ชีวิตราคาสองหมื่น

โดย จันลอง ฤดีกาล

เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม สองปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ข่าว ความคืบหน้าคดีของนายโทนนะ พะอัน แรงงานจากประเทศพม่า ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุระหว่างการทำงานก่อสร้างว่า การเจรจา เรียกร้องค่าชดเชยจบลงด้วยจำนวนเงินเพียงแค่ 2 หมื่นบาท หลังจากอุมา ภรรยาของเขาวิ่งเต้นสู้คดีอยู่นานนับเดือน

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือน ข้าพเจ้าได้รับ การติดต่อจากทนายความที่ทำงานช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติให้ไปทำข่าวคดีแรงงานข้ามชาติที่เสียชีวิตเนื่องจากการทำงานและต้องการเรียกร้องค่าชดเชยจากนายจ้าง ข้าพเจ้าได้พบอุมาครั้งแรกที่ศาลาริมทางหน้าสถานีตำรวจนครบาลคลองหลวง ขณะที่อุมาและญาติๆ ซึ่งเป็นคนงานสัญชาติมอญ ประมาณ 8 คน มารอให้ปากคำตำรวจ ทุกคนอายุราว 20 กว่าปี อุมาอายุเพียง 22 ปี มีลูก 1 คน อายุ 3 ขวบอยู่กับแม่ที่พม่า ส่วนสามีที่เสียชีวิตชื่อโทนนะ พะอัน อายุ 24 ปี


อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงบ่ายโมงครึ่งวันที่ 19 กันยายน ระหว่างที่คนงาน 5 คนกำลังขุดเจาะเสาเข็มเพื่อต่อเติม หน้าบ้านหลังหนึ่งที่หมู่บ้านพฤกษา 13 ย่านรังสิต นายโทนนะเป็นคนที่จับแท่งเหล็กขุดดินซึ่งบังเอิญไปพาดทับสายไฟกระดิ่งบริเวณกำแพงขาด ทำให้ไฟฟ้าช็อตและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ในเย็นวันนั้น

“นายจ้างไล่หนูกับเพื่อนกลับ เขาบอกว่าเดี๋ยวตำรวจมาจะถูกจับ เขาบอกว่าจะให้ค่าทำและศพค่าที่เสียชีวิต หนูยังไม่อยากกลับ ไม่กลัวเพราะมีบัตรแต่เขาไล่กลับ ตอนเช้ามาถึงโรงพยาบาลเห็นเขากำลังเข็นแฟนขึ้นรถตู้เลยตามไป เขาเอาไปเผาที่วัดแถวคลอง 1 หนูต้องจ่ายค่าโลงศพ 2,500 บาท นายจ้างไม่ได้ มา แต่หนูคิดว่า เขาเป็นคนจัดการ...ใจหนูยังไม่อยากเผาแค่วันเดียว อยากทำบุญให้แฟนด้วย” อุมาเล่าย้อนวันเกิดเหตุให้ข้าพเจ้าฟัง


อุมากับโทนนะมีสัญชาติมอญมาจากประเทศพม่า เธอเล่า ว่ามาทำงานที่เมืองไทยได้แค่ปีเดียว ทั้งสองคนขึ้นทะเบียนแรงงาน เป็นลูกจ้างบริษัทรับขุดเจาะเสาเข็มแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว
ได้ค่าแรงวันละประมาณ 130 บาท โดยนายจ้างให้พักอยู่ที่โกดังย่านเดียวกัน หรือไปพักบริเวณที่ไปรับเหมางานเป็นช่วงๆ


เธอรออยู่ 3 วัน หลังจากสามีเสียชีวิตก็ยังไม่มีวี่แววว่านายจ้างจะทำอะไร ไปหาคนในบ้านก็บอกว่าไม่อยู่ โทรไปไม่รับสาย สุดท้ายนายจ้างบอกทางโทรศัพท์ว่าไม่ให้เงินและบอกให้อุมาไปเรียกร้องที่กระทรวงแรงงาน ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน อุมาและเพื่อนคนงานทั้ง 5 คน ยังไม่ได้รับค่าแรงประมาณคนละ 3,000 บาท โดยนายจ้างบอกว่าหักค่าทำบัตรแรงงานและที่เหลือจ่ายกับหัวหน้าคนงานไปแล้ว แต่อุมายืนยันว่าหลังเกิดเหตุต้องหยุดงานและยังไม่ได้รับเงินเลยซักคน

