อัญมณีในพม่า ขุมทรัพย์กลางสนามรบ

โดย ธันวา สิริเมธี



อาจกล่าวได้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพม่าโชคดีที่เกิดมาบนแผ่นดินที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทั้งบนดินและใต้ดิน แต่ขณะเดียวกันก็โชคร้ายที่มิอาจได้ครอบครองผลประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้นตามสิทธิของผู้เป็นเจ้าของ เพราะทรัพยากรล้ำค่าเหล่านี้ได้กลายเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนภายนอกยกทัพเข้ามารุกรานเพื่อครอบครองขุมทรัพย์ของพวกเขา ยิ่งขุมทรัพย์แห่งใดมีสมบัติล้ำค่ามากเท่าไหร่ ที่นี่ก็ยิ่งกลายเป็น “สนามรบ” ระหว่างเจ้าของพื้นที่และผู้รุกรานจากภายนอกมากขึ้นเท่านั้น


รัฐคะฉิ่น ดินแดนแห่งหยก
.
ณ รัฐคะฉิ่น ดินแดนเหนือสุดของประเทศพม่ารอยต่อชายแดนจีนและอินเดีย ใต้ผืนดินแห่งนี้มี “หินสีเขียว” (Jade) หรือคนไทยเรียกว่า “หยก” คุณภาพดีที่สุดในโลกฝังตัวอยู่มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล สีเขียวของหยกจากดินแดนแห่งนี้ไล่เรียงเฉดตั้งแต่เขียวอ่อนไปจนถึงเขียวเข้ม เนื้อหยกละเอียดสะท้อนกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน บรรดานักค้นหาหยกในอดีตจะลงมืดขุดหาหยกในคืนที่แสงจันทร์ส่องไปทั่วฟ้าเพื่อให้หยกสะท้อนกับแสงจันทร์ ชาวคะฉิ่น ผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินผืนนี้มานานหลายชั่วอายุคนมองเห็นหินสีเขียว เหล่านี้จนชินตา แต่สำหรับคนภายนอกโดยเฉพาะชาวจีน ชนชาติที่มีความเชื่อเกี่ยวกับหยกมากที่สุดกลับรู้สึกตื่นตาตื่นใจเมื่อได้ค้นพบแหล่งหยกล้ำค่าในรัฐคะฉิ่น และยอมเสี่ยงตายเพื่อเข้าไปตามหาก้อนหินสีเขียวเหล่านี้

ชาวจีนเริ่มล่วงรู้ว่ารัฐคะฉิ่นมีขุมทรัพย์หยกล้ำค่าซ่อนอยู่เป็นครั้งแรกประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13 เมื่อพ่อค้าชาวจีนซึ่งเดินทางเข้าไปค้าขายในพื้นที่ชาวคะฉิ่นบังเอิญหยิบก้อนหินสีเขียวก้อนหนึ่งจากป่าข้างทางขึ้นมาใช้ห้อยถ่วงน้ำหนักบนหลังของล่อเพื่อทดแทนน้ำหนักของสินค้าที่ขายไปแล้วในช่วงขากลับ เมื่อกลับถึงบ้านเขาจึงพบว่า หินก้อนนั้นคือหยกคุณภาพดีที่เขาไม่เคยพบเห็น มาก่อน หลังจากข่าวนี้เลื่องลือออกไป บรรดาพ่อค้าชาวจีนและนักแสวงโชคทั้งหลายจึงพากันเดินทางเข้าไปในรัฐคะฉิ่นเพื่อตามหาแหล่งกำเนิดหยกล้ำค่า แต่พวกเขาก็ไม่สามารถค้นหาคำตอบที่ต้องการได้ เพราะชาวคะฉิ่นเจ้าของพื้นที่ไม่มีใครยอมบอกความลับเหล่านี้

