เหลียวหลังแลหน้ามองศิลปะในพม่า
ศิลปะเป็นสุนทรียภาพอย่างหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อสนองตอบและสะท้อนความรู้สึกนึกคิดเบื้องลึกในจิตใจแต่ละคนในแต่ละยุคแต่ละสมัย งานศิลปะจึงเป็นเครื่องชี้วัดอย่างหนึ่งว่ามนุษย์ในสังคมนั้น ๆ มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ขณะเดียวกันงานศิลปะก็เป็นเครื่องชี้วัดอย่างหนึ่งว่า สังคมแต่ละแห่งคิดอย่างไรกับงานศิลปะในสังคมของตน งานศิลปะในพม่าก็ไม่แตกต่างกัน
หากย้อนไปตั้งแต่ในยุคโบราณของอาณาจักรพุกาม ศิลปะจะแทรกตัวอยู่กับศาสนา คือจะปรากฏให้เห็นในผนังโบสถ์ วัดวาอาราม เสียเป็นส่วนใหญ่ ศิลปะที่ใช้จะมีลักษณะเป็น 2 มิติคือ กว้างและยาว ไม่มีมิติลึก สีที่ใช้จะไม่หลากหลาย มีเฉพาะแม่สี ส่วนเรื่องราวที่สื่อออกมามักเกี่ยวกับพุทธประวัติเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งค่อนข้างจะคล้ายกับประเทศไทย
จนกระทั่งประเทศพม่าถูกประเทศอังกฤษปกครอง ไม่เพียงแต่สังคม การเมืองการปกครองเท่านั้นที่เปลี่ยน ศิลปะในสมัยนั้นก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเช่นกันเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เรียกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศพม่านั้นได้นำมิติที่ 3 เข้ามาในวงการงานศิลปะในพม่าก็ว่าได้ คือจากที่เคยสร้างผลงานจิตรกรรม 2 มิติก็เริ่มมีมิติในส่วนของความลึก สัดส่วนของความใกล้ไกล และใช้โทนสีที่หลากหลายปรากฏในผลงานมากขึ้น
แต่หลังจากพม่าได้รับอิสรภาพจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ศิลปะในพม่าก็เข้าสู่ยุคมืด เนื่องจากนายพลเนวิน ผู้นำทหารพม่าได้ยึดอำนาจและประกาศปิดประเทศจากโลกภายนอก ทำให้แหล่งข้อมูลทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ นิตยสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศิลปะจากต่างประเทศหายากมาก ศิลปินพม่าพยายามนำเสนองานศิลปะที่สะท้อนปัญหาสังคม อาทิเช่น ภาพชาวนา กรรมกร และปัญหาสังคมภายใต้ระบบการปกครองสังคมนิยมแบบพม่า ซึ่งรัฐบาลได้เข้ามาตรวจสอบการนำเสนอผลงาน
แม้ว่านายพลเนวินจะลงจากอำนาจในเวลาต่อมา แต่กลุ่มนายทหารพม่าก็ได้ทำการรัฐประหารอีกครั้ง และปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการทหารมาจนถึงปัจจุบัน ศิลปะพม่าจึงยังคงถูกจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอต่อไป แต่เนื่องจากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ผู้นำทหารได้เปิดประเทศมากขึ้น งานศิลปะจากโลกภายนอกจึงผ่านสู่สายตาศิลปะในพม่ามากขึ้น
ปัจจุบัน ประเทศพม่ามีสถาบันการศึกษาของรัฐที่สอนเกี่ยวกับศิลปะอยู่ 2 แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงย่างกุ้ง คือระดับมหาวิทยาลัยที่ University of Culture และระดับมัธยมปลายที่ School of Art วิชาศิลปะที่มีการเรียนการสอนแบ่งออกเป็นศิลปะสมัยใหม่ และศิลปะดั้งเดิมที่เป็นวัฒนธรรมประเพณีประจำชาติ
การนำเสนอของศิลปินในประเทศพม่านั้นหลากหลายขึ้นไม่เฉพาะแต่จิตรกรรม ประติมากรรม แต่ยังมีการสร้างผลงานศิลปะแบบอื่น ๆ เช่น ศิลปะแบบการแสดง (Performance) หรืองานศิลปะแบบจัดวาง (Installation) ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี หากแต่สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิม คือการเข้ามาควบคุมตรวจสอบโดยรัฐบาล ซึ่งยังคงเข้มข้นเหมือนยุคที่ผ่านมา
