แนวคิดเบื้องต้น : แม่ไร้รัฐและแม่ไร้สัญชาติ....มนุษย์อีกกลุ่มในประเทศไทย
ด้วยเดือนสิงหาคมเป็นช่วงเวลาที่หอมกรุ่นด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ลูกทุกคนในประเทศไทยมีให้แก่ผู้หญิงที่เราเรียกว่า “แม่” ไม่มีชีวิตของใครบนโลกใบนี้ที่ปราศจากแม่ ทุกคนต้องมีแม่ ดังนั้น สำหรับคอลัมภ์กฎหมายเพื่อคนชายขอบในสาละวินโพสต์ของเดือนสิงหาคมนี้ ผู้เขียนจึงอยากจะเขียนถึงกฎหมายเพื่อ “แม่ไร้รัฐ” และ “แม่ไร้สัญชาติ”
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า “แม่” เป็นมนุษย์ที่พิเศษสุด เพราะแม่เป็นมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่รับภาระหน้าที่ในการโอบอุ้มลูกซึ่งเป็นมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น เมื่อแม่ตกอยู่ในความยากลำบาก ลูกเอง ก็ย่อมตกอยู่ในสภาวะยากลำบากเช่นกัน ถ้าแม่เป็นคนไร้รัฐ ก็ย่อมสรุปได้เช่นกันว่า ลูกของแม่ก็ย่อมจะตกเป็นคนไร้รัฐเช่นกัน หรือถ้าแม่เป็นคนไร้สัญชาติ ก็ย่อมสรุปได้เช่นกันว่า ลูกก็ย่อมตกเป็นคนไร้สัญชาติเช่นกัน เพื่อมิให้ความไร้รัฐความไร้สัญชาติของแม่ตกทอดไปยังลูกและหลาน เราจึงอยากตั้งคำถามว่า จะเป็นไปได้ไหมที่ประเทศไทยจะแก้ไขปัญหาความไร้รัฐหรือความไร้สัญชาติให้แก่เหล่าแม่ในประเทศไทยที่ประสบปัญหาดังกล่าว ?
คำตอบที่ตอบได้เลย ดังที่ได้เคยยืนยันมานานแล้วว่า ประเทศไทยมีกฎหมายและนโยบายเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาให้แก่มนุษย์ที่ประสบความไร้รัฐความไร้สัญชาติในประเทศไทย ดังนั้น หากประเทศไทยปรารถนาที่จะแก้ปัญหาความไร้รัฐและความไร้สัญชาติของแม่ ประเทศไทยก็อาจจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน
ข้อเท็จจริงอันเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ตกเป็นผู้ไร้รัฐ
การหนีภัยความตายออกจากประเทศเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งตกเป็นคนไร้รัฐเอาง่ายๆ เรามักจะเรียกบุคคลที่หนีภัยต่อชีวิตว่า “ผู้ลี้ภัย (Refugee)” ในสภาวการณ์ที่มีการหนีภัย ออกจากประเทศ ทำไมผู้ลี้ภัยจึงตกอยู่ในสภาวะของ “คนไร้รัฐ” ?
