ต่างเรื่องมุมเดียว : Hotel Rawanda "ทางเดียวที่เราจะรอดคือการช่วยเหลือกัน"


โดย เจ บุนรัก

Hotel Rawanda สร้างจากเรื่องจริงในเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศรวันดา ซึ่งเกิดการสังหารหมู่ชาวทุตซี่นับล้านคนโดยทหารและประชาชนชาวฮูตูเมื่อปี 2537 โดยมีพอล โรเสสซาบากิน่า ตัวเอกของเรื่องเป็นผู้จัดการโรงแรมในเครือบริษัทโรงแรมยุโรปแห่งหนึ่งในกรุงคิกาลีของรวันดา ขณะที่ความขัดแย้งลุกลาม และนานาชาติตัดสินใจไม่เข้าแทรกแซงทางมนุษยธรรม พอลทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตครอบครัวและชาวทุตซี่ทุกคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างกล้าหาญ โดยที่ยังคงพยายามรักษาภาพลักษณ์ของโรงแรมหรูตามหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุดไปพร้อมกันด้วย


ปัญหาการเมืองในรวันดาไม่แตกต่างจากประเทศอดีตอาณานิคมหลายๆแห่งที่ประเทศเจ้าอาณานิคมได้เข้ามาปกครองโดยแบ่งแยกคนออกเป็นกลุ่มต่างๆและสร้างความขัดแย้งให้กับชนพื้นเมืองหลากหลายกลุ่มที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมาก่อนเพื่อเป็นเครื่องมือในการปกครอง ตอนหนึ่งในหนังเราได้เห็นบทสนทนาที่ทำให้เข้าใจความไร้เหตุผลของการเข่นฆ่าระหว่างชาวฮูตูและทุตซี่ได้อย่างดี เพราะแท้จริงแล้วการแบ่งแยกคนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ในรวันดานี้เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยการยึดครองของเบลเยี่ยม โดยที่เราอาจจะแยกไม่ออกเลยว่าพวกเขาแตกต่างกันอย่างไร ดังที่หญิงชาวฮูตูคนหนึ่งเป็นเพื่อนกับสาวชาวทุตซี่และหน้าตาเหมือนกันราวฝาแฝด แต่การแย่งอำนาจทางการเมืองของผู้นำทั้งสองเผ่าก็ทำให้คนต่างเผ่าไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป

พอลซึ่งเป็นชาวฮูตูแต่งงานกับหญิงชาวทุตซี่ และในละแวกบ้านของเขาก็มีชาวฮูตูและทุตซี่อยู่อาศัยรวมกัน ทว่าเมื่อประธานาธิบดีชาวฮูตูถูกสังหารโดยกลุ่มกบฏทุตซี่ ทหารฮูตูก็ปลุกระดมประชาชนให้ลุกขึ้นสังหารชาวทุตซี่ทุกคนด้วยอาวุธทุกอย่างที่จะหาได้ ไม่เว้นแม้เด็ก ผู้หญิงและคนแก่ เพียงค่ำคืนเดียวบ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ และศพชาวทุตซี่ก็กองเกลื่อนตามถนนหนทาง อย่างน่าสลด พอลกับครอบครัวพาเพื่อนบ้านจำนวนหนึ่งเข้าไปหลบซ่อนในห้องพักของโรงแรม ด้วยความหวังว่านานาชาติจะเข้าคลี่คลายสถานการณ์ความวุ่นวายในไม่ช้า ทว่าเหตุการณ์ร้ายแรงไม่คาดคิดมากมายก็เกิดขึ้น รวมทั้ง ณ โรงแรมแห่งนี้

เรื่องราวในหนังทำให้เราเห็นทั้งความโหดร้ายของมนุษย์ที่ถูกการปลุกระดมทางการเมืองทำให้สามารถเข่นฆ่ากันอย่างเลือดเย็น และความกล้าหาญของคนธรรมดาคนหนึ่งที่สร้างความหวัง ให้กับผู้คนมากมายในสถานการณ์ที่ดูเหมือนการเอาตัวรอดเพียงลำพังก็แทบเป็นเป็นไม่ได้ และในขณะที่อีกหลายๆคนที่พอมีทางเลือกก็ตัดสินใจทอดทิ้งพวกเขาไว้ลำพัง