หลังจากนั้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14 รัฐบาลยูนนานได้พยายามส่งนักสำรวจเข้าไปอีกครั้ง แต่คณะสำรวจต่างเสียชีวิตด้วยเชื้อมาเลเรียไปก่อนที่จะค้นพบขุมทรัพย์ที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการต่อสู้จากชนเผ่าพื้นเมืองในรัฐคะฉิ่นซึ่งมีชื่อเสียง มากในด้านการรบ ความตายจากเชื้อมาเลเรียและสงครามได้สร้างความหวาดกลัวให้กับนักแสวงโชคจากเมืองจีนมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่วัดแห่งหนึ่งในประเทศจีนชื่อว่า “Amarapua” ได้บันทึกรายชื่อพ่อค้ามากกว่า 6,000 คนที่เดินทางเข้าไปทิ้งชีวิตระหว่างการค้นหาขุมทรัพย์ในรัฐคะฉิ่น รายชื่อผู้เสียชีวิตเหล่านี้เป็นเพียงรายชื่อของพ่อค้าที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสังคมยุคนั้นเท่านั้น ยังไม่นับพ่อค้าตัวเล็กๆ ที่เดินทางเข้าไปค้นหาสมบัติและไม่ได้กลับมาอีกจำนวนไม่น้อย

ความลับของขุมทรัพย์หยกในรัฐคะฉิ่นเริ่มเปิดเผยสู่คนภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากชนชาติพม่าได้ขยายอาณาจักรเข้าไปในรัฐคะฉิ่นและดินแดน

กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในปี พ.ศ. 2327 พม่ากับจีนได้เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า คำตอบที่ชาวจีนรอคอยมานานหลายศตวรรษจึงได้รับการเปิดเผยว่า แหล่งหยกอันล้ำค่าที่ชาวจีนหลายพันคนนำชีวิตไปทิ้ง ไว้ระหว่างทาง คือ แผ่นดินบนฝั่งขวาของแม่น้ำอูรุ (Uru)นั่นเอง โดยบริเวณที่มีหยกงดงามที่สุด คือ บริเวณที่มีชื่อว่า “ผากั้น” (Phakan)ห่างจากกรุงมัณฑะเลย์ไปทางทิศเหนือ 420 กม.

หลังจากกษัตริย์พม่าแผ่อิทธิพลเข้าไปในรัฐคะฉิ่น ราชสำนัก พม่าได้พุ่งความสนใจไปที่เหมืองหยกในรัฐคะฉิ่นทันที โดยในปี พ.ศ. 2349 ได้ตั้งสำนักงาน “Burmese Collectorat” ขึ้นที่เมืองมูกอง (Mogaung) มีหน่วยคุ้มกัน 30

คนจากกองทัพพม่าประจำอยู่ที่เหมือง เจ้าฟ้าคะฉิ่นต้องคอยดูแลรับรองเจ้าหน้าที่จากราชสำนักพม่าที่ส่งมาควบคุมรัฐคะฉิ่นเหล่านี้อย่างดี

ปัจจุบัน เมืองมูกองจัดเป็นศูนย์กลางการซื้อขายหยกที่สำคัญ โดยหยกจากเหมืองต่างๆ จะถูกนำมาขายให้กับพ่อค้าคนกลางที่ตลาดแห่งนี้ หลังจากนั้นจึงถูกส่งไปขายยังประเทศจีนและประเทศอื่นๆ เพราะชาวจีนรุ่นหลังเลือกรอซื้อหยกที่พ่อค้านำออกมาจากรัฐคะฉิ่นมากกว่าการเสี่ยงชีวิตเข้าไปเอาหยกออกมาจากเหมืองด้วยตนเอง

ในช่วงที่ราชสำนักพม่าเข้ามาดูแลเหมืองหยกในยุคแรก ๆ ชาวคะฉิ่นยังสามารถขุดหาหยกมาขายในตลาดแห่งนี้โดยไม่ต้องเสียภาษี การเก็บภาษีจะเกิดขึ้นหลังจากสินค้าถูกขนส่งออกจากตลาดมูกองเท่านั้น แต่ในเวลาต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2409 ราชสำนักพม่าเริ่มเปลี่ยนแปลงระบบการเก็บภาษีใหม่ โดยส่งคน จากราชสำนักมาดูแลเก็บภาษีในพื้นที่มากขึ้น ชาวคะฉิ่นจึงเกิดความรู้สึกไม่พอใจกษัตริย์พม่าที่เข้ามาควบคุมผลประโยชน์ต่างๆ ในพื้นที่ของตนมากเกินไป

หลังจากอาณาจักรพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2429 ผู้เข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากขุมทรัพย์ เหล่านี้จึงเปลี่ยนมือจากพม่ามาเป็นอังกฤษ หลังจากหมดยุคอาณานิคมอังกฤษ กองทัพคะฉิ่น KIA (Kachin Independent Army) ก็ลุกขึ้นมาขับไล่กองทัพพม่าซึ่งพยายามเข้ามาหาผลประโยชน์จากรัฐคะฉิ่นต่อไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2537 กองทัพ คะฉิ่นตกลงเจรจาหยุดยิงกับกองทัพพม่า และทำการแบ่งสรรผลประโยชน์จากเหมืองหยกและทรัพยากรต่างๆ กับรัฐบาลทหารพม่า โดยเปิดโอกาสให้บริษัทจากจีนและกลุ่มนักธุรกิจต่างๆ เข้ามาสัมปทาน ทำให้ปริมาณของหยกในรัฐคะฉิ่นลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว

โมก๊อกและเมืองสู้ แหล่งพลอยหลากสี

มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนสมัยที่อาณาจักรไทยใหญ่ยังปกครองด้วยระบบเจ้าฟ้า นักล่าสัตว์ชาวไทยใหญ่สามคนได้ค้นพบแหล่งทับทิม (Ruby) หรือ “หินสีแดง” ที่สวยที่สุดในโลกด้วยความบังเอิญ หลังจากที่พวกเขาหลงทางในป่าและสร้างที่พักใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขามองเหลือบไปเห็นก้อนหินสีแดงสวยสดมากมายปะปนอยู่ในดินที่ไหลลงมาจากภูเขาใกล้ๆ พวกเขาจึงนำหินสีแดงที่พบกลับไปมอบให้เจ้าฟ้าเมืองมีด ซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดในดินแดนแถบนั้น หลังจากนั้นเจ้าฟ้าจึงสั่งให้สร้างหมู่บ้านขึ้นบริเวณนั้นและเริ่มใช้แรงงานคนขุดเอาหินสีแดงขึ้นมาใช้เป็นเครื่องประดับและเครื่องบรรณาการ บริเวณที่ค้นพบหินสีแดงเหล่านี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยใหญ่ว่า “เมืองกึ้ด”ตามลักษณะภูมิประเทศ ซึ่งหมายถึง สายน้ำที่ไหลผ่านภูเขาด้านหนึ่งและโผล่ออกอีกด้านหนึ่ง

ในเวลาต่อมา เจ้าฟ้าไทยใหญ่แพ้สงครามกับกษัตริย์พม่า เมืองกึ้ดจึงตกเป็นของราชอาณาจักรพม่า และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นภาษาพม่าว่า“โมก๊อก”ปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองภาคมัณฑะเลย์ ที่ตั้งของเหมืองแห่งนี้อยู่ห่างจากกรุงมัณฑะเลย์ไปทางทิศเหนือประมาณ 200 กม.

ราชวงศ์กษัตริย์พม่านิยมสวมใส่ทับทิมจากเหมืองโมก๊อกเป็นเครื่องประดับ โดยเฉพาะเวลาพบปะแขกบ้านแขกเมือง ทับทิมเม็ดงามที่สุดมักจะได้ขึ้นมาอวดโฉมบนเครื่องแต่งกายของกษัตริย์พม่า บรรดาแขกบ้านแขกเมืองที่พบเห็นต่างชื่นชมในความงดงามและอยากได้ไว้ครอบครอง จนเลื่องลือกันว่า จักรพรรดิจีนเคยเสนอยกเมืองหนึ่งให้เพื่อแลกกับทับทิมเม็ดงามที่กษัตริย์พม่าในสมัยราชวงศ์พุกามกำลังสวมใส่อยู่เลยทีเดียว