คำตอบในประการแรกก็คือ การหนีออกจากประเทศหนึ่งย่อมทำให้เกิดความสิ้นสุดของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ลี้ภัยและรัฐเจ้าของดินแดนที่จากมา และคำตอบในประการที่สอง ก็คือ การหนีเข้ามาในอีกประเทศหนึ่งย่อมทำให้เกิดความเป็นไปไม่ได้ของความสัมพันธ์อย่างปกติระหว่างผู้ลี้ภัยกับรัฐเจ้าของดินแดนที่มีการลี้ภัย ทั้งนี้ เพราะผู้ลี้ภัยนั้นย่อมมีสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่ด้วยเหตุผลในทางมนุษยธรรม รัฐเจ้าของดินแดนที่มีการลี้ภัยย่อมไม่อาจผลักดันผู้ลี้ภัยออกไปจากประเทศของตน รัฐย่อมไม่อาจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับทุกขเวทนาที่ผู้ลี้ภัยได้รับหากจะต้องเสี่ยงภัยความตายเมื่อถูกส่งกลับไปในประเทศต้นทาง กระบวนการยอมรับให้สถานะคนชาติ (National)ในประเทศปลายทางซึ่งอาจจะเป็นประเทศที่สองหรือสามหรืออื่นๆ นั้นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นโดยพลัน ในระหว่างที่ประเทศปลายทาง ยังไม่ยอมรับให้สถานะคนต่างด้าวที่ถูกกฎหมายหรือสถานะคนชาติแก่ผู้ลี้ภัย ผู้ลี้ภัยนั้นก็จะมีสถานะเป็น “คนไร้รัฐ” หรือ “คนไร้สัญชาติ” ซึ่งคนในสถานการณ์ดังกล่าวอาจไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่า ตนไร้รัฐที่จะให้ความคุ้มครอง พวกเขาก็ดำเนินชีวิตไปตามยถากรรมโดยไม่โทษใครเลย
เซาะเล้ง แซ่แต้ หรือภาวินี บุรสินสง่า...แม่แห่งสุโขทัยผู้ตกเป็นคนไร้รัฐ เพราะหนีภัยความตายมาจากประเทศกัมพูชา
เซาะเล้ง แซ่แต้ หรือภาวินี บุรสินสง่า เป็นตัวอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่หนีภัยความตายมาจากประเทศกัมพูชาในราว พ.ศ.2516 ซึ่งเป็นยุคที่เกิดการสู้รบภายในประเทศกัมพูชาระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล
เซาะเล้ง แซ่เต้ เกิดที่เมืองพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2493 จากบิดาและมารดาซึ่งเป็นคนเชื้อสายจีน แต่ได้มาประกอบกิจการการค้าอยู่ในประเทศกัมพูชามาเป็นระยะเวลานานแล้ว เซาะเล้งมีพี่น้องร่วมบิดา 2 คน และพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 2 คน ในยุคนั้น ครอบครัวของเซาะเล้งทำการค้าข้าวสารซึ่งกิจการรุ่งเรืองดีจนถือได้ว่ามีฐานะที่ไม่ลำบากเลย เซาะเล้งและพี่น้องทุกคนได้รับการศึกษาในโรงเรียนเอกชนซึ่งสอนภาษาจีนควบคู่ไปกับภาษากัมพูชาด้วย เมื่อจบจากโรงเรียนจีน เซาะเล้งก็ได้เข้าเรียนภาษาฝรั่งเศสในโรงเรียนคอนแวนต์ในเมืองพนมเปญ(L'ecole les soeurs) ซึ่งสอนโดยแม่ชีฝรั่งเศสเป็นเวลากว่า 3 ปี ซึ่งในขณะนั้นมีคนกัมพูชาที่จะเรียนได้เช่นนั้นไม่มากนัก เซาะเล้งจึงสามารถที่จะพูดและเขียนได้ดีทั้งภาษากัมพูชา ภาษาจีน และภาษาฝรั่งเศส เมื่ออายุ 19 ปี เซาะเล้งได้เข้าทำงานเป็นพนักงานที่สหกรณ์ของชาวฝรั่งเศสในประเทศกัมพูชา (Cooperative Societe de France)
เซาะเล้งเข้าใจว่าตนและครอบครัวมีบัตรประจำตัวประชาชนชาวกัมพูชา ทั้งนี้เนื่องจากขณะที่อาศัยอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เซาะเล้งเคยเดินทางไปท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติที่ประเทศฮ่องกง โดยได้ถือหนังสือเดินทางของประเทศกัมพูชา
จนกระทั่งปีพ.ศ. 2516 เซาะเล้งอายุได้ 23 ปี ต้องหนีภัยการสู้รบภายในประเทศกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทย มาอาศัยอยู่กับญาติที่จังหวัดสุโขทัย ในระหว่างที่พักอาศัยในประเทศไทยก็ได้พบรักกับนายพาที บุรสินสง่า คนสัญชาติไทยเชื้อชาติจีน ซึ่งเป็นญาติกัน จนกระทั่ง พ.ศ. 2517 เซาะเล้งและพาทีก็ได้แต่งงานกัน เซาะเล้งปฏิเสธที่จะเดินทางตามมารดาและบุคคลอื่นในครอบครัวไปลี้ภัยที่ประเทศฝรั่งเศส นายพาทีได้เชิญปลัดอำเภอสวรรคโลกมาจดทะเบียนสมรสให้ตนกับเซาะเล้งใน พ.ศ. 2519 เซาะเล้งจึงมีเอกสารราชการรับรองการสมรสระหว่างตนกับนายพาที ซึ่งระบุชื่อเดิมซึ่งเป็นภาษาจีนคือ เซาะเล้ง แซ่เต้ แต่ต่อมาเมื่อแต่งงานแล้ว เซาะเล้งจึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุล “บุรสินสง่า” ตามสามี ก็ได้รับการตั้งชื่อภาษาไทยว่า “ภาวินี” ในภายหลัง เซาะเล้งจึงได้ใช้ชื่อ “นางภาวินี บุรสินสง่า” เป็นชื่อแสดงตนอยู่ในประเทศไทยมาโดยตลอด