เหตุการณ์ในหนังดำเนินไปจนถึงช่วงที่การสังหารหมู่ชาวทุตซี่รุนแรงสูงสุด การเข้ามาของกองทหารทุตซี่เพื่อตอบโต้ชาวฮูตู การหลั่งไหลของชาวทุตซี่เพื่อลี้ภัยไปยังดินแดนเพื่อนบ้านและในประเทศที่สาม ซึ่งฉายให้เห็นภาพการพลัดพรากของครอบครัว ความโศกเศร้า หวาดกลัว ทว่าในขณะเดียวกันก็มีภาพความเชื่อมั่น ของบางคนที่จะช่วยเหลือกันให้มากที่สุดเพื่อที่จะอยู่รอดร่วมกันในยามที่เหมือนจะไร้ความหวัง และความปลื้มปิติของการได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้งของครอบครัวที่พลัดหลงกันไปในค่ายผู้ลี้ภัยตอนท้ายเรื่องนั้น อาจทำให้ผู้ชมเข้าใจผลกระทบของความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองที่มีต่อชีวิตคนธรรมดาคนหนึ่งได้อย่างลึกซึ้งยิ่ง

เมื่อหันมามองประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างพม่า เราจะเห็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับโศกนาฏกรรมในรวันดาเมื่อปี 2537 ที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งอันยืดเยื้อระหว่างชนชาติพันธุ์ส่วนน้อยกับชนกลุ่มใหญ่ที่มีอำนาจปกครอง การยึดอำนาจของเผด็จการทหาร การกระทำโหดร้ายทารุณต่อประชาชนที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และโศกนาฏกรรมรายวันที่มนุษย์กระทำต่อกันโดยมีพื้นฐานของอคติทางชาติพันธุ์ที่ถูกปลุกปั่นโดยผู้นำทางการเมืองและทหารเป็นพื้นฐาน

จนปัจจุบัน นานาชาติยังคงมีความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ในการแทรกแซงทางมนุษยธรรมต่อพม่า แม้หลายๆฝ่ายจะ ตระหนักถึงวิกฤติทางสิทธิมนุษยชนในพม่าที่แผ่กว้างและดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบหลายทศวรรษแล้ว กลุ่มประเทศอาเซียน ยังคงติดอยู่กับธรรมเนียมการไม่ยุ่งเกี่ยวกิจการภายใน และการตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็มีรัสเซียและจีนเป็นเสียงคัดค้านการแทรกแซงพม่ามาโดยตลอด ผู้ที่คาดหวัง การเปลี่ยนแปลงในพม่าจากปัจจัยภายนอกจึงผิดหวังมาหลายครั้ง หลายครา

ในภาวะที่ประชาชนพม่าบอบช้ำจากความขัดแย้งภายในประเทศและการกดขี่ข่มเหงของรัฐบาลเผด็จการทหาร โดยที่นานาชาติไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหาทางการเมือง และต้นตอของความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจึงเหมือนเป็นภาระที่พวกเขาต่างต้องแบกรับอยู่เพียงลำพัง และแน่นอนว่า พวกเขาต้องการความหวังและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว

มีฉากหนึ่งในหนัง Hotel Rawanda ที่สะท้อนความขัดแย้ง ในจิตใจคนเราเมื่อเผชิญเหตุการณ์ที่เพื่อนบ้านของเรากำลังจะถูกทำร้ายอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อพอลถกเถียงกับภรรยาว่าจะเข้าไปขัดขวางทหารที่กำลังจะจับตัวเพื่อนบ้านคนหนึ่งไปหรือไม่ การตัดสินใจช่วยเหลือเพื่อนบ้านอาจเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยง เพราะอาจไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ให้ดีขึ้นและตัวเองอาจเดือดร้อนไปด้วย มีเพียงความรักในเพื่อนบ้านและความกล้าหาญ เท่านั้นที่จะผลักดันคนเราให้เลือกเช่นนั้น โดยที่การปฏิเสธไม่ทำอะไรเลยเพื่อยับยั้งการเข่นฆ่าเพื่อนบ้านเพื่อความอยู่รอดของตัวเองก็อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดที่จะสร้างบาดแผลทางศีลธรรมในจิตใจไปตลอด ดังเช่นที่ปรากฏในแววตาของพอลในขณะหนึ่งที่เขาคิดว่าบางทีตัวเขาไม่อาจช่วยใครได้เลย ซึ่งต่อมาเราได้เห็นว่าการเปลี่ยนความคิดของเขาได้ช่วยชีวิตคนนับพันให้ผ่านพ้นโศกนาฏกรรมเลวร้ายมาได้ในที่สุด.

คอลัมน์ "ต่างเรื่อง มุมเดียว" มีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำภาพยนตร์ หนังสือ และบทเพลงต่าง ๆ ที่มีมุมมองเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในประเทศพม่าในมิติต่าง ๆ ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา และอื่น ๆ