โดย กะแนจอ
"นี่คือลูกแอปเปิ้ลผสมกับมะเขือเทศ" เด็กหญิงดาว เชื้อสายไทยใหญ่ วัย 5 ขวบ ให้คำจำกัดความวัตถุรูปร่างเกือบกลมสีแดงที่อยู่ในมือ ส่วนเพื่อนๆ และพี่ๆ ในชุมชนแรงงานอพยพเดียวกันต่างก็ตั้งชื่อเรียกหนังสือพิมพ์เก่าที่ผ่านการแปลงร่างเป็นผลไม้ต่างๆ ตามจินตนาการของแต่ละคน
"เด็กๆ คนไหนที่ทาสีเสร็จแล้วให้เอาผลไม้ไปตากรวมกันแล้วมารวมกันที่ครูแม็ค เดี๋ยวเราจะเล่นเกมส์ระหว่างรอให้สีแห้ง"
เสียงครูแม็ค ชายหนุ่มวัย 27 ปีตะโกนบอกลูกศิษย์ตัวน้อย ส่วนครูแสงเดือนกำลังช่วยลูกศิษย์ที่ยังระบายสีไม่เสร็จเพื่อให้รีบไปร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ
ไม่นานนัก เสียงหัวเราะก็ดังระงมไปทั่วชุมชนแรงงานอพยพ บริเวณอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ่อแม่ของเด็ก ๆ ต่างชะโงกออกจากประตูสังกะสีมาดูลูกน้อยของตน แม้ว่าร่างกายจะดูอิดโรยจากการใช้แรงงานก่อสร้างมาทั้งวันแต่ใบหน้าของทุกคนก็มีความสุขกับโอกาสเล็กๆ ที่มีคนใจดีหยิบยื่นให้
กิจกรรมข้างต้นมีชื่อว่า โครงการศิลปะเพื่อเด็กอพยพ หรือ Art for Migrant Children Project (AMCP) ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มสตูดิโอซ้าง เชียงใหม่ (Studio Xang Chiangmai) องค์กรซึ่งทำงานพัฒนาเด็กด้วยศิลปะ กลุ่มสตูดิโอซ้างเริ่มต้นทำงานด้านศิลปะเพื่อการพัฒนาเด็กมาตั้งแต่ปี 2537 โดยมีสำนักงาน แรกอยู่ในกรุงเทพฯ หลังจากนั้นปี 2544 จึงแตกหน่อออกมาตั้งสตูดิโอซ้าง เชียงใหม่
อาจารย์ต้อย หรือ พดุงศักดิ์ คชสำโรง อาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ดูแลสตูดิโอซ้าง เชียงใหม่ กล่าวถึงแนวคิดในการทำงานศิลปะเพื่อพัฒนาเด็กว่า
"ศิลปะเพื่อพัฒนาเด็ก คือ การจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กที่มุ่งเน้นส่งเสิรมพัฒนาการต่างๆ และการแสดงออกทั้งอารมณ์และความคิดให้เป็นไปตามธรรมชาติและเหมาะสมตามช่วงอายุ กิจกรรมของเราจะให้ความสำคัญกับกระบวนการในการสร้างงานศิลปะมากกว่าผลผลิตหรือผลงาน เพราะในขณะที่เด็กทำงานศิลปะ เด็กจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจะส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านต่างๆ ของเด็ก"
ในช่วงแรก สตูดิโอซ้าง เชียงใหม่ทำงานกับกลุ่มเด็กชนชั้นกลางในโรงเรียนอนุบาล หลังจากนั้นจึงเริ่มทำงานกับกลุ่มเด็กลูกแรงงานอพยพตามไซต์ก่อสร้างในเชียงใหม่ เด็กในค่ายผู้อพยพหรือพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และจังหวัดแม่ฮ่องสอน
โครงการศิลปะสำหรับเด็กลูกแรงงานอพยพเกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่า เด็กทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เด็กลูกแรงงานควรมีโอกาสในการเรียนรู้เท่าเทียมกับเด็กอื่นๆ และเป้าหมายของโครงการนี้ คือ การสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นต่อชุมชนว่าการทำงานศิลปะเพื่อการพัฒนาเด็กมีประโยชน์ต่อชุมชน หลักสูตรหนึ่งจะใช้เวลาสอนทั้งหมด 10 ครั้ง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ห้าโมงครึ่งจนถึงทุ่มครึ่ง หลังจบหลักสูตร ทีมงานจะลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ปกครองเพื่อสอบถามเรื่องพัฒนาการของเด็กๆ ก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรม หลังจากนั้นทีมงานก็จะย้ายไปเปิดหลักสูตรเดียวกันนี้ในชุมชนแรงงานอพยพแห่งใหม่เพื่อกระจายโอกาสให้กับเด็กในพื้นที่อื่นต่อไป
ช่วงแรกของการทำงานกับลูกแรงงานอพยพ อาจารย์ต้อยเริ่มทำงานเพียงลำพัง โดยหากเย็นวันไหนมีเวลาว่างก็จะนำอุปกรณ์ศิลปะขึ้นรถโฟล์วีลคาริบเบียนคู่ใจตระเวนไปตามชุมชนแรงงานอพยพ ไม่นานนัก ครูดาว หญิงสาวชาวฝรั่งเศสผู้รักการสอนงานศิลปะเพื่อเด็กก็เริ่มกลายมาเป็นคู่หูทำงานร่วมกัน ตามด้วยอาสาสมัครหนุ่มสาวที่อยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จนกระทั่งกลายเป็นคณะทำงานกลุ่มเล็กๆ ในที่สุด หลังจากพบว่าเด็กๆ มีพัฒนาการทางสังคมและจิตใจดีขึ้น นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา โครงการนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนต่างประเทศเพื่อให้ทำงานกันได้อย่างเต็มที่
![]() |
