โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
ในบทความนี้ ผู้เขียนใคร่จะนำปัญหาของคุณจอบิมาพิจารณาต่อเพื่อความเข้าใจเรื่องของ "บุคคลบนพื้นที่สูงที่ตกหล่นจากทะเบียนราษฎร" อย่างเป็นละเอียดลออและเป็นระบบอีกครั้งหนึ่ง ท่านผู้อ่านควรกลับไปอ่านบทความเรื่อง "จอบิ : สิทธิที่คนตกหล่นจากทะเบียนราษฎรจะร้องขอต่ออำเภอที่จะพิสูจน์ความเป็นราษฎรไทยมีหรือไม่?" ในสาละวินโพสต์ฉบับที่ 35 (16 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม พ.ศ.2549)เสียก่อน เพื่อที่จะทราบว่าจอบิเป็นใคร ? และประสบความไร้รัฐและชะตากรรมอันเนื่องมาจากความไร้รัฐ เช่นใดบ้าง? และในที่สุด คุณจอบิได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาและทางปกครองจากระบบตุลาการไทยในลักษณะเช่นใด ?
เรื่องราวในฉบับที่แล้ว ทำให้เรามั่นใจว่า คนไร้รัฐก็มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรมไทยไม่ว่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญา หรือทางปกครอง เมื่อคุณจอบิมิได้ฆ่าคนตาย ศาลอาญาไทยก็จะคุ้มครองผู้บริสุทธิ์จากการกล่าวหาของอัยการ และแม้คุณจอบิจะไม่มีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ออกโดยรัฐใดเลย การมีข้อเท็จจริงว่ามีภูมิลำเนาในเขตอำเภอแก่งกระจานก็ก่อหน้าที่แก่อำเภอแก่งกระจานที่จะต้อง "รับคำร้อง" เพื่อพิจารณาและกำหนดสถานะบุคคลตามกฎหมายไทย ให้แก่คุณจอบิ การปฏิเสธคำร้องของนายอำเภอแก่งกระจานจึงเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2549 จึงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของนายอำเภอ แก่งกระจาน (อ่านรายละเอียดคำพิพากษาในฉบับที่แล้ว) ผลก็คือ นายอำเภอแก่งกระจานมีหน้าที่ต้องพิจารณาคำร้องขอดังกล่าว ขอให้สังเกตว่า คุณจอบิใช้เวลาเกือบ 3 ปีที่จะได้รับการยืนยันว่า "มีสิทธิที่จะร้องขอ" แต่ในเรื่องของ "สิทธิที่จะได้รับการเพิ่มชื่อ" นั้น ขึ้นอยู่กับผลของกระบวนการพิสูจน์สิทธิในสัญชาติไทยของคุณจอบิ ถ้ากระบวนการไม่เริ่มต้น สิทธิในสัญชาติไทยของคุณจอบิ ก็จะถูกปฏิเสธต่อไป หรือถ้ากระบวนการผิดพลาด สิทธิดังกล่าวก็อาจจะถูกกระทบกระทั่ง และอาจนำไปสู่การต่อสู้คดีในชั้นศาลปกครองในเรื่องสิทธิในสัญชาติอีกได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐและประชาชนเลย
นายอำเภอแก่งกระจานมีหน้าที่ต้องจัดการกระบวนการพิสูจน์สิทธิในสัญชาติไทยให้แก่คุณจอบิอย่างไร ? : เป้าหมายของบทความเกี่ยวกับคุณจอบิในฉบับนี้
ในฉบับนี้เราจึงมาศึกษา"หน้าที่"ของนายอำเภอแก่งกระจาน ที่กฎหมายและนโยบายและรัฐไทยกำหนดให้ต้องปฏิบัติต่อคุณจอบิ ดังที่เราทราบ คุณจอบิอ้างว่าตนมีสัญชาติไทย ดังนั้น นายอำเภอแก่งกระจานจึงจัดให้มี "กระบวนการพิสูจน์สัญชาติไทย" ให้แก่คุณจอบิ กระบวนการนี้ย่อมจะต้องเป็นไปภายใต้กฎหมายไทยว่าด้วยสิทธิในสัญชาติไทย จะเห็นว่า เมื่อคุณจอบิ ผู้ฟ้องคดีร้องขอใช้สิทธิที่จะขอมีชื่อในทะเบียนราษฎรไทย โดยขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านตามข้อ 97 นี้ จะเห็นว่าศาลปกครองกลางในคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2549 ก็ได้ยืนยันว่า "....ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (นายอำเภอแก่งกระจาน) ดำเนินการสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้ววินิจฉัยตามข้อ 97 ของระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ.2535 ตามอำนาจหน้าที่ต่อไป...." จะเห็นว่าศาลปกครองยอมรับอย่างชัดเจนว่า แม้คุณจอบิจะเป็นบุคคลบนพื้นที่สูงก็มีสิทธิที่จะร้องขอมีชื่อในทะเบียนราษฎรในสถานะของ "บุคคลอ้างว่า เป็นคนมีสัญชาติไทย ขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) โดยไม่มีหลักฐานเอกสารมาแสดง" อีกด้วย ดังนั้น นายอำเภอแก่งกระจานจึงต้องจัดให้มี "กระบวนการพิสูจน์สัญชาติไทย 6 ขั้นตอนตามที่ข้อ 97 กำหนด" ในการจัดการกระบวนวิธีพิจารณานี้ ศาลปกครองกลางดังกล่าวยังเสนอแนะให้นายอำเภอแก่งกระจานต้องปฏิบัติอีก 2 ประการ กล่าวคือ (1) นายอำเภอแก่งกระจานแนะนำคุณจอบิแก้ไขเพิ่มเติม คำร้องเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร (ท.ร.31) ลงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2547 ที่ขอเพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนบ้านให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ก่อนที่จะดำเนินการสอบสวน และ (2) ให้นายอำเภอแก่งกระจานจัดให้มีล่ามแปลโดยความยินยามของคุณจอบิ ในกรณีที่พยานบุคคลใดไม่สามารถพูดหรือฟังภาษาไทยได้ชัดเจน
ข้อกฎหมายสาระบัญญัติว่าด้วยสัญชาติไทย : จอบิมีข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบแห่งข้อเท็จจริงที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ?
โดยพิจารณาข้อเท็จจริงของคุณจอบิที่สภาทนายความสรุปข้อเท็จจริงมาแล้ว คุณจอบิมีข้อเท็จจริงครบตามองค์ประกอบ ที่กำหนดโดยมาตรา 7 แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 ซึ่งมีผลในวันที่คุณจอบิเกิด คือวันใดวันหนึ่งใน พ.ศ.2510 สาเหตุที่คุณจอบิไม่ทราบวันเกิดของตนเองแน่ชัดเนื่องจากคุณจอบิเป็น "ชาวเขา" หรือที่เรียกในยุคนี้ว่า "บุคคลบนพื้นที่สูง" เกิดที่บ้านใจแผ่นดิน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สูงอย่างที่ความเจริญ เข้าไม่ถึง แม้ในปัจจุบัน การเดินทางเข้าไปในพื้นที่นี้ก็ยังเป็นไปอย่างยากลำบาก และประกอบกับครอบครัวของเขาเป็นคนในชาติพันธุ์กะเหรี่ยง การนับวันปฏิทินจึงไม่ตรงกับคนในพื้นที่ราบที่รับอารยธรรมตะวันตกมานานแล้วนับกัน แต่ด้วยการค้นคว้าของ อาจารย์วุฒิ บุญเลิศ ซึ่งเป็นปราชญ์กะเหรี่ยงที่เรียนรู้ทั้งวัฒนธรรมกะเหรี่ยงและวัฒนธรรมตะวันตก การสืบค้นข้อเท็จจริงดังกล่าวก็น่าจะไม่ผิดพลาด วิทยาศาสตร์สังคมในเรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจนและน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ การค้นคว้าของนักวิจัยด้านชาติพันธุ์ยืนยัน ตรงกันอีกว่า บิดาและมารดาของคุณจอบิก็เป็นคนกะเหรี่ยงที่น่าจะ เกิดและอาศัยอยู่ในเขตอำเภอแก่งกระจานระหว่างปี พ.ศ.2471 - 2487 จึงฟังได้ว่า บุคคลทั้งสองก็น่าจะมีสัญชาติไทยโดยผลของมาตรา 3 (3) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2456 ซึ่งมีผลในขณะที่บุคคลทั้งสองเกิด
เมื่อข้อเท็จจริงของพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ ฟังได้ว่า (1) คุณจอบิเกิดในประเทศไทย (2) มารดาเกิดในประเทศไทย และ (3) บิดาก็เกิดในประเทศไทย ก็อาจสรุปผลทางกฎหมายได้เลยว่า คุณจอบิย่อมได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิดโดยหลักดินแดนผลของมาตรา 7 (3) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 และก็ ไม่เสียสัญชาติไทยโดยผลของข้อ 1 แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 นอกจากนั้น คุณจอบิ ยังได้สัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดาโดยผลของมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ประกอบกับมาตรา 7(1) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 ซึ่งแก้ไขและเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535
