โดย เอกภพ ดัสต์
"พม่าเป็นดินแดนที่มีรายงานว่ารัฐบาลทหารละเมิดสิทธิ มนุษยชนประชาชนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นการบังคับชาวบ้านเป็นแรงงานทาส การสั่งอพยพโยกย้าย หรือ เผาหมู่บ้านที่ต้องสงสัยว่าสนับสนุนกองทัพชนกลุ่มน้อย รวมถึงการกดขี่รูปแบบต่างๆ ที่ผลักไสให้คนนับล้านต้องพลัดถิ่นฐาน ทว่า รายงานเหล่านั้นมักไม่ชี้ให้เห็นสภาพการถูกละเมิดสิทธิต่ออาหาร ซึ่งเป็นเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆ และจัดเป็นปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงในชีวิตอย่างรุนแรง"
ความมั่นคงของรัฐบาล ภัยคุกคามของประชาชน
รัฐบาลพม่าเน้นสร้างความมั่นคงทางทหารเป็นนโยบาย สำคัญสูงสุดตลอดมา ปัจจุบันก็ยังเร่งเผด็จศึกกับกองกำลังที่ยังไม่ ยอมจำนนหนักหน่วงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มกะเหรี่ยงเคเอ็นยู แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงในระดับผู้นำ แต่ในพื้นที่ยังคงมีการ ปะทะกันอยู่ตลอดและกองทัพไทยใหญ่เอสเอสเอที่เคลื่อนไหว อยู่ใกล้ชายแดนไทย แม้ว่าจะได้ตกลงหยุดยิงกับกองกำลังชนกลุ่ม น้อยอื่นๆ เช่น มอญ และคะฉิ่นแล้วก็ตาม
นอกจากการเพิ่มกำลังพลและขยายพื้นที่ปฏิบัติการทาง ทหารรุกคืบเข้าสู่ท้องถิ่นต่างๆในแถบภาคตะวันออกแล้วรัฐบาล พม่ายังใช้โครงการพัฒนาเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการเข้าควบคุม พื้นที่และตัดขาดการสนับสนุนที่ประชาชนท้องถิ่น อาจมีให้กับ กองกำลังชนกลุ่มน้อย ทว่า ยุทธศาสตร์ทั้งปวงที่กองทัพพม่าใช้ สร้างความมั่นคงให้รัฐบาลกลับเป็นภัยคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนในแทบทุกด้าน รวมทั้งด้านที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับปัจจัย พื้นฐานที่สุดในการมีชีวิตอยู่อย่างเช่นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร
สิทธิต่ออาหารและความมั่นคงทางอาหารเป็นแนวคิดที่มี ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับความมั่นคงในชีวิตจากปัจจัย ด้านอื่นๆ ซึ่งได้รับการยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ หลายฉบับด้วยกัน เริ่มจากในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อันเป็นคำประกาศร่วมกันของประเทศสมาชิกสหประชาชาติ นับแต่เริ่มก่อตั้งในปี พ ศ 2491 ระบุไว้ในมาตราที่ 25 ว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะได้อยู่ในที่ที่มีมาตรฐานอันเพียงพอ สำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ของตัวเขาเองและครอบครัว ทั้งนี้ รวมถึงการได้รับอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย การดูแลรักษา ทางการแพทย์และความมั่นคงในชีวิตเมื่อเขาต้องประสบกับ การเจ็บป่วย หรือความพิการ และในมาตรา11 ของอนุสัญญา ว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม(ปี 2509 )ระบุว่า สิทธิที่จะได้อยู่ในมาตรฐานชีวิตอันเพียงพอ จำเป็นต้องมีอาหาร ที่เพียงพอ และถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนจะปลอดจาก ความอดอยากหิวโหย ล่าสุด ในคำประกาศของการประชุม ระดับโลกว่าด้วยอาหารโดยผู้นำประเทศ ซึ่งมีตัวแทนรัฐบาล ทหารพม่าเข้าร่วมด้วยเมื่อปี 2539 ระบุว่า ความมั่นคงทาง อาหารมีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับสิทธิในการได้รับอาหารที่ เพียงพอ และหากจะกล่าวให้เข้าใจง่ายขึ้น ความมั่นคงทาง อาหารก็คือภาวะที่เราปลอดจากความกลัวหรือกังวลใจว่าจะมี อาหารประทังชีวิตในมื้อต่อๆไปหรือไม่นั่นเอง
หากพิจารณาตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าว แล้ว ชีวิตในสภาพสงครามกลางเมืองและภายใต้การปกครองของ รัฐเผด็จการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นในพม่าย่อมไม่อาจบรรลุความมั่นคงทางอาหารได้
ยุทธการตัดอาหาร
กองทัพพม่าใช้การทำลายเสบียงอาหารของชาวบ้านเป็น เสมือนอาวุธสงครามปราบปรามฝ่ายทหารชนกลุ่มน้อยมานานแล้ว โดยจัดเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายตัด4 four cut policy คือ ตัดอาหาร งบประมาณ การสื่อสาร และกำลังพล ซึ่งเป็น ยุทธศาสตร์หลักของรัฐบาลพม่าที่มุ่งเป้าการโจมตีไปยังประชาชน พลเรือนเพื่อสร้างความอ่อนแอให้กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยในที่สุด
ปฏิบัติการนี้ถูกนำมาใช้ในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงและภาคพะโค ตั้งแต่ช่วงปี 2517-2518 แล้วจึงขยายไปยังตอนเหนือของรัฐมอญ และภาคตะนาวศรี ซึ่งเป็นเขตเคลื่อนไหวของทหารกะเหรี่ยง เคเอ็นยูทั้งหมด ซึ่งหนักหน่วงขึ้นหลังปี2540 เมื่อมีการละเมิด ข้อตกลงหยุดยิง โดยมีวิธีการคือออกคำสั่งให้ชาวบ้านย้ายออก จากหมู่บ้านที่ทหารพม่าสงสัยว่าจะให้ความช่วยเหลือทหาร กะเหรี่ยงได้ และให้ย้ายไปยังพื้นที่บังคับจัดสรรใหม่ที่ควบคุม โดยทหารพม่า ชาวบ้านจะต้องย้ายอย่างกะทันหันต้องทิ้งทรัพย์สิน และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆไว้เบื้องหลัง โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ มาเก็บกลับไปได้อีกเลย ซึ่งรวมถึงเสบียงอาหารด้วย ไม่ว่า จะเป็นข้าวเปลือก หมาก มะนาว และผลไม้อื่นๆ ซึ่งก็มักจะ เน่าเสียไปหรือถูกแมลงกินจนหมด มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งไม่ ยอมย้ายเข้าไปอยู่ในที่จัดสรรของรัฐบาลพม่า แต่หลบหนีขึ้นไป อยู่ในป่าบนดอย ซึ่งหากทหารพม่ามาพบเข้าก็จะถูกยิงโดยไม่มี การสอบสวนใดๆ ขณะที่หมู่บ้านของพวกเขาก็ถูกเผาจนราบคาบ
ทหารพม่ายังโจมตีคลังอาหารของชาวบ้านได้โดยอ้อม ด้วย การขโมยหรือฆ่าวัวควายซึ่งชาวนาต้องใช้ไถนา ส่วนในพื้นที่สูง ที่ชาวบ้านปลูกข้าวในไร่หมุนเวียน หน่วยลาดตระเวนของทหาร พม่ามักเข้ามาถางหรือเผาข้าวในไร่ทิ้งในช่วงที่ข้าวกำลังออกรวง ทั้งที่ชาวบ้านจะสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้น้อยมากเพียงร้อยละ 40 ของที่ปลูก เนื่องจากการต้องย้ายหนีทหารพม่าบ่อยครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ทหารพม่าก็จะยังเสาะหา ยุ้งฉางและที่เก็บซ่อนข้าวเปลือกและข้าวสารของชาวบ้านเพื่อจะ เผาทำลายทิ้ง