บรรดานักเดินทางและพ่อค้าชาวยุโรปที่เข้าไปเยือนพม่ายุคแรกๆ ช่วงคริสต์ศตวรษที่ 14 ต่างกลับไปรายงานถึงความงาม ของทับทิมและอัญมณีอื่นๆ จากเหมืองโมก๊อกมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้กระทั่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ก็ยังหาซื้อทับทิมจากเหมืองโมก๊อกไปเก็บสะสมไว้เช่นกัน

เรื่องร่ำลือเกี่ยวกับความงามของทับทิมจากโมก๊อกที่เล่ากันต่อมาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ทับทิมเม็ดงามขนาด 80 กะรัตซึ่งถูกค้นพบในช่วงคริสต์วรรษที่ 17 โดยชาวบ้านชื่องาม็อก(Nga Mauk) เขาได้ถวายทับทิมเม็ดนี้ให้กับกษัตริย์พม่าในเวลานั้น ทับทิมเม็ดนี้จึงถูกเรียกว่า“ทับทิมงาม็อก” ตามชื่อของเขา และได้รับคำร่ำลือว่าเป็นทับทิมที่มีความงดงามมากที่สุดของราชวงศ์พม่าเลยทีเดียว ทับทิมงาม็อกเป็นมรดกสืบทอดต่อกันมาจนถึงสมัยพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้าย โดยพระเจ้าธีบอได้ฝากทับทิมเม็ดนี้ ไว้กับนายทหารชาวอังกฤษชื่อว่าพันเอกสลาเดนก่อนลี้ภัยออกนอกประเทศ หลังจากนั้นพระเจ้าธีบอพยายามติดต่อทวงคืน แต่ทางกองทัพอังกฤษแจ้งว่าพันเอกสลาเดนเสียชีวิตไปแล้วในปี พ.ศ. 2453 และไม่มีบันทึกว่าเขาได้มอบทับทิมที่ล้ำค่าชิ้นนี้ให้ใครเก็บรักษาไว้ เรื่องราวของทับทิมเม็ดงามจึงกลายเป็นเพียง เรื่องเล่าสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้

หลังจากพม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ โมก๊อกก็กลายเป็น“สาวงาม” ที่บริษัทสัมปทานต่างๆ หมายปอง การประมูล เป็นไปอย่างดุเดือด จนในที่สุดบริษัท Burma Ruby Mines ก็สามารถ ชนะการประมูลได้ในปี พ.ศ. 2492 แต่เนื่องจากในเวลานั้นการขนส่งเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อเข้าไปในเหมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยอุปสรรค บริษัทนี้จึงย้ายไปดำเนินงานที่อื่นแทน และอีกหลายสิบปี

ต่อมา บริษัทใหม่ชื่อว่า Ruby Mines จึงเข้ามาดำเนินการแทน ก่อนจะทิ้งร้างไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อกองทัพญี่ปุ่นยาตราทัพมาถึง

ชะตากรรมของเหมืองโมก๊อกเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในยุคนายพลเนวิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 - 2531 เหมืองทั้งหมดถูกยึดเป็นของรัฐบาลกลาง ไม่มีบริษัทเอกชนใดสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ในยุคต่อมาหลังจากสลอร์ค (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเอสพีดีซี) ยึดอำนาจในปี พ.ศ. 2531 รัฐบาลทหารได้เปิดตลาดการค้าเสรีให้เอกชนและต่างชาติมาลงทุนเข้ามาสัมปทานเหมืองแห่งนี้ เพื่อนำรายได้เข้ามาบำรุงกองทัพ โมก๊อกจึงกลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยนักแสวงโชคจากต่างถิ่นและหินสีมากมายก็ถูกขุดขึ้นมาขายสร้างความร่ำรวยให้กับผู้คนจำนวนมาก