โดยข้อกฎหมายสาระบัญญัติดังกล่าว การปฏิเสธสิทธิในสัญชาติไทยของคุณจอบิจึงดำเนินมาตั้งแต่วันที่คุณจอบิเกิด ความเสียหายที่คุณจอบิถูกถือเป็นคนต่างด้าวจึงดำเนินมาตั้ง
ระยะเวลา 40 ปีของอายุคุณจอบิ และส่งผลร้ายต่อบุตรอีก 4 คน ที่ต้องตกเป็น"คนไร้รัฐ" และถูกถือเป็นคนต่างด้าว
หากคุณจอบิไม่ตกหล่นจากทะเบียนราษฎร กล่าวคือ มีการ รับแจ้งการเกิดของคุณจอบิในทะเบียนราษฎร คุณจอบิก็จะมีพยานเอกสารมหาชนที่กล่าวอ้างได้อย่างชัดเจนเหมือนคนเกิดในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เลย และไม่ใช่ความผิดที่กล่าวอ้างคุณจอบิได้ เพราะรัฐไทยเพิ่งจะมีกฎหมายปกครองลูกบทของกฎหมายทะเบียนราษฎรเพื่อรับรองสิทธิของชาวเขาสัญชาติไทยใน พ.ศ.2517 กล่าวคือ 7 ปี หลังจากคุณจอบิเกิด ปัญหาของคุณจอบิเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหารของรัฐที่มิได้ทำงานภายใต้กฎหมายสัญชาติและกฎหมายทะเบียนราษฎรอย่างครบวงจร
แทบไม่ต้องอธิบายเลยว่า บิดามารดาของคุณจอบิก็ย่อมไม่ได้รับการสำรวจและบันทึกชื่อลงในทะเบียนราษฎร ขอให้ตระหนักว่า บุคคลทั้งสองเกิดก่อนกฎหมายไทยที่วางรากฐานของระบบทะเบียนราษฎรทั่วไป กล่าวคือ พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2499 และโดยที่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพิจารณาลงสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านให้แก่ชาวเขา พ.ศ.2517 ให้อำนาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีคำสั่งให้สัญชาติไทยหรือไม่ ก็ได้ ชาวเขาที่พูดภาษาไทยไม่ได้จำนวนมากจึงถูกปฏิเสธสิทธิในสัญชาติไทย
ในวันนี้ เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2543 รับทราบผลการศึกษาของคณะกรรมการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณาให้สถานภาพบุคคลบนพื้นที่สูงตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2542 และประกาศใช้ระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ. 2543 ซึ่งกำหนดอย่างชัดเจนในข้อ 11 วรรค 1 ว่า "ชาวไทยภูเขาที่จะได้รับการลงรายการสัญชาติไทยโดยเพิ่มชื่อและรายการบุคคลเข้าในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) จะต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ" และนิยามคำว่า "ชาวไทยภูเขา" ในข้อ 6 วรรค 2 ว่า "กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยทำกินหรือบรรพชน อาศัยทำกินอยู่บนพื้นที่สูงในราชอาณาจักร ซึ่งมีวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ภาษาและการดำเนินชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบด้วย 9 ชาติพันธุ์หลักคือ (1) กะเหรี่ยงหรือซึ่งอาจเรียกว่า ปกาเกอะญอ(สกอว์) โพล่ง(โปว์) ตองสู้(ปะโอ) บะแก(บะเว) (2) ม้ง หรือซึ่งอาจเรียกว่า แม้ว (3) เมี่ยนหรือซึ่ง อาจเรียกว่า เย้า, อิ้วเมี่ยน (4) อาข่าหรือซึ่งอาจเรียกว่า อีก้อ (5) ลาหู่หรือซึ่งอาจเรียกว่า มูเซอ (6) ลีซู หรือซึ่งอาจเรียกว่า ลีซอ (7) ลัวะหรือซึ่งอาจเรียกว่า ละเวือะ, ละว้า, ถิ่น, มัล, ปรัย (8) ขมุ (9) มลาบรี หรือซึ่งอาจเรียกว่า คนตองเหลือง และกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับชาวไทยภูเขาซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดเพิ่มเติม"
ข้อกฎหมายวิธีสบัญญัติว่าด้วยสัญชาติไทย : จอบิมีพยานหลักฐานที่ยืนยันข้อเท็จจริงที่แสดงว่ามีสัญชาติไทยหรือไม่ ?