นอกจากชาวบ้านจะไม่เหลือข้าวที่ปลูกเองไว้กินแล้ว การ ซื้อข้าวจากตลาดก็เป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะพ่อค้าถูกห้ามไม่ให้นำ ข้าวเข้าไปขายในเขตป่าใกล้ชายแดนที่ชาวบ้านหลบซ่อนอยู่ บวกกับที่ทหารพม่าวางกับระเบิดมากขึ้นเพื่อกันไม่ให้ชาวบ้านใน เขตหลบซ่อนเข้าถึงตลาดได้ ส่วนที่ลักลอบเข้ามาได้ก็มีราคาสูง เป็นสองเท่าของราคาในเมือง ราว5000 จั๊ตต่อถังหรือ 200 บาท มีการประมาณในปี2545 ว่าผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเฉพาะที่ กระจายอยู่ตามที่หลบซ่อนชั่วคราว250แห่ง ได้สูญเสียข้าวเปลือก ไปจากการยึดและทำลายโดยทหารพม่ารวมกันกว่า3600 เมตริก ตัน และจำนวนข้าวเปลือกที่ถูกเผาหรือถางทิ้งยิ่งสูงกว่านี้มาก
ข้าวถือเป็นแหล่งอาหารหลักของประชาชน โดยมี อาหารเสริมเป็นปลาร้าและพริก ในอดีตชาวกะเหรี่ยงสามารถ ปลูกข้าวและผักผลไม้ต่างๆเพียงพอต่อการยังชีพและแลกเปลี่ยน ภายในรอบปีของการเก็บเกี่ยว ทว่า ในเขตที่มีการสู้รบซึ่ง ทหารพม่าใช้การยึดและทำลายเสบียงอาหารของประชาชน เป็นดังอาวุธสงคราม ชาวบ้านที่หลบซ่อนอยู่ในป่าต้องดิ้นรน เอาชีวิตรอดในแต่ละวันไปตามมีตามเกิด ซึ่งมักต้องอาศัย กินข้าวต้มกับ หน่อไม้ และรากไม้อื่นๆที่หาได้ในป่าปะทังความ หิว แบ่งปันข้าวที่มีอยู่ไม่มากให้แก่กัน และก็ได้แต่หวังว่าจะทำการ เก็บเกี่ยวครั้งต่อไปได้โดยไม่ถูกทหารพม่าเข้ามาทำลายทิ้งเสียก่อน
การพัฒนาเพื่อใคร
ในพื้นที่ชายแดนที่ไม่มีการสู้รบ ประชาชนกลับยังต้อง เผชิญความไม่มั่นคงในชีวิตจากโครงการพัฒนาของรัฐบาลพม่า ซึ่งได้จัดตั้งโครงการขึ้นมารับผิดชอบงานพัฒนาชายแดน โดยเฉพาะ ที่ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า43 ล้านจั๊ต ประมาณ1 ล้าน8แสน บาท ในรอบ10 ปีที่ผ่านมา แม้รัฐบาลพม่าจะประกาศว่า การพัฒนามีเป้าหมายเพื่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ สืบสานวัฒนธรรมชนเผ่าต่างๆ ของชาติกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างคนเชื้อชาติต่างๆ ทำลายล้างพื้นที่ปลูกฝิ่น และรักษา ความมั่นคงและสันติภาพในพื้นที่ชายแดน แต่ในทางปฏิบัติการ พัฒนาเขตชายแดนของรัฐบาลพม่า มักผูกอยู่กับการเพิ่มปฏิบัติการ ทางทหารในพื้นที่ ซึ่งมักตามมาด้วยการก่อสร้างถนนเขื่อน และ การทำไม้ ซึ่งล้วนสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยไม่ได้ ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน แต่อย่างใด
ในรอบ15ปีที่ผ่านมามีการสร้างเขื่อนในพม่าถึง116 แห่ง แล้ว เพื่อเป็นการขยายเขตชลประทานและแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ในหลายกรณี เขื่อนไม่ได้มีประโยชน์ใดๆเลย ดังเช่น เขื่อนพะตี ทางตะวันออกเฉียงเหนือของภาคพะโคที่ไม่สามารถผลิตกระแส ไฟฟ้าได้ เพราะมีความผิดพลาดในการติดตั้งกังหันน้ำ ขณะที่ สันเขื่อนก็เริ่มร้าว ส่วนอ่างเก็บน้ำที่ควรจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม ก็กลับปล่อยน้ำให้ท่วมเรือกสวนไร่นาบริเวณต้นน้ำมากกว่า2000 เอเคอร์ เมื่อปี 2540 และหลังจากนั้นก็เกิดน้ำท่วมพื้นที่สวน ในเขตปลายน้ำทุกปี เพราะอ่างเก็บน้ำไม่สามารถรับปริมาณน้ำ ที่เพิ่มสูงในช่วงหน้าฝนได้
