ชีวิตบนเส้นด้าย การย้ายสัตว์สังคม ศูนย์ผู้ลี้ภัยแม่กองคา

“ รู้ว่าส่งไปตาย ใครบ้างที่อยากไป ” เป็นคำพูด จากชาวบ้านในศูนย์ผู้ลี้ภัยบ้านแม่กองคา หรือ “แม่คาคี” เมื่อเริ่มมีการย้ายคน ในศูนย์ผู้ลี้ภัย บ้านแม่กองคา ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อเอาคนเหล่านี้ไปไว้ที่ ห้วยแม่ละอูน บ้านแม่ตอละ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งอยู่ติดกับ พูบอหลู่ อยู่ติดกับแม่น้ำยวม ห่างจากชายแดน ไทย – พม่า ประมาณ 4 – 5 กิโลเมตร ที่เคยเป็นที่พักพิงเก่าของ กองกำลังกู้ชาติกะเหรี่ยง KNU. หลังจากที่ ถูก ทหารพม่า ร่วมกับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ DKBA. ตีค่ายมาเนอปลอว์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นแตก เมื่อประมาณปี 2538


เหตุผลของการย้ายศูนย์


ความพยายามในการย้ายศูนย์ผู้ลี้ภัยแม่กองคานี้มีมานานแล้ว ประมาณ ปี 2543 ด้วยเหตุผลที่ว่า พื้นที่ศูนย์ผู้ลี้ภัยดังกล่าว ประมาณ 1,200 ไร่ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสาละวิน บวกกับมีกระแสเรื่องไม้สาละวิน และมีไม้ไทยไปสวมโสร่งในพม่า เป็นเรื่องราวและเป็นกระแสขึ้นมา ทำให้คนในศูนย์ผู้ลี้ภัย กลายเป็นแพะให้กับนายทุน ข้าราชการ ที่เป็นนักธุรกิจค้าไม้ตัวจริง คนในศูนย์ฯ จึงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ตัดไม้ การแก้ไขปัญหาของหน่วยงานภาครัฐจึงมองไปแค่ต้องการย้ายศูนย์ผู้ลี้ภัยแม่กองคา ออกจากพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติสาละวิน เพื่อจะฟื้นฟู ทรัพยากร ข้อเท็จจริงเป็นการสร้างกระแสเพื่อให้กลบเกลื่อนเรื่องราวความเป็นจริงเท่านั้นเอง จึงมุ่งปมประเด็นไปที่คนในศูนย์ฯ

การขานรับของคนในพื้นที่


ก่อนจะมีการขนย้ายคนในศูนย์ผู้ลี้ภัยฯ ชาวบ้าน บ้านแม่ตอละ บ้านห้วยมะโอ ต.แม่สามแลบซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ได้ทำหนังสือส่งถึง สำนักนายกรัฐมนตรี / ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน / สำนักงานข้าหลวงใหญ่ UNHCR / นายอำเภอสบเมย ฯลฯ เพื่อให้ทบทวนนโยบายดังกล่าว เพราะพื้นที่ที่จะย้ายผู้ลี้ภัยจากศูนย์แม่กองคาไปนั้น เป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน เป็นที่ทำไร่ ทำสวนไม้ผล ของชาวบ้าน จำนวน 16 ราย เพราะพื้นที่ทำกินของชาวบ้านมีน้อยไม่พอทำกินอยู่แล้ว

หลังจากนั้นทางจังหวัดได้ส่งปลัดจังหวัดลงไปเจรจากับชาวบ้าน ณ ที่ว่าการอำเภอสบเมย และปลัดจังหวัดได้บอกกับชาวบ้าน ว่า จะขยับพื้นที่ของศูนย์ฯ ให้ห่างออกจากพื้นที่ของชาวบ้าน ก็เท่ากับว่า ย้ายศูนย์ผู้ลี้ภัยให้ไปใกล้ชายแดนมากขึ้น และอีกประเด็นหนึ่งคือชาวบ้านเกรงว่าถ้ามีการย้ายศูนย์ผู้ลี้ภัยมาแล้ว กลัวสถานการณ์จะไม่สงบ เพราะพื้นที่ชายแดนมีความบอบบาง
กลัวเหตุารณ์บานปลายจะเกิดขึ้น