หลังจากนั้น อุมาและเพื่อนพร้อมด้วยทนายความจึงเดินทาง ไปร้องเรียนที่กรมสวัสดิการ กระทรวงแรงงาน ที่เขตบางกะปิแต่ทางกรมสวัสดิการบอกว่า ติดต่อนายจ้างไม่ได้ จึงให้ไป
แจ้งความที่สถานีตำรวจคลองหลวง ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ

จนวันที่ข้าพเจ้าพบอุมา เธอกับเพื่อนไปให้ปากคำ ตำรวจนัดเธอตอนเช้า อุมาและพี่น้องนั่งรถเมล์มาจากที่พักพี่ชายย่านรามอินทราและทำได้แค่นั่งๆ นอนๆ รออยู่ที่ศาลาหน้าโรงพักเพราะนายตำรวจที่นัดบอกว่าให้รอก่อน ข้าพเจ้าจึงพอมีเวลานั่งทำความรู้จักกับอุมาและให้คำแนะนำเล็กน้อย โดยอาศัยโทรสอบถาม กับทนายความเป็นระยะ ด้วยความไม่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งตัวเนื่องจาก ทนายได้ออกปากว่าให้ข้าพเจ้าช่วยดูแลอุมาให้ด้วยเนื่องจากวันนี้ติดคดีที่อื่น และด้วยความมีไหวพริบของอุมารวมทั้งความตั้งใจของข้าพเจ้าที่ไม่อยากเปิดเผยตัวว่าเป็นนักข่าว เพื่อให้ได้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่รวมทั้งช่วยดูแลอุมาตามที่ได้รับคำร้องขอ จากทนายความ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตเห็นข้าพเจ้าเป็นคนไทย อุมาจึงออกปากว่าเป็นคนที่รู้จักเพราะเคยทำงานที่บ้านข้าพเจ้า

อุมาและเพื่อนพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูที่เกิดเหตุหลังจากนั่งรออยู่ค่อนวัน ข้าพเจ้าติดสอยห้อยตามไปด้วย มีชาวบ้านบางส่วนเดินมาถามไถ่ข่าวคราว อุมาเล่าใบหน้ายิ้มเปื้อนน้ำตาว่า “ข้างบ้านเขาฝากทำบุญศพแฟน 500 บาท ขนาดคนเพิ่งรู้จักกันเขาบอกสงสาร แต่นายจ้างเขาไม่ให้ซักบาท ค่าแรงก็ยังไม่ให้”

หลังจากกลับมาให้ปากคำกับตำรวจจนเสร็จอย่างทุลักทุเล ยังดีที่อุมาพูดจาฉะฉานจริงจัง ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูหงุดหงิด และไม่ค่อยใส่ใจกับความร้อนใจของอุมาเท่าไรนัก(ข้าพเจ้าพยายามเฝ้าสังเกตการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่เงียบๆ และโทร สอบถามกระบวนการทำงานกับทนายความเป็นระยะ เพื่อไม่ให้การเดินทางมาไกลวันนี้ของอุมาเสียเที่ยว) จนสุดท้ายหลังจากอ้างคำพูดทนายความยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ อุมาจึงได้รับสำเนาใบแจ้งความกลับไปด้วย(ตอนแรกเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ อ้างว่าเป็นเอกสารราชการ แต่ทนายความยืนยันว่าผู้แจ้งความต้องได้รับเอกสารไว้เป็นหลักฐาน)

ความหวังถอยห่างออกไปในสัปดาห์หน้า ตำรวจบอกว่าได้ส่งหมายเรียกแจ้งนายจ้างมาให้ปากคำ จนกระทั่งผ่านไป 2 สัปดาห์ตำรวจบอกอุมาว่านายจ้างไม่ยอมมาให้ไปฟ้องร้องคดีเอง


ข้าพเจ้าพบอุมาอีกครั้ง เธอกับพี่ชายมาพบทนายความจาก"โครงการคลินิกกฎหมาย" ซึ่งช่วยดูแลคดีให้แรงงานข้ามชาติ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ข้าพเจ้าเห็นความกังวลใจของอุมาที่ยังไม่จางหาย ข้าพเจ้าบอกเธอเสมอว่า เธอโชคดีที่มีญาติพี่น้องหลายคนคอยช่วยเหลือ ทุกครั้งที่อุมาไปไหนจะมีพี่น้องหยุดงานไปด้วยอย่างน้อยคนหนึ่ง เธอจึงย้ายไปพักกับคนนั้นทีคนนี้ที ค่าใช้จ่ายช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาก็มีพี่น้องแบ่งปันให้