รัฐบาลได้ตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อว่า“เมียนมาร์เจมส์เอนเทอร์ไพรส์” ขึ้นมาตรวจตราระบบต่างๆ และดูแลผลประโยชน์ โดยได้แบ่งพื้นที่ดูแลผลประโยชน์ระหว่างกองทัพรัฐบาลกับกองกำลัง กลุ่มชาติพันธุ์ที่เจรจาหยุดยิง เฉพาะปี พ.ศ. 2538 เพียงปีเดียว รัฐบาลได้ออกใบอนุญาตสัมปทานเหมืองจำนวน 224 ใบ ส่งเสริมให้การสำรวจและการขุดอัญมณีดำเนินไปอย่างหนัก และทรัพยากร อันล้ำค่าจากเหมืองแห่งนี้กำลังลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย ส่วนประชากรท้องถิ่นดั้งเดิมของเหมืองโมก๊อก คือ กลุ่มชาติพันธุ์ไทยใหญ่ และลีซูก็ต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นสองที่ได้รับผลประโยชน์จากเหมืองในฐานะแรงงานรับจ้าง ซึ่งหากใครแอบขโมยพลอยเหล่านี้และถูกจับได้ก็จะถูกกองกำลังกลุ่มต่าง ๆ ที่ดูแลผลประโยชน์ฆ่าทิ้งโดยไม่ต้องไต่สวน ปัจจุบันบนพื้นที่ประมาณเกือบสองพันตารางกิโลเมตรของเหมืองโมก๊อกมีเหมืองย่อยๆ ที่ได้รับสัมปทานมากกว่า 1,000 แห่ง

แหล่งกำเนิดพลอยหลากสีที่เพิ่งถูกค้นพบไม่นานมานี้อีกหนึ่งแห่ง คือ เมืองสู้ ตั้งอยู่ในเขตรัฐฉานไปทางตะวันออกประมาณ 150 ไมล์และเฉียงไปทางใต้ของเหมืองโมก๊อกเล็กน้อย เหมืองแห่งนี้เพิ่งถูกค้นพบและเปิดให้สัมปทานเมื่อปี พ.ศ. 2534 เล่ากันว่า ก่อนหน้าที่เหมืองแห่งนี้จะถูกค้นพบ ชาวปะหล่อง กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้สังเกตเห็นว่า ดินบริเวณที่พวกเขาทำไร่มีหินหลากสีสวยงามปะปนอยู่ เขาจึงเก็บรวบรวมใส่กระสอบและนำมาขอแลกข้าวสารกับพ่อค้าในตลาด หลังจากพ่อค้านำหินสีเหล่านั้นไปตรวจสอบจึงพบว่าเป็นพลอยมีค่า เมื่อเรื่อง ล่วงรู้ไปถึงรัฐบาลทหาร รัฐบาลจึงสั่งโยกย้ายหมู่บ้านชาวปะปล่องลงมา จากพื้นที่ดังกล่าว และเปิดให้สัมปทานกับบริษัทต่างๆ แทน ปัจจุบัน ชาวปะปล่องจำนวนมากได้กลายเป็นแรงงานรับจ้างตามเหมืองเหล่านี้แทนการได้ครอบครองทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่ตนเป็นผู้ค้นพบ


การเดินทางของอัญมณี

ปัจจุบันการเดินทางของพลอยพม่าออกสู่ตลาดภายนอกมีสองทาง คือ แบบถูกต้องตามกฎหมายและผิดกฎหมาย การเดินทาง แบบถูกกฎหมาย คือ การนำพลอยที่ขุดได้จากเหมืองไปเสียภาษีกับรัฐบาลก่อนจะนำไปขาย แต่เนื่องจากการเสียภาษีทำให้ราคาต้นทุนสินค้าเพิ่มมากขึ้น บรรดาพ่อค้าจึงนิยมลักลอบไปขายแบบไม่ต้องเสียภาษีผ่านรัฐบาล แต่เสียภาษีให้กับเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น และกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่ระหว่างทางจากเหมืองไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากกว่า