ความทรงจำแห่งความพ่ายแพ้


ก่อนจะมีการย้ายครั้งใหญ่ จะต้องมีการเตรียมความพร้อมของพื้นที่ก่อน ทางหน่วยปฏิบัติการย้าย ได้ขอกำลังผู้นำครอบครัวในศูนย์ฯ เพื่อไปช่วยเรื่องการปลูกบ้าน เคลียร์พื้นที่ จำนวน 4 – 5 พันคน แต่ที่สามารถไปช่วยได้จริงประมาณ 2,500 คน โดยที่ศูนย์ฯ แม่กองคามี ประชากรทั้งหมด ประมาณ 17,077 กว่าคน เป็นเด็ก 5,974 คนเป็นผู้หญิง 5,311 คน เมื่อเข้าไปในพื้นที่ ความหวาดกลัว ความไม่มั่นคงในชีวิตเริ่มคลืบคลานเข้าหลอกหลอน คนกลุ่มนี้ เพราะไปเจอแต่ซากระเบิด ลูกปืน ที่หลงเหลือครั้งเมื่อฐานที่มั่นของกองกำลัง KNU. ถูกตีแตก ที่มาเนอปลอว์ และคนในค่ายมาเนอปลอว์ ได้มาพักพิงที่ พูบอหลู่ ซึ่งอยู่ติดกับ ห้วยแม่ละอูน จึงมีซากเก่าหลงเหลือยู่ ทำให้คนกลุ่มนี้เริ่มคิดถึงความมั่นคงในชีวิต มี 23 คนในกลุ่มได้หลบนี้กลับเข้ามาที่ศูนย์ผู้ลี้ภัย บ้านแม่กองคา และได้สร้างความไม่พอใจให้กับทางทหารเป็นอันมาก สาเหตุหนึ่งของการหนีออกมาของ ผู้นำ23 คน เพราะต้องการมาอยู่กับครอบครัว กลับมาเตรียมตัวเพื่อจะย้าย เพราะเกรงว่าถ้าถึงวันย้ายขึ้นมาถ้าไม่ได้อยู่กับครอบครัว เกรงว่าจะตามหากันไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่า ลูก เมีย ไปอยู่จุดไหน เพราะคนมันเยอะ และก็มีการหนีตามกันมาเรื่อยๆ และอีกอย่างคือ เกิดไม่สบาย จึงต้องกลับมา

ความมั่นคงมีจริงหรือ?


เมื่อมีการเข้าไปเคลียพื้นที่ทหารพราน ได้เหยียบกับระเบิดเสียชีวิต 1 คน ในพื้นที่แถบนั้น โดยไม่รู้ว่าใครเอาระเบิดมาฝังไว้ แต่ข่าวได้เก็บเงียบ เพราะทางราชการเกรงว่าจะสร้างความปั่นป่วนให้กับคนในศูนย์ฯ หวาดกลัวกัน ก็อ้างว่าทหารคนนี้เสียชีวิตเพราะเล่นดินปืน แต่ข่าวได้มาถึงในศูนย์ฯ ทำให้เกิดคำถามขึ้นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าขนาดทหารซึ่งเป็นผู้ที่มีความชำนาญด้านอาวุธ ยังเจอกับระเบิดเลย แล้วนับประสาอะไรกับ ชาวบ้าน เด็ก ผู้หญิง ไม่รู้ว่าถ้าย้ายไปอยู่แล้ว วันไหนจะมีเสียงระเบิดที่ถูกฝังไว้ดังขึ้นในศูนย์ฯ ทำให้ชาวบ้านยิ่งหวาดผวามากขึ้น เพราะแหล่งข่าวของทหารเอง มีการพูดคุยกันว่าไม่มั่นใจกับสถานการณ์ในพื้นที่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อชุดที่เข้าไปเคลียร์พื้นที่ ไปสร้างบ้านก่อนนั้น ทหารไทยเอง ไม่กล้าที่จะที่จะลาดตระเวนตามลำน้ำ แนวชายแดน ได้จัดให้ชาวบ้านไปเป็น หน่วยหน้า หรือราดตระเวนดูสถานการณ์ตามฝั่งลำน้ำ วันละ 50 คน โดยที่ไม่มีอาวุธใดๆ เพราะสถานการณ์ที่นั่นยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าจะมีความปลอดภัยแค่ไหน เพราะสถานการณ์ชายแดนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และชาวบ้านที่หนีออกมา บอกอีกว่าตอนกลางคืนมีทหารกะเหรี่ยงพุทธ เดินทางข้ามแม่น้ำมาสังเกตุการณ์ อยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ ตามแนวชายแดนมีฐานทหารพราน อยู่ ตลอด มันทำให้เกิดความรู้สึกว่า ชีวิตไม่มีความมั่นคง เมื่อต้องย้ายมาอยู่ที่นี้ เพราะฝั่งตรงกันข้ามชายแดน มีทั้งกองกำลังทหารพม่า และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ ลาดตระเวนตลอด ตามแนวชายแดน จึงเป็นสาเหตุให้คนในศูนย์,แม่กองคา บางคนต้องหนีออกมา ส่วนหนึ่งไม่ยอมไป เพราะรู้ว่าส่งให้ไปตาย แล้วใครเล่าอยากไป

