การประชุมสมัชชาแห่งชาติ เหล้าเก่าในขวดใหม่

นับตั้งแต่รัฐบาลทหารประกาศว่าจะมีการจัดประชุมสมัชชา แห่งชาติครั้งใหม่ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 นี้ ทั่วโลก ก็เฝ้าจับตามองความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่าด้วยความหวัง มาโดยตลอด แต่ทว่า หลังจากพลโทเทียน เส่ง ประธาน การประชุมสมัชชาแห่งชาติ ประกาศในหนังสือพิมพ์ นิวไลท์ออฟเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมาว่า การประชุมครั้งนี้จะยึดวัตถุประสงค์การประชุมเดิมทั้ง 6 ข้อ รวมถึงแนวทางการประชุมต่าง ๆ เหมือนเมื่อครั้งการประชุมเมื่อปี 2539 ความหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในพม่าก็ดูเหมือน จะริบรี่ลงทุกที เพราะหากการประชุมยังยึดหลักการเดิม ซึ่ง ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ การประชุมครั้งนี้ก็คงจะ เข้าทำนองสำนวนไทย “เหล้าเก่าในขวดใหม่” คือ สถานที่และ กาลเวลาใหม่ แต่เนื้อหาเก่าเหมือนเดิม


วัตถุประสงค์การประชุมเดิมทั้ง 6 ข้อนั้น ประกอบด้วย

ข้อหนึ่ง ธำรงไว้ซึ่งความเป็นสหภาพ
ข้อสอง ธำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกภาพของชาติ
ข้อสาม ธำรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย
ข้อสี่ สนับสนุนประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมือง
ข้อห้า สนับสนุนหลักความยุติธรรม, อิสรภาพ และความเสมอ ภาคตามหลักสากล
ข้อหก ฝ่ายกลาโหมต้องมีบทบาทนำทางการเมืองของประเทศ ในอนาคต

ในบรรดาวัตถุประสงค์ทั้งหกข้อ ข้อที่พรรคการเมือง ฝ่ายค้านและชนกลุ่มน้อยยอมรับไม่ได้มากที่สุดก็คือ ข้อที่หก เพราะนั่นหมายความว่า ประเทศพม่าในอนาคต ไม่ว่าจะ เป็นประชาธิปไตย มีระบบพรรคการเมืองหลายพรรคมากแค่ไหน อนาคตของพม่าจึงไม่น่าจะต่างอะไรกับอดีตและปัจจุบัน คือ มีทหารเป็นผู้นำประเทศ

นอกจากนี้ วัตถุประสงค์ข้อหกได้ก่อให้เกิดคำถามต่อความ หมายของวัตถุประสงค์ข้ออื่น ๆ ตามมา โดยเฉพาะข้อสี่ ซึ่งระบุว่า ประเทศพม่าจะสนับสนุนประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมือง แต่ถ้าหากประเทศพม่ายังคงมีทหารเป็นผู้นำ การสนับสนุน ประชาธิปไตยระบบหลายพรรคการเมืองจะเกิดขึ้นในทิศทางใด พรรคการเมืองที่จะมีโอกาสปกครองประเทศจะต้องเป็น พรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตรกับฝ่ายผู้นำทหารหรือไม่ หากทหารยังคงมีบทบาทสำคํญ ประชาชนจะกล้าเลือกพรรค การเมืองที่ไม่ใช่พันธมิตรกับฝ่ายทหารหรือไม่ และพรรคการเมือง ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายผู้นำทหารจะมีโอกาสได้เติบโตในวิถีทาง การเมืองแบบประชาธิปไตยหรือไม่

สิ่งที่น่าคิดต่อไปก็คือ ขณะนี้ รัฐบาลทหารได้ทำการ เจรจาหยุดยิงกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยไปแล้วเกือบทั้งหมด โดยรัฐบาลต้องการให้กองกำลังชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ผันตัวเอง มาเป็นพรรคการเมือง คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ หากพรรคการเมือง ดังกล่าวเป็นอดีตกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่สนิทกับฝ่ายผู้นำทหารเป็นพิเศษ และเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเช่น กลุ่มขุนส่า หรือ กลุ่มว้า พรรคการเมืองเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายทหารเป็นพิเศษ หรือไม่

ประเด็นที่น่าติดต่อตามกันต่อไปก็คือ หากการประชุมครั้งนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จะแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับแรกปี 1947 หลังพม่าได้รับเอกราชอย่างไร เพราะหากพิจารณาในความสำคัญ ของรัฐธรรมนูญฉบับแรกจะพบว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่มีความ สมบูรณ์อยู่ในตัว คือ ระบุให้ใช้ระบบการปกครองแบบรัฐสภา ซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประมุข และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจ บริหารรัฐสภาประกอบด้วย 2 สภา ได้แก่ สภาผู้แทน ราษฏร และสภาชนชาติ โดยชนชาติต่าง ๆ ในสหภาพสามารถมีผู้แทน ของตนอยู่ในทั้ง 2 สภา นอกจากนี้ ในคณะรัฐมนตรีจะ ต้องมีรัฐมนตรีว่าการกิจการของแต่ละชนชาติ แต่ละรัฐมีรัฐบาล ระดับรัฐ

สาเหตุที่ผู้นำทหารไม่อยากนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาใช้ ปัจจัยสำคัญน่าจะเป็นเพราะเรื่อง การระบุเรื่องสิทธิการแยก ตัวสำหรับ รัฐคะยาและรัฐไทยใหญ่ ซึ่งมีสิทธิ์แยกตัวออกไปปกครองตนเอง หลังจากอยู่ร่วมกับรัฐอื่น ๆ ครบ ๑๐ ปีนับจากวันที่ได้เอกราช แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เนื้อหารัฐธรรมนูญส่วนอื่น ๆ ไม่ควรนำมาใช้ไปด้วย

ถ้าจะให้ดี ผู้นำทหารลองนำรัฐธรรมนูญฉบับแรกและฉบับใหม่ มาจัดทำประชามติ หยั่งเสียงประชาชนว่าต้องการใช้ฉบับไหนมากกว่ากัน ซึ่งน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแก้ปัญหาทางการเมืองในพม่าก็เป็นได้