เซาะเล้งและพาทีประกอบอาชีพค้าขายและมีบุตรด้วยกันรวมทั้งหมด 3 คน ดังนี้ (1) นางสาวพรพรรณ บุรสินสง่า ซึ่งเกิดเมื่อพ.ศ. 2517 จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย กรุงเทพ (2) นางสาวมนัสนันท์ บุรสินสง่า ซึ่งเกิดเมื่อ พ.ศ.2519 จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา และ (3) นายวิทยา บุรสินสง่า ซึ่งเกิดเมื่อพ.ศ. 2522 จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นและกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เซาะเล้งได้อาศัยอยู่ที่อำเภอสวรรคโลก จนบุตรทั้งหมดโต จึงได้ย้ายมาทำการค้ามาอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัย โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเมืองไทย เซาะเล้งไม่เคยเดือดร้อนเพราะการไม่มีเอกสารประจำตัวเลย เนื่องจากพื้นที่ที่เซาะเล้งอยู่ไม่มีปัญหาเรื่องคนต่างด้าว และเป็นเมืองเล็กๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันหมด เมื่อเซาะเล้งอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ยังสาวจึงเป็นที่รู้จักกันดีของคนในอำเภอ ได้ประกอบการค้าที่สุจริตมาตลอด จึงไม่เคยถูกทางการไทยจับ อีกทั้งนายพาทีและบุตรทั้งสามก็เป็นผู้มีสัญชาติไทย แต่เหตุสำคัญคือ เซาะเล้งรู้ตัวเองว่าเป็นคนต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารการเข้าเมือง จึงไม่เคยกล้าแสดงตัวเพื่อขอรับเอกสารหรือแจ้งประวัติใดๆ ต่อทางราชการเพราะกลัวจะถูกจับ จึงอยู่กันอย่างเงียบๆ มาตลอด
ความทุกข์จากความไม่มีเอกสารรับรองตัวบุคคลเริ่มปรากฏครั้งแรกในช่วง พ.ศ. 2544 - 2546 เนื่องจากนางเจียท้อ ผู้เป็นมารดา ซึ่งได้รับอนุญาตให้ไปลี้ภัยความตายในประเทศฝรั่งเศสได้ล้มป่วย เซาะเล้งอยากเดินทางไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ไม่สามารถไปได้เนื่องจากไม่มีเอกสารประจำตัว และไม่มีหนังสือเดินทาง นายพาทีและบุตรเองเคยได้ไปลองสอบถามทางราชการเกี่ยวกับการขอมีเอกสารให้กับเซาะเล้งก็ไม่เคยได้รับคำตอบ จนกระทั่งมารดาของเซาะเล้งเสียชีวิตลง เซาะเล้งซึ่งยังไม่ได้เอกสารใดๆ จึงไม่สามารถเดินทางไปร่วมงานศพของมารดา
หลังจากนั้น ความทุกข์ประการที่สองก็ปรากฏเมื่อบุตรเริ่มจบการศึกษาปริญญาตรี และจะเข้ารับปริญญาบัตร เซาะเล้ง ก็เหมือนแม่ทุกคนที่อยากปรากฏตัวในพิธีรับปริญญาบัตรของบุตร แต่ก็ทำได้ยากหรือไม่ได้ไปเลย เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับในระหว่างการเดินทาง
ความทุกข์ประการที่สามปรากฏขึ้นเมื่อความชราคืบคลาน มาถึง เซาะเล้งเองทราบตัวเองว่าอายุมากขึ้น เกรงว่าจะเป็นภาระกับบุตรหากตนยังไม่เอกสารประจำตัวเช่นนี้ เช่น การเข้ารับการรักษาพยาบาล การเดินทางไปที่อื่นๆ เซาะเล้งจึงได้ยินยอมที่จะแสดงตนกับทางการไทยเพื่อขอให้มีการรับรองสถานะบุคคลของตนตามกฎหมาย
การสืบค้นความสัมพันธ์ระหว่างเซาะเล้งและรัฐใดรัฐหนึ่งบนโลกใบนี้
พรพรรณ บุตรสาวคนโต ร้องขอความช่วยเหลือมาที่ศูนย์นิติศาสตร์ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราจึงเริ่มต้องการศึกษาเพื่อวิเคราะห์สาเหตุแห่งความไร้รัฐของเซาะเล้ง เราพบว่า คุณเซาะเล้งมีจุดเกาะเกี่ยวกับ 3 ประเทศด้วยกัน กล่าวคือ (1) ประเทศกัมพูชา (2) ประเทศจีน และ (3) ประเทศไทย
ประเทศกัมพูชาจะยอมรับเป็นเจ้าของตัวบุคคลของเซาะเล้งหรือไม่ ?
