โดย วรลักษณ์ สงวนแก้ว
หนึ่งในผลงานที่ได้รับคัดเลือกจากการประกวดเรื่องเล่าในโครงการ "เพื่อนจากชายแดนตะวันตก"
เสียงสาวน้อยแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษอย่างฉะฉานใน การฝึกอบรมหลักสูตร “การจัดทำรัฐธรรมนูญสำหรับภูมิภาค เอเชีย” ซึ่งจัดโดยองค์การสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาประจำ ประเทศไทย หน้าตาของเธอคมคายใกล้เคียงกับคนไทยมาก เมื่อ ดูจากรายชื่อของผู้เข้ารับการฝึกอบรม ถึงรู้ว่าเธอเป็นตัวแทน จากประเทศพม่า
“สวัสดีค่ะพี่ หนูพูดไทยได้นะคะ” สาวน้อยผู้นั้นทักทายผู้เขียนขณะรับประทานอาหารกลางวันในวันแรกของการฝึกอบรม ผู้เขียนจึงชมเธอไปว่า “เป็นชาวพม่าแต่พูดไทยได้ชัดถ้อยชัดคำจังเลย” เธอตอบว่า “หนูเป็นชาวไทใหญ่ค่ะ สายเลือดใกล้เคียงกับคนไทยนี่แหละ” การสื่อสารภาษาเดียวกันทำให้เราสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น
ในงานเลี้ยงรับรองตอนค่ำผู้จัดงานเลือกที่จะให้ผู้เข้ารับการอบรมร่วมรับประทานอาหาร แบบไทยๆ โดยการล่องเรือริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รถตู้มุ่งหน้าตรงไปยังท่าเรือ ถนนจรัลสนิทวงศ์ซึ่ง เป็นท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ยิงหลาววิ่งเข้ามาคุยกับผู้เขียน พวกเราสองคนเลือกนั่งโต๊ะท้าย ขบวนเรือ ซึ่งสามารถรับลมเย็นๆ จากแม่น้ำได้ เธอเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ ประเทศพม่า และการต่อสู้เพื่อสันติภาพให้ผู้เขียนฟังโดยละเอียดว่า ประเทศพม่าเป็นดินแดนแห่ง ชาติพันธุ์ สองในสามเป็นชาวพม่าโดยเชื้อสาย ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ และมีประชากร อีกหนึ่งในสามเป็นชนกลุ่มน้อยหลายเผ่าพันธุ์ โดยจะอาศัยอยู่ในรัฐชนบทห่างไกลจากลุ่มแม่น้ำ อิระวดี แต่ชนชาติที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์พม่ามีเพียง 4 ชนชาติ คือ มอญ พม่า ยะไข่ และฉาน (ไทใหญ่) ปัจจุบันไทใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐฉานเป็นส่วนมาก และมีบางส่วนได้กระจัดกระจายสู่ฟาก ตะวันตกของแม่น้ำอิระวดีตอนบน
เธอเล่าด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า ก่อนที่พม่าจะตกเป็น อาณานิคมของอังกฤษทั้งประเทศนั้น พม่าได้ทำสงครามกับอังกฤษถึง 3 ครั้ง ต้องเสียดินแดนทั้งประเทศพร้อมกับการล่มสลายของ ราชบัลลังก์พม่าหลังจากแพ้สงครามกับอังกฤษในครั้งที่สาม พม่า ได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1948 และปกครองในระบอบประชาธิปไตย อยู่ระยะหนึ่งราว 14 ปี ในระยะนั้นพม่าประสบกับปัญหาชนกลุ่มน้อย ภัยคอมมิวนิสต์ และความไม่ลงรอยกันของนักการเมือง จนเป็นเหตุ ให้กองทัพเข้ายึดอำนาจ แล้วหันมาใช้ระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม (แบบพรรคเดียว) เป็นเวลานานราว 26 ปี จนกระทั่งพม่าเกิดวิกฤตทาง การเมืองอันเนื่องจากความล้มเหลวของระบอบสังคมนิยมและ การเรียกร้องประชาธิปไตยรัฐบาล หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ SLORC ได้ทำการยึดอำนาจอีกครั้ง พร้อมกับประกาศยกเลิกระบบ เศรษฐกิจสังคมนิยม และหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจกลไกตลาดแทน อีกทั้งยังได้ให้สัญญากับประชาชน แต่จนถึงทุกวันนี้แม้จะมีการปฏิรูปการ ปกครองในรูปแบบต่างๆ สถานการณ์ก็มีทีท่าไม่สู้ดีนัก บ้านเมืองของเรา ยังอยู่ในสภาวะของสงครามกลางเมือง มีการสู้รบกันภายในอยู่บ่อยครั้ง ประชาชนอยู่ด้วยความหวาดหวั่นตลอดเวลา
