ท่ามกลางพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขาและป่าไม้ในรัฐฉาน ที่นั่นมีบ้านแสนสวยอยู่หลังหนึ่ง ผมอยู่ที่บ้านหลังนั้นอยู่กับพ่อแม่และน้องชายมาตั้งแต่เกิด ผมชื่อ จาย จาย (นามสมมติ) ปัจจุบันอายุ 21 ปี ผมจำได้ว่า ตอนผมยังเด็กพ่อของผมไม่เคยใช้เวลาอยู่กับบ้านนาน ๆ เหมือนกับพ่อของคนอื่น ทีแรกผมคิดว่าพ่ออาจจะออกไปทำธุระข้างนอก แต่ทุกครั้งที่พ่อไป กว่าจะกลับมาก็เป็นแรมเดือน เป็นเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว ผมลองถามแม่ดู แม่บอกว่าพ่อเป็นทหาร แต่ตอนนั้นผมยังเด็กเกินไปจึงไม่ได้ใจในสิ่งที่แม่บอก จนกระทั่ง วันหนึ่ง ขณะที่ผมอายุได้ 4 ขวบ ผมจึงได้รู้ว่าพ่อของผมเป็นใคร วันนั้น เป็นวันที่ผมไม่มีวันลืม เพราะเป็นวันที่ครอบครัวของผมต้องแยกจากกันตลอดกาล
ผมจำได้ดีว่า วันนั้นผมดีใจมากเพราะได้เห็นพ่อกลับบ้าน แต่ผมกลับเห็นแม่ง่วนเก็บข้าวของใส่กระเป๋า(อาหารและเงิน) ส่วนพ่อก็กำลังมองหาอะไรบางอย่างนอกบ้านด้วยสายตากระวนกระวาย
แม่กับพ่อนัดแนะกันว่า พ่อจะเป็นคนพาผมไป ส่วนแม่จะเป็นคนพาน้องไปหมู่บ้านใกล้ๆ ทางทิศเหนือ ตอนนั้นผมอายุแค่ 4 ขวบจึงยังไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่พูด ผมเห็นมีคนแต่งตัวชุดสีเขียวยืนอยู่นอกบ้าน พวกเขาถือปืนอยู่ในมือ และตะโกนให้เราออกไป
“ออกมาเสียดี ๆ เรามีคำสั่งให้มาจับ อย่าพยายามหนี ถ้าหนีเราจำเป็นต้องยิง !! ”
ผมกลัวมาก พ่อมองหน้าแม่แล้วบอกให้แม่พาน้องหนีไป ส่วนพ่อจะพาผมหนีเอง แม่ก้มมาจูบผมก่อนที่จะหนีออกไปทางหลังบ้านพร้อมสัมภาระ
พ่อพูดกับผมว่า
“ลูกรัก เราต้องไปแล้ว หากเราเอาชีวิตรอดไปได้ วันหนึ่งเราอาจจะได้พบกับแม่และน้องอีก”
พ่อแบกผมขึ้นหลังและวิ่งออกจากบ้านไป บ้านแสนสวยของเราถูกปืนกระหน่ำยิง มีคนตามเรามาแต่พ่อบอกว่าไม่ต้องกังวล เราจะหนีรอดไปได้ เราไม่ได้หนีเข้าไปในสวนแต่เราหนีเข้าป่า เพราะที่นั่นอาจจะปลอดภัยกว่า เราคงจะคิดถึงแม่และน้องชายมาก เราอาจต้องลำบากหน่อยเพราะเราไม่เคยอยู่ในป่ามาก่อน
กระสุนปืนยิงถูกกิ่งไม้เฉียดเราไปนิดเดียว ผมกลัวมาก บางครั้งพวกเขาก็เล็งปืนตรงมาที่เราแต่กระสุนก็พลาดไม่โดนเรา เขาไม่เห็นเราเป็นคนทำ กับเราเหมือนเป็นสัตว์ ไม่มีความเมตตากันเลย
ผมบอกพ่อว่าพวกเขายังคงตามเรามาอยู่ ผมกลัวมาก และถามพ่อว่าเมื่อไหร่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมอีก พ่อพูดกับผมว่าพวกเขาจะตามเราไปจนกว่าที่เขาจะจับเราได้ พ่อบอกว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ
ผมเห็นต้นไม้มากมาย ดอกไม้ สัตว์ต่าง ๆ อยู่เบื้องหลัง มันสวยงามมาก ผมไม่เห็นอะไรที่สวยขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมปรารถนาคือความสงบสุข ผมไม่อยากให้มีสงครามเกิดขึ้น ผมมีความปรารถนาที่จะอาศัยอยู่ในดินแดนที่สงบสุขปราศจากสงคราม เราเริ่มหิวกันแล้วแต่เราก็ไม่สามารถหยุดวิ่งได้