ลักษณะการขนส่งดังกล่าว บรรดาพ่อค้าพลอยจะนำพลอยดิบที่ขุดได้จากเหมืองโดยจ้างแรงงานคนนำพลอยผ่านไปตามเส้นทางป่าหรือเทือกเขา หลีกเลี่ยงถนนและเส้นทางสายหลัก
ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐควบคุม โดยตามเส้นทางเหล่านี้มักจะมีกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เคลื่อนไหวอยู่ เจ้าของพลอยจะจ่ายค่าคุ้มครองการเดินทางให้กับกองกำลังเหล่านี้เพื่อให้สินค้ามาถึงชายแดนอย่างปลอดภัย การเดินทางข้ามแดนสำหรับพลอยขนาดเล็ก อาจใช้บริการผู้หญิง เด็ก และคนชรา โดยซ่อนสินค้ามาในเสื้อผ้าผม หรือข้าวของเครื่องใช้ แต่ถ้าเป็นพลอยขนาดใหญ่ต้องใช้ผู้ชายแอบขนข้ามแม่น้ำตรงชายแดนในตอนกลางคืน หากอัญมณีมีขนาดใหญ่และมูลค่าสูง เจ้าของจะต้องวางแผนการเดินทางอย่างรอบคอบ โดยมีแรงงานขนส่งที่ไว้ใจได้ เพราะไม่ใช่นั้นอาจต้องสูญเสียสินค้าของตนไปจากการปล้นของกลุ่มโจรระหว่างทาง หรือถูกแรงงานรับจ้างนำไปขายและเชิดเงินหนีไปคนเดียว

เส้นทางพลอยสีจากโมก๊อกและเมืองสู้จะใกล้กับชายแดนไทย ส่วนเส้นทางหยกจากรัฐคะฉิ่นจะใกล้กับชายแดนจีนมากกว่า หากต้องขนส่งหยกมายังชายแดนไทย ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าพลอยสี จากโมก๊อกและเมืองสู้ ดังนั้น สินค้าที่ขายบริเวณตลาดแม่สาย จังหวัดเชียงราย และตลาดแม่สอด จังหวัดตากจึงมีพลอยสีจากเหมืองทั้งสองแห่งมากกว่าหยก ส่วนตลาดบริเวณชายแดนจีนจะมีหยกมากกว่า

หลังจากพลอยดิบเดินทางมาถึงชายแดนไทย บรรดาพ่อค้าพลอยจากเมืองไทยและต่างประเทศจะเดินทางมาหาซื้อพลอยดิบเหล่านี้ จากนั้นจึงนำไปเผาด้วยความร้อนและเจียระไน ปัจจุบัน ช่างฝีมือจากจังหวัดจันทบุรี แหล่งผลิตพลอยชื่อดังของไทย ได้ย้ายมาเปิดโรงเผาพลอยในตลาดแม่สายและแม่สอดกันมากขึ้น เนื่องจากพลอยในพื้นที่ลดจำนวนลง แต่หากพ่อค้าพลอยคนไหนมีพลอยเนื้อดีอยู่ในมือมากๆ พวกเขาจะลงทุนเดินทางนำพลอยไปเผาที่เมืองจันทบุรีด้วยตนเอง เพราะมีโรงเผาพลอยคุณภาพดีหลายแห่งให้เลือกใช้บริการ

หากใครเคยผ่านไปบริเวณตลาดพลอยบนถนนประสาทวิถี อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ช่วงเวลา 11 โมงถึงบ่ายสองโมงของทุกวัน จะพบว่าบริเวณตลาดแห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยชายหนุ่ม
หญิงสาวจากประเทศพม่าเดินถือพลอยไปมากันขวักไขว่ พวกเขาและเธอกำลังทำหน้าที่เป็น “คนเดินพลอย” หรือนายหน้าเจรจาหาลูกค้าให้กับเจ้าของร้านพลอย หากขายได้ราคาส่วนต่างจาก ราคาที่เจ้าของพลอยกำหนดมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่า รายได้ ก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่หากขายได้ราคา “ชนตึก” คือ ไม่มีส่วนต่างของราคาที่ลูกค้าต้องการซื้อกับราคาที่เจ้าของต้องการขาย คนเดินพลอยเหล่านี้ก็จะต้องขอค่าเปอร์เซ็นต์การขายจากเจ้าของพลอยแทน

