซอว์ง อู

มิตจีนา เมืองหลวงของรัฐคะฉิ่น ประเทศพม่า
รถแวนสีขาวพาเราออกนอกเมืองมิตจีนามุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือบนถนนคอนกรีตผิวเรียบ ซึ่งคนนำทางชาวเมืองมิตจีนากระซิบบอกด้วยความภูมิใจว่าเป็นผลงานของกองกำลังคะฉิ่นได้สร้างไว้ไม่ใช่รัฐบาลพม่า ถนนจึงมีสภาพดีกว่าในเมืองใหญ่ๆ อย่างย่างกุ้งเสียอีก แต่ชื่นชมได้ไม่นานนัก ถนนก็เริ่มแคบและขรุขระลงเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นทางดินคดเคี้ยว รถสองแถวที่แล่นสวนมาหอบเอาฝุ่นหนาเตอะที่กองอยู่บนผิวดินฟุ้งกระจายจนแทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า

สองชั่วโมงผ่านไป เมื่อฝุ่นเริ่มจางลง สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า คือ ภาพของแม่น้ำสองสายที่ชื่อ “เมขะ” และ “มาลิขะ” สะท้อนแสงแดดระยิบระยับและไหลมาบรรจบกันโดยมีภูเขาเตี้ยๆ สีเขียวครึ้มเป็นฉากหลัง

“มิตซง” คือชื่อที่สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกขาน ซึ่งมีความหมายว่า “สบน้ำ” และที่นี่เองคือจุดเริ่มต้นของแม่น้ำอิระวดีอันเลื่องชื่อเรื่องความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงผู้คนในพม่ามาช้านาน หากอิระวดีเป็นสายเลือดใหญ่ มิตซงก็คือหัวใจที่มีความสำคัญต่อผู้คนบนผืนแผ่นดินนี้ โดยเฉพาะคนต้นน้ำอย่างชาวคะฉิ่น*


(*ชาวคะฉิ่นประกอบด้วย กลุ่มย่อย 6 กลุ่ม ได้แก่ จิ่งเผาะ ราวัง ลีซู อาซิ ลาชี และมารู ซึ่งแต่ละกลุ่มมีภาษาพูดเป็นของตนเอง)


-1-

รถยนต์ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงเพื่อจอดใต้ร่มไม้ริมตลิ่งเราเดินผ่านร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกจำพวกเสื้อยืดและเสื้อผ้าชนเผ่าคะฉิ่นลงไปยังหาดทรายซึ่งมีร้านอาหารตั้งอยู่บนแพ  ไม่ไกลนัก ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเกือบสิบครอบครัวกำลังช่วยกันตักดินจากหลุมที่ขุดไว้ริมน้ำ กว้างประมาณ 2 เมตรและลึกเกือบเท่าตัวคน บ้างก็ใช้กระป๋องน้ำสาดโคลนลงไปยังตะแกรงที่ขึงอยู่บนเสาไม้ไผ่ โดยมีเครื่องมือที่ดัดแปลงจากเครื่องใช้ในบ้านไม่ว่าจะเป็น ตะกร้า กระบุง แกลลอนพลาสติก และขันน้ำวางอยู่รอบบริเวณ สิ่งที่ทำให้พวกเขา  สามารถเหยียบย่ำลงบนโขดหินด้วยเท้าเปลือยเปล่ากลางแดดจัดยามบ่ายเช่นนี้ก็คือ ‘ทองคำ’ ซึ่งก็นับว่าคุ้มค่ากับการลงแรง

รัฐคะฉิ่นเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรในผืนดิน ไม่ว่าจะเป็นหยกซึ่งพบมากทางใต้ ส่วนทางตอนบนเป็นแหล่งแร่ทองคำ ซึ่งบรรพบุรุษของชาวคะฉิ่นมีตำนานเล่าต่อกันมาว่า พระเจ้าผู้ก่อกำเนิด สิ่งทั้งปวงได้เทน้ำจากถ้วยด้วยมือทั้งสองข้าง น้ำที่เทด้วยมือขวาลงมาบน พื้นโลกกลายเป็นแม่น้ำมาลิขะ ซึ่งเป็นพี่ชายของแม่น้ำเมขะผู้เป็น น้องสาวที่พระเจ้าเทด้วยมือซ้าย และเนื่องจากแม่น้ำทั้งสองมาจาก ถ้วยทองคำ จึงมีแร่ทองคำปะปนอยู่จำนวนมาก