ผมถามพ่อว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกัน พ่อก็ไม่รู้และฟ้าก็กำลังจะมืดลงอีกในไม่ช้า พ่อบอกให้ผมไม่ต้องกลัว เราจะหนีรอดไปได้ “ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”
ผมคิดในใจ ตอนนั้นท้องของผมเริ่มเรียกร้องหาอาหาร แต่ก็ไม่กล้าบอกพ่อจนผมทนไม่ไหวเลยตัดสินใจบอกพ่อว่าผมหิวมากจนทนไม่ไหวแล้ว พ่อบอกว่าให้ถึงที่ที่ปลอดภัยก่อนถึงจะหยุดพักทานอะไรได้
หลังจากเดินต่อไปอีกสักพัก พ่อจึงบอกให้เราหยุดพักกินข้าวกัน ผมรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน มือไม้เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เราไม่ได้อาบน้ำจึงต้องทานอาหารด้วยมือที่เปื้อน เมื่อทานข้าวเสร็จแล้วผมก็พยายามหลับ แต่ก็นอนไม่หลับเพราะยุงเยอะมาก เราไม่สามารถก่อไฟได้เพราะถ้าพวกทหารที่ตามมาเห็นเข้า เราก็จะถูกยิงตายกันหมด พวกนั้นยิงแม้กระทั่งเงาต้นไม้ เรากลัวอันตรายจากสัตว์ร้ายจึงต้องนอนบนต้นไม้
ผมได้ยินเสียงคำรามของเสือมาเป็นระยะ ๆ พอรุ่งเช้า พ่อตัวร้อนมาก ผมกลัวมากแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผมอยากจะร้องไห้ ตอนนี้ไม่มีใครเลยที่จะสามารถช่วยพวกเราได้ มีแต่คนที่จะฆ่าเรา ผมทำได้ก็แค่เพียงภาวนาให้พ่อหายเร็วๆ และพ่อก็ดีขึ้นจริงๆ ผมดีใจมาก เราจึงเริ่มการเดินทางอันแสนโหดร้ายต่อไปได้
ผมไม่รู้ว่าทหารยังตามเรามาอยู่หรือเปล่า เราอยู่ในป่าอย่างลำบาก แต่สามวันต่อมาเราก็มาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่ชาวอาข่า ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในรัฐฉานอาศัยอยู่ พวกเขาดีกับเรามาก ให้น้ำและอาหารแก่เรา
พ่อส่งผมไปอยู่กับตาและยาย ผมได้ยินบางอย่างที่เป็นข่าวร้ายจากตากับยายและคนในหมู่บ้านพูดกันว่าพ่อเป็นคนพม่า ตากับยายบอกว่าสาเหตุที่ทหารพวกนั้นตามฆ่าพวกเราก็เพราะพ่อขัดคำสั่งรัฐบาลพม่า ซึ่งคำสั่งนั้นก็คือ ทหารพม่าต้องแต่งงานกับผู้หญิงไทยใหญ่เพื่อกลืนชาติพันธุ์ไทยใหญ่ให้กลายเป็นชาวพม่า
ตอนแรกผมยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อผมโตขึ้นจึงได้เรียนรู้ในภายหลังว่า ในกฎของทหารพม่ามีคำสั่งข้อหนึ่งระบุว่า หากทหารพม่าสามารถแต่งงานกับผู้หญิงไทยใหญ่ ทหารคนนั้นจะได้รับเงินเดือนเพิ่มมากขึ้น ตามลำดับชาติตระกูลหรือฐานะของหญิงที่แต่งงานด้วย เนื่องจากคนไทยใหญ่เป็นคนละชนชาติกับพม่า จึงต้องการทำลายประเทศพม่า ดังนั้น ทหารพม่าจึงพยายามกลืนชาติของชาวไทยใหญ่ด้วยการแต่งงานกับหญิงไทยใหญ่ และกดขี่ข่มเหง หรือทำลายวัฒนธรรมไทยใหญ่ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินพม่า อาวุธที่พวกเขาใช้ไม่ใช่แค่ปืนหรือระเบิด แต่ยังรวมถึงการข่มขืน การทรมาน ยาเสพติด โรคเอดส์ การปล้น การบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน การบังคับใช้แรงงาน ทาส และยังปิดกั้นไม่ให้เรามีสิทธิในการได้เล่าเรียน