อินส่า ชายหนุ่มจากพม่าวัย 32 ปี เล่าถึงเส้นทางเข้าสู่วงการพลอยของเขาว่า
“ผมมาจากเมืองพะอัน ตั้งแต่ปี 2532 ตอนแรกมีอาชีพขายผ้าในตลาดแม่สอด พอเริ่มมีเงินเก็บประมาณหมื่นกว่าบาท ก็เริ่มมาหัดเป็นคนเดินพลอย บางวันขายไม่ได้เลย ก็ต้องเอาเงินที่เก็บไว้มาใช้จ่าย พอตอนหลังเริ่มมีลูกค้าประจำและดูพลอยเป็นก็ลงทุนซื้อพลอยด้วยตนเอง และนำมาขายลูกค้าทำให้ได้กำไรมากขึ้น ตอนนี้ทำมา 12 ปีแล้ว”

เจ้าของร้านพลอยที่ตลาดแม่สอดมีทั้งชาวพม่าและชาวไทย แต่ละร้านจะมี "พลอยเด่น” และลูกค้าประจำของตนเอง อย่างเช่น ร้าน ของชายหนุ่มพม่าชื่อออสตินจะมีพลอยสีน้ำเงินหรือแซฟไฟร์จากเหมืองโมก๊อกที่เรียกว่า “สตาร์” หรือ ดาวหกแฉก อยู่บนเนื้อพลอย เก็บไว้เป็นสินค้าเด่นของร้าน ชายหนุ่มเล่าถึงธุรกิจพลอยของตนว่า

“กลุ่มลูกค้าของผมจะเป็นชาวต่างชาติ เมื่อก่อนจะมีคนซาอุมาซื้อพลอยเยอะ ขายดีมาก แต่หลังจากคดีเพชรซาอุ ลูกค้ากลุ่มนี้ก็ลดน้อยลง นับตั้งแต่รัฐบาลพม่าเปิดประเทศปี พ.ศ. 2539 ชาวต่างชาติจะนิยมไปซื้อตลาดพลอยที่ย่างกุ้งและมัณฑะเลย์มากกว่า ลูกค้าของผม ก็ลดน้อยลงไปด้วย ทุกวันนี้ ทางร้านจะซื้อ แซฟไฟร์ที่มีสตาร์เก็บไว้ เพราะเราจะมีลูกค้าประจำมาซื้อไปขายต่างประเทศ อีกทอดหนึ่งราคาสูงสุดที่เคยขายได้คือ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ”

รัน เจ้าของร้านพลอยชาวไทยวัย 38 ปี ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ถึงธุรกิจพลอยที่นี่ว่า กลุ่มลูกค้าพลอยที่นี่จะเป็นพ่อค้าคนกลางที่ต้องการนำพลอยไปขายต่อในกรุงเทพฯ หรือต่างประเทศ แต่สภาพธุรกิจพลอยที่นี่จะแตกต่างจากกรุงเทพฯ คือ ไม่มีใบรับประกัน ว่าเป็นพลอยแท้ หรือในวงการพลอยเรียกว่า“ใบเซอร์” ดังนั้น พ่อค้า พลอยมือใหม่จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงถูกหลอกสูงหากเดินทางมาซื้อพลอยที่นี่

“ผมเริ่มเข้าสู่วงการค้าพลอย ตั้งแต่อายุ 24 ปี เริ่มจากเป็นคนเดินพลอยก่อนเพราะไม่ต้องลงทุน พอเดินพลอยจนรู้จักเนื้อพลอยแล้วจึงเริ่มเปิดร้านของตนเอง สินค้าแพงสุดที่ผมเคยขายได้ คือหยกจากรัฐคะฉิ่นราคา 4-5 แสนบาท เนื้อดี สีใบตอง ไม่มีแตก”

เจ้าของร้านพลอยชาวไทยวัย 52 ปีอีกคนหนึ่งเล่าถึงประสบการณ์แอบลักลอบเข้าไปซื้อพลอยที่เหมืองโมก๊อกให้ฟังว่า