ในวันนี้ จึงไม่มีการโต้แย้งจากฝ่ายกรมการปกครองแล้วว่า ชาวเขาติดแผ่นดินไม่มีสัญชาติไทย ถ้าฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นชาวเขา ติดแผ่นดิน กล่าวคือ (1) เกิดในประเทศไทยก่อนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 (2) จากบิดาที่เกิดในประเทศไทย และ (3) จากมารดาที่เกิดในประเทศไทย แต่ข้อโต้แย้งยังมีอยู่มากว่า อย่างไรจึงฟังได้ว่า บุคคลเกิดในประเทศไทย ? พยานหลักฐานในลักษณะใดที่ใช้ในการรับฟังได้ว่าบุคคลเกิดในประเทศไทย ?
ในกรณีของคุณจอบิเช่นกัน คำถามในกระบวนการพิสูจน์สัญชาติไทยจึงมีอยู่ด้วยกัน 3 ชุด กล่าวคือ (1) พยานหลักฐานที่ว่า จอบิเกิดในประเทศไทยในพ.ศ.2510 นั้นน่าเชื่อถือจนรับฟังได้หรือไม่ ? (2) พยานหลักฐานที่ว่า บิดาของจอบิเกิดในประเทศไทยใน พ.ศ.2510 นั้นน่าเชื่อถือจนรับฟังได้หรือไม่ ? และ (3) พยานหลักฐานที่ว่า มารดาของจอบิเกิดในประเทศไทยใน พ.ศ.2510 นั้นน่าเชื่อถือจนรับฟังได้หรือไม่ ?
เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเด็นข้อเท็จจริงที่ว่า บุคคลทั้งสามเกิดในประเทศไทยหรือไม่ ? ได้รับการพิจารณาในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองแล้ว แต่เหตุที่ศาลปกครองกลางไม่อาจชี้ได้เลยว่าจอบิมีสัญชาติไทยโดยการเกิด ก็เนื่องจากคำฟ้องของคุณจอบิมิได้ตั้งประเด็นให้ศาลชี้ในเรื่องนี้ คำฟ้องไปตั้งประเด็นสำคัญที่ว่า จอบิมีภูมิลำเนาที่อำเภอแก่งกระจานหรือไม่ ? และอำเภอแก่งกระจานมีหน้าที่รับคำร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านของคุณจอบิหรือไม่ ? โดยหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความนั้น ศาลไทยส่วนใหญ่จะมีแนวปฏิบัติที่จะสั่งหรือพิพากษาตามที่ขอหรือฟ้อง เพียงแค่ส่วนน้อยที่จะสั่งหรือพิพากษานอกที่ขอหรือฟ้อง ในกรณีที่จำเป็นเพื่อความยุติธรรมทางสังคม จะเห็นว่า คณะตุลาการศาลปกครองกลางในคดีของคุณจอบิมีแนวคิดแบบแรก ในขณะที่ตุลาการผู้แถลงคดีมีแนวคิดแบบที่สอง กล่าวคือ คณะ ตุลาการศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายืนยันสิทธิของคุณจอบิที่จะขอเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎร แต่ตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็น เลยไปจนถึงประเด็นที่ว่า คุณจอบิย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดทั้งจากหลักดินแดนและหลักสืบสายโลหิตจากมารดา
แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏมีตรรกวิทยาทางกฎหมายที่เป็นเอกภาพและปรากฏอย่างชัดเจนหรือโดยนัยในคำพิพากษาของคณะตุลาการศาลปกครองกลางและคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีหลายประการที่ต้องตั้งข้อสังเกต กล่าวคือ
ในประการแรก แม้คุณจอบิจะเป็นบุคคลบนพื้นที่สูงที่ตกสำรวจทางทะเบียนราษฎร คุณจอบิก็มีสิทธิที่จะร้องขอเพิ่มชื่อตามข้อ 97 แห่งระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการจัดทำ ทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2535 ได้อีกด้วย ไม่จำกัดสิทธิเพียงแค่ใน ระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูงพ.ศ. 2543