เธอและครอบครัวจึงตัดสินใจอพยพจากประเทศพม่า และเข้ามา อาศัยในประเทศไทยเป็นเวลาเกือบ 7 ปีแล้ว ขณะนั้นเธอมีอายุเพียง 17 ปี เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมตอนปลาย เธอและครอบครัวต้อง เดินทางจากชายแดนพม่าเข้ามายังฝั่งชายแดนไทยเป็นระยะทางไกล แสนไกล ฝนตกฟ้าร้องก็ต้องกางเต็นท์นอนพักกลางทาง สาเหตุหลักในการอพยพมายังประเทศไทย เพราะมีความฝันว่า อยากจะมีอนาคตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ และทนเห็นรัฐบาลทหารเผด็จการ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของพลเมืองพม่าไม่ไหว เธอเล่าว่า ยังมีเด็กพม่าอีก หลายชีวิตที่โชคร้ายกว่าเธอ บางคนลืมตาดูโลกขึ้นมาก็เห็นแต่รั้ว ลวดหนาม อาศัยอยู่ในบริเวณแคบๆ ในค่ายผู้ลี้ภัยซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ชายแดนไทย-พม่า ไม่สามารถไปไหนมาไหนอย่างอิสระ ต้องใช้ชีวิตและ ทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ภายในค่ายผู้ลี้ภัย อีกทั้งในบางครั้งยังต้องทนกับการ กดขี่ข่มเหงของผู้ลี้ภัยในค่ายด้วยกันเอง เช่น การล่วงละเมิดทางเพศ เธอ ฝันอยากให้พม่าสงบสุขในเร็ววัน ถึงแม้จะเป็นไปได้ยากก็ตาม
ปัจจุบันเธอเป็นสมาชิกของสมาคมสตรีพม่ารัฐฉาน และเป็นหนึ่ง ในสมาชิกทีมงานของรัฐฉานในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญของพม่า อีกทั้งยังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนพม่าแห่งหนึ่งด้วย ถึงแม้ว่าค่า ตอบแทนจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับมนุษย์เงินเดือนคนอื่นๆ แต่ก็อยากทำ เพี่อพี่น้องชาวพม่า และชอบที่จะทำงานในลักษณะอาสาสมัครเพื่อ สังคม
สายลมเอื่อยๆ พัดมาตรงท้ายขบวนเรือ แสงจันทร์สาดส่องไป ยังพระบรมมหาราชวังและเจดีย์ภูเขาทอง ช่างงดงามยิ่งนัก ผนวกกับ เรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของยิงหลาว ทำให้ผู้เขียนรู้สึกราวกับเข้าไป อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ เมื่อถามถึงอนาคตหรือแผนการศึกษาของเธอ ว่าอยากจะทำอะไรต่อไป เธอบอกว่า
“หนูฝันที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่ง สันติภาพ ในสาขารัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง เผื่อทว่าถ้าในอนาคตสถานการณ์ในประเทศดีขึ้นแล้ว ก็จะกลับไปพัฒนาบ้านเกิด เมืองนอนของตนเอง”