ในสมัยก่อนชาวคะฉิ่นจะไปร่อนทองกันในช่วงหน้าแล้งหลังการเพาะปลูก รวมทั้งเด็กๆ ก็มักจะไปร่อนทองหารายได้พิเศษในช่วงเย็นและสุดสัปดาห์ โดยใช้วิธีแบบดั้งเดิมพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่กันอย่างพอเพียง แต่หลังจากรัฐบาลเผด็จการพม่า (SLORC ในสมัยนั้น) เข้ายึดอำนาจปกครองประเทศเมื่อปี ค.ศ.1988 การกอบโกยทรัพยากรก็เริ่มขึ้น ประเทศพม่าที่เคยปิดตัวเองจากโลกภายนอกเริ่มเปิดให้ต่างชาติที่หิวกระหายเข้ามาลงทุนในประเทศโดยสามารถถือหุ้นในธุรกิจเหมืองแร่ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้ที่ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ โดยไม่ต้องออกแรงก็คือรัฐบาลพม่า เจ้าหน้าที่
องค์กรเอกชนคะฉิ่นในพื้นที่คนหนึ่งเปิดเผยว่า นักธุรกิจที่ต้องการขอใบอนุญาตทำเหมืองทองต้องจ่ายใต้โต๊ะถึง 100 ล้านจั๊ต(3.3 ล้านบาท) ต่อการทำสัญญาหนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มีระยะเวลา 2 – 4 ปี

นับตั้งแต่นั้นมา คนพื้นเมืองซึ่งเป็นเจ้าของผืนดินมาตั้งแต่บรรพบุรุษ กลายเป็นเพียงแรงงานรับจ้างในเหมืองแร่ของนายทุนต่างชาติที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลพม่า หรือไม่ก็ต้องร่อนหาทองจากเศษซากของก้อนหินที่เหลือทิ้งจากเหมืองทอง นอกจากนี้คนจากทุกที่ทั่วประเทศต่างมุ่งหน้ามาเป็นแรงงานในเหมืองโดยมีรายได้งามๆ เป็นสิ่งล่อใจยาเสพติดเริ่มแพร่ระบาดในหมู่คนงานเพื่อให้ทำงานได้นานขึ้นซึ่งหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยที่เจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจเพราะได้สินบนจากพ่อค้ายาเสพติด แต่ถ้าพ่อค้าเหล่านั้นเลิกกิจการ รายได้ของเจ้าหน้าที่ก็จะหดหายไปด้วย

“ถ้าผมยังขายยา(เสพติด)อยู่ เจ้าหน้าที่ไม่มายุ่งหรอก แต่ถ้า ผมหยุดเมื่อไหร่ละก็...” พ่อค้ายาเสพติดรายหนึ่งในรัฐคะฉิ่น เปิดเผยกับสำนักข่าวคะฉิ่น KNG(Kachin News Group) โดยทั่วไปเหมืองทองแต่ละแห่งมีอายุนับได้เป็นรายเดือนหรือนานที่สุดก็ประมาณ 2-3 ปี แล้วแต่ปริมาณทองที่ขุดพบซึ่งระยะเวลาค่อนข้างสั้น จึงต้องเสาะหาแหล่งใหม่ไปเรื่อยๆ ผืนดินในรัฐคะฉิ่นทั้ง บริเวณใต้น้ำ ริมฝั่งน้ำ หรือในป่า จึงถูกขุดขึ้นมาจำนวนมหาศาลเพื่อ ให้ได้มาซึ่งทองคำ ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์หลายแห่งถูกโค่นถางเพื่อเปิดหน้าดินให้กับเหมืองทอง ไม้จะถูกนำไปสร้างบ้านพักคนงาน ที่น่าสะเทือนใจกว่านั้นก็คือ ไม้ที่เหลือจะถูกเผาทิ้งราวกับของไร้ค่า

นอกจากนี้ หลังจากหมดระยะเวลาสัมปทานแล้ว เศษซากจากเหมืองทองคำไม่ว่าจะเป็นแพดูดทราย เครื่องขุดลอกทราย และถังน้ำมันที่ใช้เดินเครื่อง รวมไปถึงหลุมบ่อที่ขุดลึกลงไปในดิน จะถูก ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการจัดการหรือปรับสภาพผิวดินให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ซึ่งเหมืองทองนับพันแห่งได้ทำลายสภาพแวดล้อมของรัฐคะฉิ่น เสียหายเป็นบริเวณกว้าง ขณะที่บรรดานักธุรกิจต่างชาติก็พากันโกยเงินกลับประเทศ เหลือไว้เพียงธรรมชาติที่ถูกย่ำยีและผลกระทบไว้ให้คนในพื้นที่ต้องเผชิญต่อไป