เราคุยกันอีกหลายครั้งทางโทรศัพท์ คำถามสุดท้ายที่อุมา ไม่เคยลืมถามคือ นานแค่ไหน ข้าพเจ้าเองก็ตอบไม่ได้ ทนายความ เองก็บอกว่าบางคดีสู้อยู่ถึง 2-3 ปี ความหวังตอนนี้คือให้ทนายความ ติดต่อนายจ้างอีกครั้ง ซึ่งการต่อรองกันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ในภาวะที่คนงานต้องดิ้นรนเรื่องปากท้อง

“การขึ้นศาลจำเป็นเพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน แต่เราต้องเข้าใจสภาพเขา บางทีการต่อรองเป็นทางออกที่ดีกว่า อาจไม่ดีที่สุด อยากให้สู้ไหม อยากแต่ถ้าเขาพอใจนั่นคือการตัดสินใจของเขา” ทนายความบอกถึงสิ่งที่เป็นอยู่

ก่อนปลายเดือนตุลาคม ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากอุมาอีกครั้ง เธอบอกว่าพรุ่งนี้มีนัดไปคุยกับนายจ้าง เธอพยายามถามว่าจะจบจริงไหม ข้าพเจ้าส่งใจไปช่วยเธอ อาจจะเป็นข่าวดีที่สุดท้ายอุมาไม่ต้องสู้คดีเป็นปี ทนายความเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่ากรมสวัสดิการนัดตัวแทนนายจ้างมาเจรจา ซึ่งยืนยันว่าจะจ่ายค่าชดเชยให้แค่ 2 หมื่น ส่วนค่าแรงที่ค้างอยู่เขามีหลักฐานว่าหัวหน้าคนงานรับไปแล้ว

อุมาตกลงรับเงิน และเธอไม่สนใจค่าแรงที่ไม่ได้รับ ซึ่งนั่นคือการตัดสินใจของเธอที่ทนายความยอมรับในการตัดสินใจนั้น ข้าพเจ้าเข้าใจเธอและรู้สึกถึงความกังวลตลอดเวลาที่ผ่านมา วันนั้นเธอพยายามให้ทนายความรับค่ารถ 1 พันบาทที่แบ่งจากเงิน 2 หมื่น เธอเคยบอกว่าถ้าคดีจบเธอจะแบ่งเงินให้ญาติพี่น้องทุกคนที่ช่วยเหลือ รวมทั้งข้าพเจ้าที่ให้คำปรึกษา เธอจะเอาเงินกลับไปทำบุญให้สามีและคงไม่กลับมาอีก


ปัญหาหนึ่งของอุมาที่ทนายความบอกข้าพเจ้าคือ การมีหัวหน้างานรับงานจากนายจ้างมาอีกทีเป็นครั้งๆ ซึ่งเป็นลักษณะงานแบบ "ทำสัญญาว่าจ้างรับเหมาค่าแรง" เป็นสัญญาจ้างระยะสั้นทำให้สถานการณ์จ้างงานของอุมามีปัญหาในเรื่องการคุ้มครองตามกฎหมาย เพราะนายจ้างอ้างในเรื่องนี้ได้ ไม่ได้รับ ประกันสังคม ออกจากงานจะไม่ได้รับค่าชดเชย ซึ่งเป็นการจ้างงาน ที่แพร่หลายของนายจ้างที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต

หากสามีของอุมาได้รับเงินจากกองทุนเงินทดแทน หากมีสวัสดิการรองรับ อุมาอาจจะได้กลับบ้านไปดูแลลูกดังตั้งใจ แต่นี่อุมาและสามีเป็นเพียงแรงงานเหมาช่วง และยังเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เหตุการณ์เช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดกับแรงงานไทย

หลังจากพยายามติดต่ออุมาอยู่หลายวัน บ่ายวันพฤหัสบดี ที่ 28 ตุลาคม ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากอุมา น้ำเสียงเธอแจ่มใส “พี่...หนูจะกลับบ้านพรุ่งนี้” ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจไปกับเธอที่ความยุ่งยากกว่า 1 เดือนที่ผ่านมาเสร็จสิ้นลง เธออยากกลับบ้าน ที่พม่า อยากกลับไปทำบุญตามประเพณีให้สามี และกลับไปหาลูกที่อยู่กับแม่ของเธอเพียงสองคน

ข้าพเจ้าอวยพรให้เธอโชคดี “อาจจะกลับมาอีกถ้า
ไม่มีอะไรทำ” เธอบอกข้าพเจ้า