“ผมประกอบธุรกิจนี้มานานกว่า 30 ปี จนสามารถพูดภาษาพม่าได้คล่อง ผมเคยแอบตามเพื่อนพม่าเข้าไปซื้อพลอยที่เหมืองโมก๊อกด้วยตนเองมาหลายครั้ง แต่ครั้งหลังสุดเมื่อ 5 - 6 ปี ก่อน ผมถูกทหารพม่าจับได้ ตอนแรกผมกลัวว่าจะต้องติดคุกพม่าไม่ได้ กลับเมืองไทยอีกแล้ว แต่หลังจากจ่ายเงินที่มีอยู่เกือบทั้งหมด 300 ดอลลาร์ให้เจ้าหน้าที่เขาก็ปล่อยตัว และยังบอกอีกว่า วันหลังมาใหม่นะ นับจากวันนั้นผมก็ไม่กล้าเข้าไปอีกเลย”


ความงามต้องห้าม

ปัจจุบัน อัญมณีจากประเทศพม่าเป็นความงามที่กำลังถูกตั้งคำถามจากผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าว่า การซื้ออัญมณีจากพม่าเป็นการสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการให้ครองอำนาจยาวนานต่อไปหรือไม่ เพราะเงินรายได้ทั้งจากการสัมปทานเหมือง การเก็บภาษี หรือการเปิดประมูลอัญมณีปีละ 2 ครั้งที่รัฐบาลจัดขึ้น ล้วนเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของรัฐบาลเผด็จการทั้งสิ้น ส่วนประชาชนท้องถิ่นได้ประโยชน์จากเหมืองเพียงแค่เป็นแรงงานรับจ้าง ไปวันๆ เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีรายงานทั้งจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ไทยและสำนักข่าวของกลุ่มไทยใหญ่ระบุว่า ธุรกิจอัญมณีได้กลายเป็นแหล่งฟอกเงินยาเสพติดที่สำคัญของกองกำลังว้า UWSA ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาเสพติดรายใหญ่และเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลกลางด้วยเช่นกัน การฟอกเงินจะกระทำผ่านงานประมูลอัญมณีประจำปีซึ่งรัฐบาลพม่าจัดขึ้น ทางกลุ่มผู้นำว้าจะนำอัญมณีจากเหมืองของตน มาเปิดประมูล โดยส่งตัวแทนนำเงินจากการค้ายาเสพติดมาประมูล อัญมณีของตนเองในราคาสูงลิ่ว เงินดังกล่าวจึงถูกฟอกให้กลายเป็นเงินรายได้จากการขายอัญมณีแทน หลังจากนั้นหากมีการขนส่งอัญมณี ทางกองกำลังว้าจะนำยาเสพติดแอบแฝงไปกับอัญมณีที่ถูกกฎหมายเหล่านี้

อาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่รัฐบาลพม่าเปิดประมูลอัญมณีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 รายได้จากการจัดประมูลอัญมณีได้กลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ช่วยให้รัฐบาลทหารสามารถนำเงินเหล่านี้ มาพัฒนากองทัพให้เข้มแข็งมากขึ้น เฉพาะตัวเลขจากการประมูลครั้งที่ 2 เมื่อปี 2548 ที่รัฐบาลเปิดเผย คือ 22 พันล้านจั๊ต

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มประเทศตะวันตกที่มีนโนบายคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจพม่าจึงรวมการคว่ำบาตรสินค้าอัญมณีจากพม่าไว้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างบริษัทเครื่องประดับที่ร่วมนโยบายนี้ คือ บริษัททิฟฟานี่ซึ่งประกาศว่าทางบริษัทจะไม่รับซื้ออัญมณีจากพม่ามาผลิตเครื่องประดับเพื่อร่วมสนับสนุนประชาธิปไตยในพม่าด้วยเช่นกัน

ทว่า ประเด็นที่มียังต้องขบคิดกันต่อไปก็คือ หากอัญมณีดังกล่าวถูกลักลอบขนจากพม่ามาสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย และผ่านการเจียระไนจนเป็นอัญมณีชิ้นใหม่แล้ว ผู้ซื้อจะรู้ได้อย่างไรว่า อัญมณีชิ้นนั้นมาจากพม่าหรือไม่ และหากซื้ออัญมณีชิ้นนั้นไปสวมใส่ เงินเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนรัฐบาลทหารหรือไม่ อัญมณีจากพม่าจึงเป็นความงาม ต้องห้ามที่ต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนมีไว้ครอบครอง