เราไม่รู้ว่าจะป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของรัฐบาลพม่าที่จะเข้ามาทำลายเราชาวไทยใหญ่ได้อย่างไร เรามีการศึกษาที่ไม่เพียงพอ และไม่มีคนมากพอที่จะสามารถบอกให้ชาวโลกรับรู้เรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้นในรัฐฉาน เราต้องการความช่วยเหลือจากโลกภายนอก ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ก่อนที่จะไม่มีชาวไทยใหญ่เหลืออยู่ ก่อนที่จะสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน
ผมจำได้ดีว่า วินาทีที่ผมรู้ได้รู้ว่าพ่อของผมเป็นทหารพม่า หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้น ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อจะเป็นทหารพม่า ผมก็รู้สึกหวาดกลัวกับความโหดเหี้ยมของทหารพม่าจนไม่กล้าพบหน้าพ่ออีก แต่เมื่อผมได้อ่านจดหมายที่พ่อทิ้งไว้ให้ ก่อนที่พ่อจากไป พ่อได้เขียนจดหมายฝากตากับยายไว้ฉบับหนึ่ง ผมเพิ่งได้อ่านตอนที่ผมอายุ 16 ปี จดหมายฉบับนั้นมีใจความว่า
“ลูกรัก เมื่อลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ พ่อคงจากลูกไปไกลแล้ว พ่อเป็นทหารพม่า เมื่อรู้อย่างนี้แล้วลูกคงรู้สึกเกลียดพ่อ พ่ออยากบอกว่า พ่อรักครอบครัวอย่างสุดหัวใจ พ่อรักลูก นี่เป็นเหตุผลที่พ่อต้องจากครอบครัวอันเป็นที่รักไป หากเรายังขืนอยู่ด้วยกันต่อไป เราจะลำบาก ตอนแรกพ่อตัดสินใจที่จะมากดขี่ข่มเหงชาวไทยใหญ่แต่พ่อก็รักลูกและครอบครัวมากเกินกว่าที่ทำอย่างนั้นได้ ขอให้โชคดีนะลูกรัก”
ระหว่างที่ผมได้อยู่กับตาและยาย แม่ของผมได้พาน้องชายหนีมายังประเทศไทยโดยปลอดภัยและหางานทำ ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างถึงแม้ว่าตากับยายจะรักผมมากก็ตาม เพราะผมต้องอยู่ห่างไกลพ่อแม่และน้องโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก ยิ่งเมื่อผมก็ได้ยินข่าวร้ายจากคนในหมู่บ้านว่า พ่อของผมเสียชีวิตแล้ว วินาทีนั้น ผมรู้สึกเสียใจอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าพ่อของผมจะเป็นทหารพม่า แต่เขาก็ยังเป็นพ่อของผม ผมจะไม่มีวันลืมเขาได้เด็ดขาด ส่วนแม่ของผม นับจากวันนั้นที่เราครอบครัวเราแยกจากกันจนถึงวันนี้ ผมได้พบแม่และน้องเพียงแค่สองครั้งตอนผมบวชเณรเมื่ออายุ 16 ปี และเมื่อน้องชายของผมบวชเณรขณะที่ผมอายุ 18 ปี
นับจากวันที่ผมได้รู้ความจริงว่า พ่อผมเป็นทหารพม่า ผมรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ผมต้องทำคือลืมทุกอย่างและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมเริ่มเรียนภาษาไทยใหญ่เมื่ออายุ 13 ปี และเริ่มถ่ายทอดวิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาให้เด็ก ๆ เมื่ออายุ15 ปี สำหรับอนาคตของผม ผมตั้งใจจะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้กับชาวไทยใหญ่ที่ขาดแคลนโอกาสทางการศึกษาด้วย ผมอยากเรียนรู้และถ่ายทอดสิ่งที่ร่ำเรียนมาให้คนอื่นมากที่สุดเพราะผมไม่อยากให้ชาวไทยใหญ่คนอื่น ๆ ต้องเป็นแบบครอบครัวของผม