อ.ต้อย ผู้ริเิริ่มโครงการศิลปะเพื่อเด็กลูกแรงงานก่อสร้าง |
"เด็ก ๆ จะวาดภาพจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่ เช่น เด็กที่อยู่ในแคมป์คนงานที่ไม่มีบริเวณให้วิ่งเล่นก็จะวาดภาพเป็นทางเดินแคบ ๆ หรือหากอยู่ในบริเวณที่มีภูเขาหรือลานโล่ง เด็กๆ ก็จะวาดภาพเหล่านั้นออกมา ส่วนภาวะทางอารมณ์ของเด็ก ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม เช่น ถ้าได้อยู่ในบริเวณที่สามารถวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆในชุมชนได้ เด็กๆก็จะค่อนข้างร่าเริง ต่างกับเด็กที่ต้องอยู่แต่ในห้องพักคนงานกับพ่อแม่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากไม่มีพื้นที่วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ"
หน้าที่ของครูพี่เลี้ยงทุกคน นอกจากเป็นผู้นำกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กๆ แล้ว ยังต้องคอยสังเกตพฤติกรรมและพัฒนาการของลูกศิษย์แต่ละคนควบคู่ไปด้วย หากเด็กคนไหนมีพฤติกรรมแตกต่างจากเด็กส่วนใหญ่ เช่น ก้าวร้าวหรือสมาธิสั้น ครูพี่เลี้ยงก็จะต้องคอยดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้เด็กค่อย ๆ ปรับบุคลิกภาพของตนจนกระทั่งเข้ากับเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ได้
ครูแม็ค กล่าวถึงพัฒนาการของเด็กหลายคนหลังจากลงพื้นที่ประเมินผลกับผู้ปกครองว่า
"ผู้ปกครองบางคนเล่าว่า เมื่อก่อนเวลาลูกอยากได้อะไรจะตะโกนเสียงดังและแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่หลังจากเข้าร่วมกิจกรรม ลูกเริ่มอารมณ์เย็นลงและรู้จักอดทนรอ หากพ่อแม่ยังไม่ว่าง"
ผู้ปกครองหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูก ๆ จะตื่นเต้นในวันที่รู้ว่าครูจะมา และทุกคนจะมีเรื่องราวกลับมาเล่าให้พ่อแม่ฟังหลังจากครูกลับไป พ่อแม่ทุกคนต่างมีความสุขเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของลูก ๆ ที่เดินกลับบ้านพร้อมผลงานศิลปะในมือ
ครูดาว เพื่อนร่วมงานยุคบุกเบิกกับอาจารย์ต้อย แสดงความเห็นต่อภาวะจิตใจของเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า
"การย้ายบ้านไปเรื่อย ๆ ตามพื้นที่ทำงานก่อสร้างของพ่อแม่ ทำให้ความเป็นชุมชนเกิดความไม่มั่นคงและส่งผลต่อภาวะความมั่นคงทางอารมณ์ของเด็ก ๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนในชุมชนหรือเพื่อนในโรงเรียน เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้คบกับเพื่อนคนนี้ไปได้อีกนานไหม หลักสูตรของเราจะช่วยสร้างความมั่นคง ทางอารมณ์ให้เขามากขึ้นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ"
ปัจจุบัน โครงการนี้มีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทั้งหมด 6 คน จัดกิจกรรมลงพื้นที่ในชุมชนแรงงานอพยพจังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่ง คือ วันอังคารและวันพฤหัสบดี ส่วนวันเสาร์จะมีรถโดยสารตระเวนรับเด็ก ๆ จากชุมชนแรงงานในเขตอื่น ๆ อีกสองถึงสามแห่งมาสอนที่สำนักงาน และในปี 2550 นี้ ได้วางแผนขยายโครงการไปยัง พื้นที่แม่สอด 2 แห่ง แม่สะเรียง 1 แห่ง รวมทั้งเพิ่มพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่เป็น 5 แห่ง
อาจารย์หนุ่มผู้ริเริ่มโครงการเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานศิลปะเพื่อพัฒนาเด็กแรงงานอพยพในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า
"เด็กทุกคนมีศักยภาพเท่าเทียมกันแต่โอกาสในการพัฒนาแตกต่างกัน ลูกชนชั้นกลางจะมีโอกาสได้เห็นได้ทำ กิจกรรมต่าง ๆ มากว่า ขณะที่ลูกแรงงานอพยพ พ่อแม่ต้องทำงานหนัก พอกลับบ้านก็เหนื่อย จึงไม่มีเวลาเล่นกับลูก รวมทั้ง ไม่มีเงินพาลูกไปเที่ยวมากนัก โอกาสของเด็กที่แตกต่างกันทำให้การแสดงออกทางความคิดบางเรื่องถูกจำกัดแตกต่างกัน เช่น ถ้าให้วาดรูปสวนสัตว์ เด็กลูกแรงงานบางคนที่ไม่เคยไปก็จะนึกไม่ออก ขณะที่ลูกชนชั้นกลางสามารถวาดรูปได้หลากหลาย แต่หาก เป็นพัฒนาการทางอารมณ์ ผมคิดว่า เด็กลูกแรงงานจะมีการแสดงออกความเป็นเด็กมากกว่าลูกชนชั้นกลางซึ่งถูกตีกรอบด้วยมารยาททางสังคมมากมาย หากเด็กๆ ลูกแรงงานได้มีโอกาสเรียนรู้เท่ากับลูกชนชั้นกลาง ผมคิดว่าความสามารถของพวกเขาจะไม่แตกต่างกัน"