ในประการที่สอง ตุลาการทั้งหมดไม่รับฟังข้อเท็จจริงใน คำพิพากษาศาลจังหวัดราชบุรีเมื่อ พ.ศ.2547 ซึ่งอัยการกล่าวหาว่า จอบิเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย และทนายความก็ไม่ได้ โต้แย้งข้อกล่าวอ้างนี้ ซึ่งตุลาการศาลปกครองได้แสดงความเข้าใจ ในปัญหาความไม่เข้าใจของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมต่อปัญหาความไร้รัฐความไร้สัญชาติของชาวเขา เมื่อประเด็นเป็นเรื่องของคดีฆ่าคนตาย ก็เป็นไปได้ที่ทนายความของคุณจอบิในคดีนี้จะไม่ได้เห็นความสำคัญที่จะโต้แย้งประเด็นสถานที่เกิดของคุณจอบิ ดังนั้น ในกระบวนการพิสูจน์สิทธิในสัญชาติไทยที่อำเภอแก่งกระจานจะต้องจัดขึ้นสำหรับคุณจอบิ ประเด็นดังกล่าวนี้ก็ไม่ควร ถูกหยิบยกขึ้นมาอีก หากไม่มีพยานหลักฐานที่ชี้ชัดว่าคุณจอบิเกิดในประเทศพม่า การตั้งข้อสันนิษฐานเป็นโทษแก่คุณจอบิน่าจะ เป็นสิ่งที่กระทำมิได้
ในประการที่สาม ตุลาการศาลปกครองทั้งหมดไม่รับฟังข้อเท็จจริงที่ว่า การที่คุณจอบิยอมรับ ท.ร.13 ซึ่งเป็นทะเบียนบ้านของคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายหรือที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ในประเทศไทยเพียงชั่วคราวนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ชี้ว่าคุณจอบิมิได้ เกิดในประเทศไทยเช่นกัน เราอาจเข้าใจท่าทีเช่นนี้ของตุลาการทั้งหมด เพราะการรับ ท.ร.13 ของคุณจอบินั้น เกิดจากการเสนอแนะ ของฝ่ายอำเภอแก่งกระจานในระหว่างที่มีการฟ้องคดีแล้ว และการศึกษาภาษาไทยของคุณจอบินั้นไม่ดีถึงขนาดที่จะเข้าใจว่าการรับ ท.ร.13 จะส่งผลให้อาจถูกตีความว่า คุณจอบิยอมรับว่าคนที่เกิดนอกประเทศไทยและอพยพเข้ามาในประเทศไทยภายหลังการเกิด มิใช่คนที่เกิดในประเทศไทย เราคาดหวังว่าประเด็นนี้ก็จะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกในกระบวนการพิสูจน์สิทธิในสัญชาติไทยที่อำเภอแก่งกระจานจะต้องจัดขึ้นสำหรับคุณจอบิ
ในประการที่สี่ ตุลาการศาลปกครองทั้งหมดยอมรับการใช้ พยานบุคคลเพื่อพิสูจน์ว่า คุณจอบิและบุพการีเกิดในประเทศไทยหรือไม่ ? ดังนั้น ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นแก่บุคคลบนพื้นที่สูงอื่นๆ ก็ย่อมไม่เกิดแก่คุณจอบิ ในหลายพื้นที่ แม้จะปรากฏมีพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือได้ แต่อำเภอก็รับฟังเพียงแต่คำพยานผู้เชี่ยวชาญ จากการตรวจ DNA
ในประการที่ห้า หากอำเภอแก่งกระจานจะพิจารณาคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีในเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานในเรื่องการเกิดของจอบิและบุพการีในประเทศไทย ก็จะเห็นรูปแบบ ของการชั่งน้ำหนักพยานบุคคลที่ชัดเจนและชอบด้วยหลักกฎหมาย วิธีพิจารณาความว่าด้วยพยานหลักฐาน