“แม่น้ำในเวลานี้มีสภาพไม่ต่างจากกองขยะ มีคราบน้ำมัน เต็มไปหมด เมื่อก่อนแม่น้ำของเราใสสะอาดและมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่จำนวนมาก แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว” นี่คือเสียงของคนในพื้นที่ในรายงานชื่อ At what price, Gold Mining in Kachin State, Burma ที่เผยเบื้องลึก และผลกระทบของเหมืองทองคำในรัฐคะฉิ่น

ทว่า อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็คือ สารเคมีอันตรายที่นำมาใช้ ในการสกัดทองคำ อย่างสารปรอท คนที่ร่อนทองส่วนใหญ่สัมผัสสารเหล่านี้ด้วยมือเปล่าเพราะไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายเนื่องจากขาดความรู้และพิษที่ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะมีอาการเมื่อสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน นอกจากนี้ สารปรอทยังถูกปล่อยให้ปนเปื้อนในแม่น้ำโดยไม่มีการควบคุมอีกด้วย ในปัจจุบัน แหล่งน้ำในรัฐคะฉิ่นกว่า 10-15 เปอร์เซ็นต์ มีสารเคมีในปริมาณสูง โดยเฉพาะเมืองดาไนและตังเพรที่มีการทำเหมืองทองหลายแห่ง จึงทำให้ปลาและสัตว์น้ำมีจำนวนน้อยลงและส่วนที่เหลือก็อาจมีสารพิษปนเปื้อน ประชาชนบางส่วนที่พอทราบถึงอันตรายก็เริ่มหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาที่จับได้ในพื้นที่แล้ว

ในร้านอาหารบนแพริมมิตซงในยามบ่าย มีนักท่องเที่ยวเดินทาง มาใช้บริการจำนวนหนึ่ง ปลาย่างหอมกรุ่นตัวแล้วตัวเล่าถูกเสิร์ฟพร้อมกับเบียร์เย็นๆ ยี่ห้อท้องถิ่นอย่างไม่ขาดสาย ทว่า เนื้อปลาร้อนๆ รสนุ่มชุ่มลิ้น แท้จริงอาจเป็นยาพิษทำอันตรายถึงชีวิตโดยไม่รู้ตัว

เหมืองทองคำแต่ละแห่งแม้จะมีระยะเวลาดำเนินการเพียงไม่กี่ปี แต่สิ่งที่มันได้ทิ้งเอาไว้กับผู้คนและสิ่งแวดล้อม แม้เวลาจะ ผ่านไปหลายชั่วอายุคนก็อาจไม่มีวันเยียวยาให้กลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป

ในขณะที่แม่น้ำเมขะและมาลิขะ ต้นน้ำอิระวดีกำลังตกอยู่ใน สภาพที่ย่ำแย่ รัฐบาลพม่าก็กระหน่ำซ้ำเติมต้นน้ำแห่งนี้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า  “เขื่อน” โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของคนในพื้นที่

-2-

นับตั้งแต่ปี 2545 รัฐบาลได้เริ่มโครงการสร้างเขื่อนบนต้นน้ำมิตซง โดยต่อมาได้ส่งทีมสำรวจเข้าไปในพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมและในเดือนพฤษภาคม 2550 หนังสือพิมพ์เดอะ นิว ไลท์ ออฟ เมียนมาร์ กระบอกเสียงของรัฐบาลพม่าได้รายงานข่าวโครงการดังกล่าวเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยรัฐบาลทหารพม่าร่วมกับบริษัทจากประเทศจีน China Power Investment Corporation และ China Southern Power Grid Corperation (CSG)) เตรียมสร้างเขื่อนถึง 7 แห่ง บนแม่น้ำเมขะและมาลิขะ โดยเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโครงการ คือ เขื่อนมิตซง กำลังผลิตถึง 3,600 เมกกะวัตต์ โดยปราศจากการประเมิน ผลกระทบในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่

สำหรับชาวคะฉิ่น มิตซงนอกจากจะเป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำอิระวดีสายสำคัญของประเทศแล้วที่นี่ยังเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาเคารพนับถือซึ่งผูกพันกับวิถีชีวิตมาหลายชั่วอายุคนอีกด้วย บรรพบุรุษของชาวคะฉิ่นเชื่อกันว่า บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของมังกรและลูกมังกรในตำนานที่พวกเขานับถือ โดยมีความเชื่อว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้นน้ำถูกคุกคาม มังกรที่หลับใหลจะถูกปลุกให้ตื่น และเมื่อนั้นภัยพิบัติจะมาเยือน