นอกจากนี้ การทำลายพื้นที่ป่าจากการทำไม้ ธุรกิจถ่าน และ การสร้างเขื่อนทำให้การหาของป่ามาเป็นอาหารซึ่งเคยเป็น หลักประกันความมั่นคงทางอาหารของชาวบ้านทำได้ยากขึ้น ชาวนาก็สูญเสียความหลากหลายของพืชพันธุ์ท้องถิ่น ส่งผลต่อ ภาวะโภชนาการ โดยเฉพาะในเด็กและยิ่งเป็นการลดความมั่นคง ทางอาหารของชุมชนและครอบครัวในระยะยาว
การพัฒนาท้องถิ่นที่มาพร้อมกับการเพิ่มกำลังทหารยัง ตามมาด้วยการยึดที่ดินทำกินของชาวบ้าน เพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้าง ค่ายทหารใหม่และให้ครอบครัวนายทหารพม่าใช้ทำกิน โดยเฉพาะ ในรัฐมอญมีที่ดินและที่ทำกินของชาวบ้านถูกยึดรวมกว่า7000 เอเคอร์ โดยชาวบ้านสูญเสียผลผลิตในที่ดินนั้นไปด้วย เช่น ยางพารา มะนาว หมาก ทุเรียน เป็นมูลค่ารวมกว่า500 ล้านจั๊ต กว่า 20ล้านบาท ในพื้นที่ที่กองทหารเข้าประจำการแล้ว มักพบ การบังคับเก็บภาษีตามอำเภอใจของกองทัพ ได้แก่ภาษีลูกหาบ แทนการไปใช้แรงงานทาส ภาษีงบพัฒนาภาษีเพื่อการมา ตรวจงานของกองทัพภาษีข้าว และภาษีเพื่อการมาเยือนของ เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรวมแล้วอาจสูงถึง2000 จั๊ตต่อเดือน 83 บาท และยังต้องเสียภาษีบริจาคที่กองทัพเรียกเก็บเพื่อก่อสร้างถนน และใช้ในการบริหารงานของค่ายทหารอีก500-1000 จั๊ตต่อวัน 20-40บาท ทำให้ชาวบ้านต้องไปกู้ยืมเงินจนเป็นหนี้สูง เพื่อมา จ่ายภาษีเหล่านี้ หากไม่เช่นนั้นจะถูกจำคุก
นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมการเดินทาง คือห้ามชาวบ้าน เดินทางไปไหนมาไหนโดยไม่มีใบอนุญาตผ่านทาง โดยอ้างว่ายังมี กบฎ เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ ทำให้ชาวนาที่มีที่นาอยู่ไกลจาก บ้านไม่สามารถเดินทางไปทำงานในไร่นานั้นได้ ตลอดจนการ บังคับชาวบ้านเป็นแรงงานทาสให้กองทัพและในงานพัฒนา อื่นๆของรัฐ ซึ่งล้วนเป็นการพัฒนาที่ชาวบ้านท้องถิ่นไม่มีส่วนร่วม ในการตัดสินใจ ส่งผลให้ชาวนาจำนวนมากไม่มีเวลาและเรี่ยวแรง ทำงานในไร่นาของตนได้อย่างที่ผ่านมา
นโยบายส่งเสริมความยากจน
ประเทศพม่าเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ชาวนาทั้งใน เขตที่ราบและบนที่สูงต่างสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตพอเพียงเป็น อาหารและแลกเปลี่ยน บางแห่งมีการเลี้ยงปศุสัตว์ และปลูกผัก ผลไม้หลายชนิดตามลักษณะท้องถิ่นและความต้องการของ ครอบครัวและชุมชน แต่ในพื้นที่ควบคุมของรัฐบาลพม่า ประชาชน เริ่มประสบปัญหาความยากจน และขาดแคลนอาหารอันเนื่อง มาจากการใช้นโยบายเกษตรของรัฐบาลที่บังคับการปลูกพืชเชิง พาณิชย์และการกำหนดภาษีโควตาผลผลิต