พูดถึงเรื่องการเรียนต่อต่างประเทศแล้ว มันทำให้หลายๆ คนอด สงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดภาษาอังกฤษของเธอจึงอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แถมยังมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอีกด้วย ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเรียนในระดับชั้นปริญญา ตรีเลย เธอเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เธอสอบชิงทุนอบรมสำหรับผู้อพยพซึ่ง จัดสรรโดยมูลนิธิจากต่างประเทศ เพื่อให้ผู้อพยพได้มีโอกาสไปเรียน ในหลักสูตรระยะสั้นๆ อาทิ หลักสูตรสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพ การเมืองการปกครองขั้นพื้นฐาน ในประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น เธอยังเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา สามารถสอนอะไร ให้กับเรามากกว่าการเรียนในระบบเสียอีก การต่อสู้ชีวิตมันทำให้จิตใจ นั้นแข็งแกร่ง สามารถต่อสู้กับปัญหาที่เข้ามาในชีวิตได้ทั้งมวล จนสามารถ สอบผ่านในหลักสูตร “มหาวิทยาลัยชีวิต” ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากการล่องเรือรับประทานอาหารเย็นริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา ในวันนั้น ผู้เข้ารับการอบรมก็ต้องเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรที่ทางผู้จัดงานได้เตรียมไว้ การอบรมเน้นเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้เข้า รับการอบรมมาก หลายครั้งที่ผู้เข้ารับการอบรมที่มาจากประเทศเดียวกัน จะต้องทำงานร่วมกัน เพื่อนำเสนอถึงสภาพปัญหาของกระบวนการ จัดทำรัฐธรรมนูญในประเทศตน ยิงหลาวเห็นใจผู้เขียนที่ในบางครั้ง จะต้องทำกิจกรรมดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากผู้แทนจาก ประเทศไทยอีกท่านหนึ่งได้ถอนตัวไปแล้ว
“มาอยู่กลุ่มพม่าไหมคะพี่ พี่ลองมาเป็นชาวพม่า ด้วยกันไหม” เสียงใสๆ ของสาวน้อยผู้นี้แสดงถึงความรักและจริงใจ ที่เธอมีให้กับผู้เขียน ยิงหลาวพาผู้เขียนไปทำความรู้จักกับผู้เข้า รับการอบรมชาวพม่าอีก 4 ท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ แต่ละท่านเป็นผู้นำการต่อสู้ทางการเมืองประเทศพม่า บางท่านลี้ภัยไป ใช้ชีวิตอยู่ในทวีปยุโรปจนได้ดิบได้ดี บางท่านก็ยังถือสถานะผู้ลี้ภัยออก เดินทางเผยแพร่ประชาธิปไตยยังบริเวณชายป่าในประเทศพม่า พวกเขา ได้มอบของที่ระลึกให้กับผู้เขียน เป็นหนังสือเรื่องกระบวนการสร้างชาติ และการต่อสู้เพื่อสันติภาพในประเทศพม่า ซึ่งเป็นหนังสือที่มีคุณค่าและ ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป ยามว่างหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละวัน พวกเรามักจะนั่ง รถไฟฟ้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในกรุงเทพฯ ยิงหลาวอาศัย อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อมีโอกาสมากรุงเทพฯเธอจึงอยากที่จะจับจ่ายซื้อของอย่างเต็มที่
“พี่พาหนูไปที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนหน่อย ซิคะ หนูอยากจะดูว่า มันเป็นความภาคภูมิใจของชาวกรุงเทพฯ อย่างที่สื่อมวลชนเขาโฆษณาจริงหรือไม่” เมื่อเข้าไปยังบริเวณตัวห้าง พวกเราทั้งสองคนก็ตะลึงกับ ความยิ่งใหญ่อลังการของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ยิงหลาวพูดขึ้นว่า