มังกรในตำนานจะมีอยู่จริงหรือไม่ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่ถ้ามีการสร้างเขื่อน สิ่งที่จะตามมาแน่นอนคือ ประชาชนเรือนหมื่นจะไร้ที่อยู่อาศัยและสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิม หมู่บ้านกว่า 40 แห่งและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น โบสถ์เก่าแก่รวมถึงมิตซงจะจมอยู่ใต้น้ำ ความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำอิระวดีกำลังจะหายไป ระบบนิเวศน์จะเสียหาย ซึ่งปัจจุบันภูเขาหิมะแห่งเดียวในพม่าที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐคะฉิ่นเริ่มมีปริมาณหิมะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโครงการสร้างเขื่อนอาจทำให้ภูเขาหิมะกลายเป็นเพียงตำนานในไม่ช้า นอกจากนี้เขื่อนมิตซงเสี่ยงต่อการพังทลายจากแผ่นดินไหว เพราะจุดก่อสร้างอยู่ห่างจากรอยเลื่อนของเปลือกโลกไม่ถึงร้อยกิโลเมตร สิ่งเหล่านี้คือหายนะที่ชาวบ้านกำลังหวาดกลัว

จดหมายและแถลงการณ์คัดค้านฉบับแล้วฉบับเล่า ทั้งจาก ประชาชน ผู้นำทางศาสนา กองกำลังคะฉิ่น รวมถึงกลุ่มสิ่งแวดล้อมและ สิทธิมนุษยชนถูกส่งไปยังผู้นำรัฐบาลพม่าและบริษัทที่ร่วมดำเนินการโดยระบุถึงความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ สำหรับรัฐบาลพม่า จดหมายเหล่านั้นมีค่าเพียงเศษกระดาษที่ถูกทิ้งโยนลงถังขยะ โดยโครงการยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ ผืนป่าต้นน้ำถูกโค่นเพื่อเคลียร์พื้นที่และลักลอบขนไม้ออกไปยังชายแดนจีน

รัฐบาลพม่าเริ่มเปิดประตูรับแรงงานจากประเทศจีนให้เดินทางเข้ามาในพื้นที่เรื่อยๆ บนเส้นทางจากตัวเมืองมิตจีนาไปยังมิตซงจึงมีสำนักงานและบ้านพักเจ้าหน้าที่ผุดขึ้นมาให้เห็น โดยขึ้นป้ายเป็นภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ และมีภาษาจีนกำกับ แต่ไม่มีภาษาคะฉิ่น ขณะที่ประชาชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ซึ่งมีจำนวนกว่า 15,000 คนจากกว่า 60 หมู่บ้าน กลับถูกผลักไสให้ออกจากบ้านเกิด แม้มีการเอ่ยถึงค่าชดเชยแต่จากโครงการพัฒนาในอดีตที่ผ่านมา ประชาชนแทบไม่ได้รับตามที่ตกลง และเงินจำนวนนั้นคงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พวกเขาต้องสูญเสีย

หมู่บ้านตังเพร(Tang Hpre) เป็นหนึ่งหมู่บ้านจำนวน 60 แห่งที่ชาวบ้านถูกบังคับให้ย้ายออก หมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์คาทอลิกแห่งแรกของชาวคะฉิ่นที่เปลี่ยนจากการนับถือภูตผีวิญญาณมานับถือศาสนาคริสต์ หากมีการสร้างเขื่อน โบสถ์แห่งนี้ที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของชาวคะฉิ่นจะจมหายอยู่ใต้น้ำ ปลายปี 2550 ทหารพม่า กองพัน 121 ได้เข้ามายังพื้นที่ โดยยึดห้องสมุดในหมู่บ้านตังเพรเป็นฐานที่มั่นเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับโครงการสร้างเขื่อน ทหาร
เหล่านั้นได้คุกคามชาวบ้านด้วยการรีดไถเงิน หยิบฉวยของในร้านค้าแม้แต่สัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ตามอำเภอใจ เพื่อกดดันให้ชาวบ้านย้ายออกไป

แม้ไม่อาจตอบโต้ด้วยกำลัง แต่ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนก็ไม่อาจนิ่งเฉยและมองดูหายนะเกิดขึ้นได้ ในเดือนตุลาคม 2552 หญิงคะฉิ่นวัยกลางคน ตัวแทนกลุ่มแม่บ้านตังเพร ได้ลุกขึ้นพูดต่อหน้า นายพลโซวิน ผบ.ทหารพม่าภาคเหนือในการประชุมชาวบ้านที่จัดขึ้นใกล้กับมิตซงโดยไม่เกรงกลัวอำนาจ