แต่ดั้งเดิม ชุมชนท้องถิ่นในชนบทใช้ภูมิปัญญาในการดึง ประโยชน์และอนุรักษ์พื้นที่ป่าได้อย่างสมดุลย์ ดังเห็นได้ว่า ป่าไม้ในพม่าอุดมสมบูรณ์มาหลายชั่วอายุคน ปัจจุบัน โครงการ พัฒนาการเกษตรแบบใหม่ของรัฐบาลเข้ามาทำลายวิถีการ เพาะปลูกแบบเดิม และทำลายความมั่นคงทางอาหารของ ชาวบ้านอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ควบคุมของรัฐบาลที่ เมืองบิลิน รัฐมอญ มีการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเช่น อ้อย ยางพารา งา และชาวนาถูกบังคับให้ต้องปลูกข้าวพันธุ์ดัดแปลง ใหม่ โดยต้องเลิก ปลูกข้าวสายพันธุ์พื้นเมือง เมล็ดพันธุ์ที่รัฐบาล แนะนำให้ปลูกนี้ได้ผลผลิตลดลงอย่างมาก ถือเป็นการกดดันให้ ประชาชนต้องละทิ้งระบบการพึ่งพาตนเองไปพึ่งตลาดและรัฐ ในบางพื้นที่กองทัพขู่จะริบที่ดินของชาวนา หากไม่ยอมปลูกพืช ที่รัฐบาลกำหนดมา
ชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถซื้อสารเคมี ในการเกษตรที่พวกเขาไม่เคยใช้มาก่อน แต่กลายเป็นสิ่งจำเป็น ในการเกษตรแบบใหม่ เช่นปุ๋ย ยาฆ่าแมลง อีกทั้งต้องเสียค่าน้ำ ที่ใช้ในการเกษตรด้วย ขณะที่ยังจะต้องจ่ายภาษีข้าวเปลือก ในอัตรา 12 ตะกร้าต่อเอเคอร์ ชาวนาที่ไม่สามารถแบกรับ ภาระที่เพิ่มขึ้นนี้ได้จึงถูกบีบให้ทิ้งที่นา ไปทำงานรับจ้างรายวัน หรือไม่ก็ไปเผาถ่านขาย ซึ่งก็ยังไม่อาจหาเงินพอเลี้ยงครอบครัวได้ ทั้งนี้ เนื่องจากวิกฤติเงินสินเชื่อที่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทวีความ รุนแรงในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยมีกำลังซื้อน้อยลง ราคาข้าวในเขตนอกตัวเมืองถีบตัวสูงขึ้นร้อยละ33 ในรัฐมอญ และร้อยละ25 ในภาคพะโค ขณะที่ค่าแรงในเขตควบคุมของ รัฐบาลเช่นที่เมืองบิลิน รัฐมอญ อยู่ในอัตราต่ำกว่า350จั๊ตต่อวัน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ครอบครัวหนึ่ง 4-5คน จะพอซื้อข้าว1 ปยี 2กิโลกรัม สำหรับกินในหนึ่งวัน
นอกจากควบคุมพืชที่เพาะปลูกแล้ว ชาวนาที่ปลูกข้าวยัง ถูกบังคับขายข้าวให้รัฐบาลตามเป้าหมายเพื่อเพิ่มตัวเลขส่งออก ข้าวของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้ชาวนายากจนลง โควตาการผลิต นี้อยู่ในช่วง8 ตะกร้าต่อเอเคอร์ 0.25ตัน ในรัฐฉานไปจนถึง16ตะกร้า 0.5ตัน ต่อเอเคอร์ในรัฐมอญ ตัวเลขโควตา รวมที่รัฐบาลกำหนดค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก100000ตัน ในปี2532เป็น1.5ล้านตันในปี2545 แม้ว่าปริมาณข้าวที่ ส่งออกไปจริงจะมีเพียงแค่0.92ล้านตัน การกำหนดตัวเลข ที่ไม่เป็นไปตามจริงเช่นนี้สร้างความทุกข์ให้กับชาวนาอย่าง แสนสาหัส เพราะรัฐบาลใช้การกำหนดโควต้าตามพื้นที่นา แทนที่จะกำหนดตามผลผลิตที่ได้จริง เมื่อเกิดน้ำท่วมหรือแห้งแล้ง เช่นที่เกิดในปี2545 ผลผลิตก็จะลดลง แต่ชาวนาก็ต้องขาย ข้าวให้รัฐบาลตามโควต้าที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว ชาวนาที่ได้ข้าว ไม่พอจึงต้องไปซื้อข้าวจากตลาดเพื่อนำมาขายให้รัฐบาล ซึ่งเป็น ราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึงร้อยละ90นโยบายการเกษตรเหล่านี้ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวนาในพม่ายากจนลง
ความไม่มั่นคงทางอาหาร กับชีวิตที่เปราะบาง