ในประการสุดท้าย แม้พยานบุคคลจะไม่เข้าใจภาษาไทย ตุลาการก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า คำพยานของบุคคลดังกล่าวก็รับฟังได้ และอำเภอมีหน้าที่ต้องจัดหาล่ามที่เป็นกลางและฝ่ายคุณจอบิเชื่อถือและไว้ใจ
บทส่งท้าย : แนวคิดในการจัดการผลของกระบวนการพิสูจน์สัญชาติไทยให้แก่จอบิ
ผลของกระบวนการพิสูจน์สิทธิในสัญชาติไทยของ คุณจอบิย่อมจะมีผลได้ 3 ประการ กล่าวคือ
ในประการแรก หากนายอำเภอแก่งกระจานเชื่อพยานบุคคลว่า คุณจอบิและบุพการีเกิดในประเทศไทย อันทำให้คุณจอบิมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิด นายอำเภอแก่งกระจานก็ดำเนินการต่อไปตามข้อ 97 ของระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ.2535 ซึ่งจะทำให้คุณจอบิ (1) มีชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยในสถานะคนสัญชาติไทยโดยการเกิด และสามารถใช้สิทธิในความมั่นคง ของมนุษย์ที่คนสัญชาติไทยโดยการเกิดพึ่งได้ทุกประการ อาทิ สิทธิในการประกันสุขภาพเฉกเช่นคนสัญชาติไทยโดยทั่วไป (2) มีทะเบียนบ้านที่รับรองความเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิดของคุณจอบิ กล่าวคือ ท.ร.14 (3) ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนตาม พ.ร.บ.บัตรประชาชน พ.ศ.2526 ซึ่งยืนยันสิทธิในสัญชาติไทยของคุณจอบิ
ในประการแรก หากนายอำเภอแก่งกระจานเชื่อพยานบุคคลว่า คุณจอบิและบุพการีเกิดในประเทศไทย อันทำให้คุณจอบิมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิด นายอำเภอแก่งกระจานก็ดำเนินการต่อไปตามข้อ 97 ของระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ.2535 ซึ่งจะทำให้คุณจอบิ (1) มีชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยในสถานะคนสัญชาติไทยโดยการเกิด และสามารถใช้สิทธิในความมั่นคง ของมนุษย์ที่คนสัญชาติไทยโดยการเกิดพึ่งได้ทุกประการ อาทิ สิทธิในการประกันสุขภาพเฉกเช่นคนสัญชาติไทยโดยทั่วไป (2) มีทะเบียนบ้านที่รับรองความเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิดของคุณจอบิ กล่าวคือ ท.ร.14 (3) ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนตาม พ.ร.บ.บัตรประชาชน พ.ศ.2526 ซึ่งยืนยันสิทธิในสัญชาติไทยของคุณจอบิ
ในประการที่สอง หากนายอำเภอแก่งกระจานไม่มั่นใจในความชัดเจนและความน่าเชื่อถือได้ของพยานบุคคลที่ว่า คุณจอบิ และบุพการีเกิดในประเทศไทย แต่เมื่อไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่ชี้ว่าคุณจอบิและบุพการีเกิดในต่างประเทศ นายอำเภอก็อาจจะไป ดำเนินกระบวนการพิสูจน์สัญชาติไทยโดยใช้ระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ. 2543 ซึ่งข้อ 11 วรรค 3 บัญญัติว่า "ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2456 จนถึงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 เป็นบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้เป็นอย่างอื่น" จะเห็นว่า ทั้งคุณจอบิตลอดจนบิดาและมารดาต่างก็เกิดระหว่างเวลาดังกล่าว จึงได้รับข้อสันนิษฐานที่เป็นคุณดังกล่าว แม้จะผิดไปจากคำพิพากษาที่ให้ใช้ข้อ 97 แต่เมื่อผลก็เหมือนกัน กล่าวคือ คุณจอบิย่อมจะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิด คุณจอบิก็คงไม่ไปฟ้องนายอำเภอแก่งกระจานต่อศาลปกครองอีกครั้ง