“...พวกเราอยู่ที่นี่มากว่า 100 ปีแล้ว...เราไม่สามารถเอาไร่นาไปด้วยได้ถ้าต้องไปอยู่ที่อื่น และต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรับ พื้นที่ให้เพาะปลูกได้ซึ่งก็อาจผลิตได้ไม่มากเท่าเดิม อาหาร ทุกอย่างเราต้องซื้อ พวกเราเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและการศึกษา พวกเราไม่ต้องการย้ายออกไป ขอร้องให้ท่านนำเรื่องที่เรากังวลให้รัฐบาลที่เนย์ปีดอว์กลับไปพิจารณาด้วย”

เมื่อประโยคสุดท้ายจบลง เพื่อนบ้านต่างปรบมือชื่นชมในความกล้าหาญของเธอ ซึ่งในพม่า มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าแสดงความคิดเห็นคัดค้านเผด็จการทหารซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ ทว่า สองเดือนต่อมา เสียงปรบมือ ดังกึกก้องอีกครั้งที่นี่ แต่ครั้งนี้กลับแฝงไปด้วยความขื่นขม

วันที่ 21 ธันวาคม 2552  มีการจัดพิธีเปิดโครงการสร้างเขื่อนมิตซงอย่างเป็นทางการ ชาวบ้านจำนวนหลายร้อยคนถูกเกณฑ์ไปร่วมและถูกบังคับให้ปรบมือต้อนรับตัวแทนจากรัฐบาลพม่าและบริษัทจีนที่กำลังจะทำลายวิถีชีวิตของพวกเขาในอีกไม่ช้า

ปัจจุบัน แม้ชาวบ้านในพื้นที่จะยังคงอยู่ในหมู่บ้าน แต่หลายคนก็ถูกเจ้าหน้าที่บังคับให้ลงชื่อในสัญญาที่ระบุว่าจะย้ายออกไปในเร็วๆนี้ขณะที่การก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำเมขะและมาลิขะ รวมถึงเขื่อนมิตซงยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2560 และเมื่อ โครงการเสร็จสมบูรณ์ ไฟฟ้าทั้งหมดที่แลกมาด้วยผืนป่าและชีวิตผู้คนนับหมื่นจะถูกขายให้กับประเทศจีน โดยคาดการณ์ว่าจะสร้างกำไรให้กับรัฐบาลทหารพม่าถึง 500 ล้านดอลลาร์(16,500 ล้านบาท) อ่องวา ผู้อำนวยการกลุ่มเครือข่ายพัฒนาคะฉิ่น (KDNG) ชี้ว่ารายได้จำนวนนี้จะทำให้รัฐบาลทหารพม่าร่ำรวยขึ้น เป็นการเสริมอำนาจให้พวกเขากดขี่ข่มเหงประชาชนได้มากขึ้น สถานการณ์ในพม่าที่ย่ำแย่อยู่แล้วก็จะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

สำหรับเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย แม้แม่น้ำอิระวดีไม่ได้ไหลผ่าน หลายคนจึงคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่อ่องวากลับเห็นว่า ผลกระทบที่เกิดจากเขื่อนมิตซงจะผลักดันให้ประชาชนอพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องเตรียมรับมือกับแรงงานอพยพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ เขายังมองว่าผลกระทบจากเขื่อนมิตซงไม่ได้หยุดอยู่แค่ชาวคะฉิ่นหรือประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมโลกที่หลายประเทศให้ความสนใจด้วย


“ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของ ‘ฉัน’หรือ ‘เธอ’แต่เป็น ปัญหาของ ‘เรา’ เพราะเราอาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกัน การทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน ย่อมส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลกใบนี้”

ช่วงขากลับ รถแวนของเราจอดขวางอยู่หน้าร้านขายของที่ระลึกเนื่องจากยางแบน คนขับรถต้องใช้เวลาพอสมควรในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าด้วยที่สูบลมจักรยาน มันอาจจะทำให้การเดินทางล่าช้า แต่ก็เป็นโอกาสให้เราได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานขึ้นเพราะสบน้ำมิตซง หัวใจของชาวคะฉิ่นที่อยู่เบื้องหน้าเราในขณะนี้ อาจจะจมหายอยู่ใต้น้ำไปตลอดกาล ซึ่งเป็นสิ่งที่เราและชาวคะฉิ่นต่างภาวนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า ‘ขออย่าให้เกิดขึ้นเลย’

http://picasaweb.google.com/salween.photo/gdSBI?feat=embedwebsite#slideshow/5477066029118285714