ในประการแรก เซาะเล้งมีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศกัมพูชาเพราะเซาะเล้งเกิด ณ เมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และนอกจากนั้น ในขณะที่เกิด บิดาและมารดาก็เป็นคนสัญชาติกัมพูชา ภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เซาะเล้งยังเคยเข้ารับการศึกษาในระบบการศึกษาของประเทศกัมพูชา ครอบครัว
ดั้งเดิมก็เคยประกอบอาชีพอยู่ในประเทศกัมพูชา ก่อนการเปลี่ยนแปลง การปกครองในกัมพูชา เซาะเล้งเคยได้รับเอกสารประจำตัวจากรัฐบาลกัมพูชา เช่น บัตรประจำตัวประชาชน อันได้แก่ หนังสือเดินทาง และสูติบัตร
ปัญหาที่เราถามกันในวันนี้ รัฐกัมพูชายังยอมรับว่าเซาะเล้ง เป็นคนชาติหรือไม่ ? รัฐกัมพูชายังรับรู้การมีตัวตนของเซาะเล้งตามกฎหมายมหาชนของรัฐกัมพูชาหรือไม่ ?
เมื่อปี พ.ศ. 2544 ที่ผ่านมา ญาติของเซาะเล้งได้ลองไปช่วยสืบค้นข้อมูลของเซาะเล้งในฐานข้อมูลราษฎรกัมพูชา และพบว่าในระบบทะเบียนราษฎรของกัมพูชายังปรากฎ ข้อมูลของเซาะเล้งและครอบครัว ทะเบียนราษฎรของรัฐกัมพูชายังยอมรับว่าเซาะเล้งเกิดในประเทศกัมพูชา ดังนั้น หากเซาะเล้งจะขอพิสูจน์ตนว่าเป็นบุคคลที่มีสัญชาติกัมพูชากับรัฐบาลกัมพูชา หรือ สถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่ทางการกัมพูชาจะยอมรับว่าเซาะเล้งมีสัญชาติและเคยเป็นบุคคลในความคุ้มครองของประเทศกัมพูชาที่ได้ขาดการติดต่อกับรัฐกัมพูชาไปเป็นเวลานาน ในการนี้ ครอบครัวของเซาะเล้งที่ประเทศฝรั่งเศสก็ได้มีส่วนช่วยเหลือค้นหาหลักฐานประจำตัวและเรียบเรียงประวัติพร้อมยืนยันความสัมพันธ์ที่มีต่อเซาะเล้งอย่างมากอีกด้วย
จึงมีความเป็นไปได้ที่จะขจัดความไร้รัฐของเซาะเล้งโดยการพิสูจน์สัญชาติกัมพูชา เพื่อขอรับเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ออกโดยรัฐกัมพูชา
ประเทศจีนจะยอมรับเป็นเจ้าของตัวบุคคลของเซาะเล้งหรือไม่ ?