ในประการที่สาม หากนายอำเภอแก่งกระจานพบพยานหลักฐานที่ฟังได้ว่า คุณจอบิและบุพการีเกิดนอกประเทศไทย นายอำเภอนี้ก็ไม่มีหน้าที่ต้องเพิ่มชื่อคุณจอบิในทะเบียนราษฎรในสถานะคนสัญชาติไทย แต่นายอำเภอนี้ก็มีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ต่อไปว่า คุณจอบิเป็นบุคคลบนพื้นที่สูงซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและตกหล่นการสำรวจทางทะเบียนราษฎรหรือไม่? ถ้าฟังว่าเป็นคนตกหล่นทางทะเบียนราษฎรภายใต้นโยบายใด ก็จะต้องนำกลับเข้าสู่ทะเบียนราษฎรประเภทนั้นๆ
ในประการที่สี่ หากฟังได้ว่า คุณจอบิเป็นบุคคลบนพื้นที่สูง ซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย นายอำเภอนี้ก็จะต้องพิสูจน์ต่อไปว่า คุณจอบิเป็นบุคคลที่มีชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐใดรัฐหนึ่ง หรือเป็นบุคคลที่ไม่มีสถานะในทะเบียนราษฎรของรัฐใดเลย หากฟังว่าคุณจอบิมีสัญชาติของรัฐใดรัฐหนึ่ง นายอำเภอนี้ก็จะต้องประสานกับสถานทูตของประเทศนั้นเพื่อรับตัวของคุณจอบิเพื่อนำกลับไปยังประเทศเจ้าของสัญชาติ แต่หากฟังว่าคุณจอบิไม่มีสัญชาติ นายอำเภอก็จะต้องนำระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการสำรวจและจัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน พ.ศ. 2548 มาใช้ในการยอมรับให้สถานะราษฎรของรัฐไทยแก่คุณจอบิ ในระหว่างที่รอการกำหนดสถานะบุคคลตามกฎหมายไทยที่เหมาะสมแก่คุณจอบิต่อไป ซึ่งเป็นไปภายใต้ยุทธศาสตร์จัดการสถานะและสิทธิของบุคคลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2548
ขอให้สังเกตว่า หากนายอำเภอแก่งกระจานฟังว่า คุณจอบิ ไม่มีสัญชาติไทย คุณจอบิก็ยังมีสิทธิที่จะฟ้องอำเภอแก่งกระจานอีกครั้งต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลนี้ฟังพยานบุคคลที่คุณจอบิได้เสนอต่ออำเภอแก่งกระจานอีกครั้งหนึ่ง กระบวนการยุติธรรมทางศาลมีสำหรับบุคคลในสถานการณ์ดังคุณจอบิอยู่เสมอ
แต่หากอำเภอแก่งกระจานฟังว่า คุณจอบิมีสัญชาติไทย ก็ขอให้ตระหนักว่า สัญชาติไทยนี้เป็นสัญชาติไทยโดยการเกิด จึงไม่ควรที่จะดำเนินกระบวนการพิสูจน์สิทธิในสัญชาติไทยให้แก่บุตรทั้ง 4 คนของคุณจอบิเสียด้วย
มีกฎหมายและนโยบายของรัฐไทยเพียงพอที่จะขจัดความไร้รัฐความไร้สัญชาติให้แก่มนุษย์ที่อาศัยบนแผ่นดินไทย หากภาคราชการและภาคประชาชนจะเข้าใจและเอื้ออาทรต่อกัน ความชื่นบานและความรักในแผ่นดินไทยก็บังเกิดแก่มนุษย์ทุกชีวิต ที่เกิดและอาศัยในประเทศไทย ความมั่นคงแห่งมนุษย์ก็นำไปสู่ ความมั่นคงแห่งประชากรและดินแดน อันมีปลายทาง ก็คือ ความมั่นคงแห่งรัฐไทย.