ศิลปินอิสระชาวพม่าท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า คณะกรรมการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลมักจะส่งเจ้าหน้าที่มาสอดส่องผลงานศิลปะตามแกลลอรี่ต่าง ๆ อย่างละเอียด แม้กระทั่งโทนสีที่ที่นำมาใช้วาดรูป หากภาพศิลปะชิ้นใดใช้เฉพาะสีแดงและดำ เจ้าหน้าที่จะเข้ามาซักถามทันทีว่าทำไมจึงใช้สีนี้ รวมทั้งตรวจสอบว่าศิลปินคนนั้นมีความคิดในเชิงคอมมิวนิสต์หรือต่อต้านรัฐบาลหรือไม่ เนื่องจากสีแดงเป็นสีของคอมมิวนิสต์ และสีดำแสดงความแข็งกร้าว นอกจากนี้ หากใครวาดภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมหรือความฟอนเฟะในประเทศพม่า อาทิ ภาพเด็กขอทานข้างถนน ภาพบ้านเรือนโกโรโกโส รัฐบาลจะแสดงความไม่พอใจ อาจออกหมายจับศิลปินคนนั้นได้ง่าย ๆ เพราะถือว่าเป็นผู้ไม่หวังดีต่อไปประเทศ ด้วยเหตุนี้ ภาพศิลปะที่เผยแพร่ในท้องตลาดหรือตามแกลลอรี่ส่วนใหญ่ในพม่าจึงเป็นภาพสวยงามเกี่ยวกับภูมิประเทศหรือแง่มุมอันงดงามของผู้คนในประเทศพม่า เช่น คนกำลังไหว้เจดีย์ชเวดากอง หรือทะเลาสาปอินเลในบรรยากาศโรแมนติก เป็นต้น บรรดาศิลปินที่มีความคิดไม่ตรงกับความต้องการของรัฐบาลจึงต้องระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นวาดภาพอยู่ดี ๆ อาจเข้าไปนอนในคุกได้ง่าย ๆ
แต่เนื่องจากงานศิลปะเป็นเรื่องของจิตใจ กฎหมายจึงบังคับใช้ได้เฉพาะคนที่ยอมจำนน ส่วนคนที่ไม่ยอมจำจนก็ต้องหาทางออกเพื่อปลดปล่อยงานศิลปะของตนให้เป็นอิสระ โดยอาจไม่ต้องถึงขั้นต่อต้านรัฐบาลอย่างชัดเจน เพียงแต่ไม่เห็นด้วยทั้งหมดเท่านั้น
ปัจจุบัน ศิลปินพม่าจำนวนหนึ่งในกรุงย่างกุ้งจึงรวมตัวกันเป็นชมรม จัดเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับงานศิลปะแบบต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนค้นคว้าเพิ่มเติม เนื่องจากหนังสือที่เกี่ยวกับศิลปะในพม่านั้นยังนับว่าหายากมาก ผู้ที่มีโอกาสไปต่างประเทศและจึงได้นำหนังสือที่ซื้อหามาจากต่างประเทศแบ่งบันให้กับเพื่อนศิลปินในกลุ่ม นอกจากนี้ ยังร่วมลงขันเงินส่วนตัวเพื่อจัดแสดงงานนิทรรศการงานศิลปะทางเลือกให้กับแวดวงของคนที่สนใจ
จะเห็นได้ว่าการเป็นศิลปินผู้ผลิตผลงานศิลปะในพม่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะนอกจากจะถูกควบคุมการนำเสนอจากรัฐแล้ว สภาพเศรษฐกิจในพม่ายังไม่เอื้ออำนวยต่อผู้ที่จะยึดอาชีพศิลปินเท่าไหร่นัก ในเมื่อผู้คนส่วนใหญ่ยังแสวงหาปัจจัย 4 อยากยากลำบาก ถ้าหากไม่ใช่ผู้ที่มีอันจะกินซึ่งเป็นส่วนน้อย ฝาผนังของคนในประเทศส่วนมากก็ยังคงไม่พร้อมที่จะแขวนภาพวาดใดๆ ศิลปินในพม่าส่วนใหญ่จึงมักจะประกอบอาชีพอื่นเป็นหลักและงานศิลปะเป็นงานอดิเรกหรืออาชีพเสริม ส่วนใหญ่จะเลือกเรียนวิชาชีพแขนงอื่นและศึกษาศิลปะด้วยตนเองมากกว่า
อดีตนักศึกษาวิชาศิลปะใน University of culture คนหนึ่งกล่าวว่า ตนได้รับการคัดค้านจากทางบ้านเมื่อเธอเลือกเรียนวิชาศิลปะแม้ว่าสมาชิกในครอบครัวของเธอส่วนใหญ่เป็นศิลปินก็ตาม ขณะที่ศิลปินชาวพม่าอีกท่านหนึ่งกล่าวถึงชีวิตศิลปินของตนเองว่า เขาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อเป็นการสื่อสารอะไรบางอย่างให้กับผู้คน โดยที่ไม่สามารถหาเงินได้จากสิ่งที่เขาสร้างสรรค์เหมือนกับศิลปะแขนงอื่นไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม หรือประติมากรรม เพราะเขานำเสนอผลงานศิลปะที่เป็นแนว Installation และ performance คือการแสดงและการจัดวางที่ไม่สามารถซื้อขายได้เหมือนภาพวาดหรือรูปปั้น เขาจึงหาเลี้ยงชีพโดยประกอบอาชีพอื่นและทำงานศิลปะเป็นงานรอง
ปัจจุบัน ตลาดงานศิลปะนั้นดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อรัฐบาลมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ งานศิลปะจึงมีการซื้อขายโดยจะนำไปประดับในโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งก็เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ชาวพม่าบางส่วนนิยมสะสมงานศิลปะมีทั้งที่สะสมด้วยใจรักและซื้อไว้เก็งกำไรในอนาคต แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ซื้องานศิลปะจะเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่เนื่องจากราคาที่เป้นที่พอใจของทั้งศิลปินและผู้ซื้อ คำตอบแทนที่ได้อาจจะสูงสำหรับศิลปินแต่สำหรับชาวต่างชาติแล้วยังนับว่าเป็นราคาที่ต่ำสำหรับงานศิลปะชิ้นหนึ่งๆ งานศิลปะในพม่านั้นยังถือว่ามีราคาที่ถูกมาก หากเปรียบเทียบกับผลงานศิลปะในประเทศอื่น