“ทุกวันนี้สังคมไทยมีสภาพเหมือนเบ้าหลอมทางวัฒนธรรม หรือที่ในภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Melt pot คนไทยเป็นชาติที่รับ วัฒนธรรมต่างชาติได้ง่ายมาก และสามารถสร้างเป็นกระแส สังคมได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นสิ่งที่ควรตระหนักก็คือ เราจะ ทำอย่างไร จึงจะสามารถรักษาเอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทย ให้ธำรง อยู่ได้ในกระแสอันเชี่ยวกรากของโลกาภิวัตน์”
“ถ้าหนูมีโอกาสได้พูดคุยกับเยาวชนไทย หนูอยากจะบอกกับ พวกเขาว่า ขอให้พวกเขาจงมีความภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย ประเทศ ไทยเป็นประเทศสงบสุข มีความสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต้องหวาดกลัว และหนีภัยสงคราม เหมือนกับประชาชนชาวพม่า”
วันสุดท้ายของการฝึกอบรม ผู้จัดงานได้ให้ตัวแทนผู้เข้ารับการ อบรมจากประเทศต่างๆ กล่าวถึงความประทับใจ และความเป็นไปได้ใน การนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปพัฒนาประเทศของตนเอง เพื่อนๆ ชาวพม่าได้คัดเลือกให้ยิงหลาวเป็นตัวแทนจากพม่าในการกล่าวปิด การอบรมในครั้งนี้
ห้องประชุมเงียบกริบ สายตาทุกคู่ในที่ประชุมจับจ้องไปที่เธอ และประโยคที่ทำให้ทุกคนในห้องประชุมต้องซาบซึ้งจนน้ำตาไหลก็คือคำกล่าวที่ว่า
“เมื่อการอบรมหลักสูตรนี้จบลง ทุกท่านคงต้องเดินทางกลับ ประเทศ และกลับไปทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิม นำความรู้ไปใช้ กับองค์กรของตน และพัฒนาระบบงานทางด้านการจัดทำ รัฐธรรมนูญในประเทศของท่าน แต่สำหรับผู้เข้ารับการอบรมชาว พม่าที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ บางท่านต้องกลับเข้าไปอยู่ ในป่าต่อไป เนื่องจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญของเรานั้น แตกต่างจากประเทศของท่าน กล่าวคือ เราจัดทำรัฐธรรมนูญในป่า นอกประเทศพม่า เป็นการร่างรัฐธรรมนูญแบบพลัดถิ่น โดยมีศูนย์ ประสานงานหลักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะทำ การยกร่างเหมือนในประเทศของท่าน ทั้งนี้เราได้จัดทำรัฐธรรมนูญ คู่ขนานไปกับคณะปฏิวัติในพม่า ขณะนี้การจัดทำสำเสร็จสิ้นแล้ว และกำลังรณรงค์ ให้มีผลบังคับใช้ ถึงแม้ว่าจะถูกรัฐบาลทหารพม่า คัดค้านอย่างรุนแรงก็ตาม แต่พวกเราในนามของชาวพม่าก็รู้สึก ดีใจเหลือเกินที่มีโอกาสได้มาพบพวกท่าน พวกท่านทุกคน คือ คนพิเศษของเรา และจะเป็นคนที่เราจะนึกถึงเป็นคนแรกเมื่อ ร่างรัฐธรรมนูญของเรามีผลบังคับใช้ พวกเราจะส่งให้พวกท่าน ได้อ่านก่อนเป็นกลุ่มแรก”
ค่ำคืนนั้นผู้เข้ารับการอบรมทุกคนไม่สดใสร่าเริงเหมือนในวัน แรกๆ เนื่องจากเวลาที่แต่ละคนจะต้องจากกันไปนั้นได้เข้าใกล้มาทุกที แล้ว ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียง 2 อาทิตย์ที่พวกเราได้มีโอกาสทำกิจกรรม ร่วมกัน แต่มันก็นานพอที่จะสร้างมิตรภาพได้ ก่อนที่ยิงหลาวจะ เดินทางกลับ ผู้เขียนชนแก้วไวน์กับเธอพร้อมกล่าวว่า “พี่ขอให้สันติภาพในประเทศพม่าจงบังเกิดขึ้นในเร็ววันนี้นะคะ” เธอกล่าวกับผู้เขียนด้วยถ้วยคำที่คนไทยทุกคนก็คงอยากจะได้ยินเช่นกัน “ขอให้ไฟใต้ในไทยดับเร็วๆ ขอให้ความสงบสุขจงกลับคืนมาในดินแดนสี่จังหวัดของภาคใต้นะคะ”
พวกเรากอดคอกันน้ำตาไหลพร้อมกับร่วมสัญญาว่า จะไม่ลืม มิตรภาพที่เคยมีให้แก่กัน