ในประการที่สอง เซาะเล้งย่อมมีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศจีน ทั้งนี้ เพราะบิดาและมารดาเป็นคนเชื้อชาติจีนที่อพยพมาจากเมืองจีน ซึ่งเป็นไปได้ว่า บิดาและมารดาของเซาะเล้งจะเกิดที่ประเทศจีนก่อนที่จะมาอยู่ในประเทศกัมพูชา เนื่องจากเซาะเล้งทราบว่ารุ่นปู่ย่าตายายนั้นเกิดที่ประเทศจีน ส่วนพี่สาวของมารดาก็เกิดที่ประเทศจีน แต่ไม่มั่นใจว่ามารดาตนเกิดที่เมืองจีนหรือไม่ บิดามารดาและเซาะเล้งไม่เคยมีเอกสารทางราชการใดๆ ที่ออกให้โดยทางการจีน จึงไม่ปรากฏชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐจีน ประเทศจีนจึงไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเซาะเล้งเลย
การพิสูจน์สัญชาติจีนให้แก่เซาะเล้งดูจะเป็นไปได้ยากที่สุด แม้นายอังกี่และนางเจียท้อ ซึ่งเป็นบิดามารดาของเซาะเล้งเอง ก็ยังไม่เคยได้รับการยอมรับโดยรัฐจีน และทั้งคู่ก็ได้เสียชีวิตแล้ว หากเซาะเล้งจะแสดงตนต่อรัฐบาลจีนเพื่อแสดงความผูกพันของตนที่มีต่อประเทศจีนนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ยาก สิ่งเดียวที่แสดงความผูกพันกับประเทศจีนก็คือภาษาจีนที่เซาะเล้งยังพูดได้ยังคล่องแคล่ว
ประเทศไทยจะยอมรับเป็นเจ้าของตัวบุคคลของเซาะเล้งหรือไม่ ?
ในประการที่สาม รัฐไทยก็เป็นอีกรัฐหนึ่งที่เข้ามามีจุดเกาะเกี่ยวอย่างแท้จริงกับเซาะเล้ง แต่จุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยนี้ เป็นจุดเกาะเกี่ยวภายหลังการเกิด มิใช่จุดเกาะเกี่ยวโดยการเกิดดังที่เซาะเล้งมีกับประเทศกัมพูชาและประเทศจีน
แม้ว่าเซาะเล้งจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายคนเข้าเมือง แต่ก็อาจได้รับการยกเว้นความผิด เพราะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมาย ระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของผู้หลบหนีภัยการสู้รบ และการไม่เคยแสดงตนกับทางการไทยก็อาจเป็นเหตุให้มีความผิดในฐานะผู้อยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยหลักมนุษยธรรมที่รัฐไทยยึดถือมาตลอด เป็นเหตุให้บุคคลในสถานการณ์เช่นเซาะเล้งไม่อาจถูกจับกุมและดำเนินคดี เพราะการปฏิบัติการตามกฎหมายย่อมนำไปสู่ความไม่ยุติธรรมทางสังคม
ไม่ว่าเซาะเล้งจะมีสถานะที่ผิดหรือถูกตามกฎหมายไทยว่าด้วยคนเข้าเมืองก็ตาม สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เซาะเล้งมีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยใน 2 ลักษณะ กล่าวคือ
ในประการแรก ด้วยว่าเซาะเล้งมีภูมิลำเนาตามกฎหมายเอกชนอยู่ในประเทศไทยมากว่า 32 ปี จึงสรุปได้ว่าเซาะเล้งมีความสัมพันธ์กับประเทศไทยโดยหลักดินแดน
ในประการที่สอง ด้วยว่าเซาะเล้งจดทะเบียนสมรสกับชายผู้มีสัญชาติไทย และเป็นมารดาของผู้มีสัญชาติไทย จึงสรุปได้ว่าเซาะเล้งจึงมีความสัมพันธ์กับประเทศไทยโดยหลักบุคคล
อีกด้วย
ในวันนี้ แม้รัฐไทยยังไม่เคยรับรองสถานะบุคคลตามกฎหมายให้แก่เซาะเล้ง แต่รัฐไทยก็ได้มีโอกาสรับรอง “ตัวตน” ของเซาะเล้งหลายครั้ง กล่าวคือ (1) “ความสามารถที่จะใช้สิทธิก่อตั้งครอบครัวตามกฎหมาย” ให้แก่เซาะเล้ง โดยการยอมรับจดทะเบียนสมรสให้แก่เซาะเล้งและพาที (2) รัฐไทยได้ยอมรับที่จะบันทึกชื่อของเซาะเล้งลงในสูติบัตรของบุตรทั้งสาม (3) รัฐไทยได้ยอมรับที่จะบันทึกในเอกสารราชการที่ออกให้แก่นายพาที บุรสินสง่าและบุตรทั้งสาม (4) โรงพยาบาลรัฐได้ออกบัตรผู้ป่วยให้แก่เซาะเล้ง โดยสรุปจึงไม่ยากลำบากที่จะพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงอย่างยาวนานระหว่างรัฐไทย และนางเซาะเล้ง แซ่เต้ หรือ นางภาวินี บุรสินสง่า
แนวคิดที่จะเยียวยาความไร้รัฐของเซาะเล้งควรจะเป็นอย่างไร ?