อาหารที่สะอาดและพอเพียงเป็นพื้นฐานของสุขภาพที่ดี ความอดอยากหรือความไม่มั่นคงทางอาหารจึงนำมาซึ่งความ ไม่มั่นคงทางสุขภาพด้วย มีรายงานของกลุ่มแพทย์เคลื่อนที่ใน ปี2545 เปิดเผยว่า ภาวะโภชนาการของประชาชนที่หลบหนี การสู้รบและทหารพม่าเข้ามาอยู่ในเขตป่าชายแดนนั้นย่ำแย่มาก โดยเฉพาะในหมู่เด็ก ผู้หญิง และคนชรา อัตราทุพโภชนาการ ในเด็กอยู่ที่ร้อยละ11.4 ซึ่งถือว่ารุนแรงมากตามมาตรฐาน ขององค์การอนามัยโลก อีกทั้งร้อยละ3.4ของประชากร ในกลุ่มสำรวจทั้งหมดขาดวิตามินเอ และมากกว่าร้อยละ0.5ถือว่ามีปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรง
เนื่องจากเด็กที่กำลังเติบโตต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น อยู่เสมอ เด็กที่อยู่ในกลุ่มผู้พลัดถิ่นจึงมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะ ขาดสารอาหารรุนแรง เพราะในภาวะกดดันเช่นนั้น เด็กๆมัก ขาดโปรตีน และเจ็บป่วยง่าย เมื่อภาวะขาดสารอาหารรุนแรงขึ้น เด็กจะมีพัฒนาการช้าและภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จึงเสียชีวิตจาก การติดเชื้ออื่นๆ ได้ง่าย เช่นจากไข้มาเลเรีย ปัญหาสุขภาพ พื้นฐานของผู้พลัดถิ่นมักลุกลามรุนแรงขึ้นจากการที่ต้อง ย้ายถิ่นฐานบ่อยครั้ง เมื่อทหารพม่าติดตามใกล้เข้ามา และการ ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เหมะสม ปัญหาที่พบ บ่อยอีกประการหนึ่งคือ การคลอดฉุกเฉินในป่า ซึ่งมีแม่เสียชีวิต หลังการคลอดสูงถึง1300ต่อ100000 คน และทารกเสียชีวิตสูง ถึง148 ต่อ1000คน สาเหตุหนึ่งมาจากแม่ไม่ได้รับสาร อาหารจำเป็นที่พอเพียง ทั้งในระหว่างตั้งครรภ์และช่วงที่ต้องให้ นมลูก
แม้ยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นระบบถึงผลกระทบของความ อดอยากต่อปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อื่นๆที่อยู่ใน ควบคุมของรัฐบาลพม่า รายงานของกลุ่มแพทย์เคลื่อนที่ซึ่งเข้า ไปปฏิบัติงานช่วยเหลือด้านสุขภาพในเขตหลบซ่อนของผู้พลัดถิ่น แถบชายแดนข้างต้น ย่อมถือเป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนถึงความเกี่ยวโยง ระหว่างความไม่มั่นคงทางอาหารและปัญหาสาธารณสุขได้เป็น อย่างดี
ประชาชนพม่าผู้ถูกคุกคามความมั่นคงทางอาหารโดยรัฐบาล ไม่อาจใช้กระบวนการยุติธรรมหรือหลักกฎหมายใดๆ ภายในประเทศเรียกร้องการแก้ไขหรือชดเชยสิ่งที่ถูกละเมิดได้ แม้ว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลพม่ามีพันธะผูกพันต่อจารีตระหว่างประเทศในอันที่จะประกันความมั่นคงและสิทธิมนุษยชนของพลเมืองตน ซึ่งสอดคล้องกับส่วนเพิ่มเติมคำประกาศในการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยอาหารของโลกปี 2544 ที่ระบุมาตรา 5 ว่า สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้งมวล รวมถึงสิทธิที่จะมีการพัฒนาประชาธิปไตย (และ) หลักนิติธรรม..จัดเป็นสารัตถะสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางอาหาร
ความไม่รับผิดชอบของรัฐบาลทหารพม่าในกรณีนี้ชี้ชัดถึงความเชื่อมโยงระหว่างการปกครองที่เป็นธรรมกับความมั่นคงทางอาหารของประชาชนผู้คนในพม่าที่กำลังเผชิญความอดอยาก หรือความไม่มั่นคงทางอาหารที่เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอ่อนล้าเกินจะเรียกร้องต่อสู้เพื่อสิทธิทางการเมืองของพวกเขา