เมื่อย้อนกลับมาพิจารณากฎหมายและนโยบายของรัฐไทย เราจึงอาจตอบอย่างชัดเจนได้ว่า โดยการเยียวยาเบื้องแรก ศูนย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ย่อมจะต้องเร่งที่จะร้องขอให้กรมการปกครองเพิ่มชื่อของเซาะเล้งลงใน “ทะเบียนผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน” ด้วยว่า ในวันนี้ เซาะเล้งยังไม่ได้รับการรับรองในทะเบียนราษฎรของรัฐใดเลยในโลก
ในประการที่สอง ศูนย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ก็คงจะต้องช่วยครอบครัวบูรสินสง่าที่จะร้องขอการพิสูจน์สัญชาติกัมพูชาให้แก่เซาะเล้ง โดยผ่านสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย แม้จะปรากฏชื่อของเซาะเล้งในทะเบียนการเกิดของคนในประเทศกัมพูชา แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่า เซาะเล้งจะสามารถผ่านการพิสูจน์ได้หรือไม่ ? ถ้าผ่านการพิสูจน์ก็หมายความว่าเราสามารถทำให้เซาะเล้งได้รับการยอมรับจากรัฐกัมพูชาว่ามีสัญชาติกัมพูชา เป็นคนสัญชาติกัมพูชา
เมื่อเซาะเล้งได้รับการยอมรับว่า เป็นคนสัญชาติกัมพูชาแล้ว การทำให้เซาะเล้งเป็นคนที่ชอบด้วยกฎหมายไทยก็คงไม่ยากแล้ว โดยการร้องขออนุญาตเข้าเมืองไทยตามกฎหมายเข้าเมือง เซาะเล้ง ย่อมได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองถูกกฎหมายและได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ ทั้งนี้ เพราะเซาะเล้งมีสถานะเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของชายสัญชาติไทยและมีสถานะเป็นมารดาของคนสัญชาติไทยถึง 3 คน
แต่อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการพิสูจน์สัญชาติกัมพูชาจะยังไม่แล้วเสร็จ หรือในที่สุด รัฐกัมพูชาไม่เชื่อว่าเซาะเล้งเป็นคนๆ เดียวกับนางสาวเซาะเล้งที่ปรากฏชื่อในทะเบียนการเกิดของรัฐกัมพูชา หรือรัฐกัมพูชาฟังว่าเซาะเล้งเสียสัญชาติกัมพูชาแล้ว กรณีนี้ก็ยังแก้ไขได้โดยกฎหมายและนโยบายของรัฐไทยเองอยู่ดี แต่อาจจะยากขึ้น กระบวนการยอมรับให้เซาะเล้งมีสิทธิเข้าเมืองและอาศัยอยู่ในประเทศไทยย่อมจะต้องทำโดยมติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ โดยอาศัยมาตรา 17แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
ในท้ายที่สุด จะเห็นว่านอกจากการทำให้เซาะเล้งมีสถานะ เป็นคนต่างด้าวที่ชอบด้วยกฎหมายไทยจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยกฎหมายและนโยบายที่มีอยู่แล้ว การให้สัญชาติไทยโดยการสมรสแก่เซาะเล้งก็ยังเป็นไปได้โดยอำนาจที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508
ศูนย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์คงใช้ความเป็นไปได้ในทุกช่องทางที่จะช่วยเหลือเซาะเล้ง....แม่ไร้รัฐแห่งสุโขทัย แต่ความสำเร็จของเรื่องย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจของคนในสังคมไทยทั้งในระดับสามัญชนและระดับการเมือง
ขอจงช่วยกันเล่าเรื่องของเซาะเล้งให้สังคมเข้าใจ เพราะนี่ก็เป็นวิธีการช่วยเหลือแม่ไร้รัฐที่ดีอีกทางหนึ่ง