เมื่อรู้ว่าสถานที่อยู่ใหม่มันมีความเสี่ยงสูง บางคนกลับเข้าไปฝั่งพม่าบ้าง ไปอยู่ตามแนวชายแดน ไปอยู่กับญาติบ้าง บางคนไม่รู้ชะตากรรมชีวิตในอนาคตว่าจะอยู่อย่างไร เพราะไม่มีบ้าน ไม่มีที่ทำกิน ไม่มีญาติ เหมือนไปตายเอาดาบหน้า , บางคนหลบอยู่ตามในป่า , บางคนเข้าไปทำงานในเมืองไทยไปอยู่กับญาติที่พอติดต่อได้บ้าง เพราะเมื่อมีการขนย้ายผู้นำเพื่อไปเคลียร์พื้นที่ก่อนนั้น ทางการมีรายชื่อมาเรียกเพื่อให้ขึ้นรถ บางวันรถที่มาขนต้องมารอเก้อ ไม่มีคนขึ้นรถ เพราะไม่มีใครอยากไป

พื้นที่ที่รัฐ เตรียมรองรับนั้น แน่นอนว่าไม่พอกับจำนวนผู้ลี้ภัย 17,077 คน เพราะตามลำห้วยแม่ละอูน ลักษณะเป็นร่องเขา แคบ และอยู่ติดกับที่ทำกินของชาวบ้าน ห้วยมะโอ กับบ้านแม่ตอละ ไม่สามารถขยายขึ้นข้างบนได้ มีทางเดียวก็คือขยายออกไป ทาง พูบอหลู่ ยิ่งมีความเสี่ยงสูง เพราะอยู่ใกล้เข้าไปทางชายแดน ซึ่งอยู่ในวิถีกระสุนปืนใหญ่ และเคยถูกพม่า กับ กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ DKBA. เข้ามาลุกลานหลังมาเนอปลอว์ แตกมาแล้ว ครั้งหนึ่ง แม้จะอยู่ใน ฝั่งไทยก็จริง

เกมส์ชีวิต


มีข่าวลือออกมาว่า รัฐบาลไทย กับรัฐบาลพม่ามีข้อตกลงแลกเปลี่ยนร่วมกัน ว่า รัฐบาลไทยในยุคการปราบปรามยาเสพติด ไดเสนอให้รัฐบาลทหารพม่าย้าย กลุ่มว้า ที่ผลิตยาบ้าติดกับชายแดนไทยไปอยู่ติดกับชายแดนจีน เพื่อไม่ให้มียาบ้าทะลักเข้าประเทศไทยแต่ตอนนี้รัฐบาลทหารพม่า ได้ดำเนินการย้ายไปแล้วแต่ข้อเสนอต่อรองของรัฐบาลพม่า บอกว่าให้รัฐบาลไทยย้ายศูนย์ผู้ลี้ภัยแม่กองคาไปไว้ติดกับชายแดน เพื่อง่ายต่อการควบคุมของรัฐบาลทหารพม่าและอีกข่าว ถ้ามีการสร้างเขื่อนสาลวินตอนล่าง ที่ดากะวิน น้ำจะเอ่อท่วมเข้าห้วยแม่กองคา และท่วมศูนย์ผู้ลี้ภัยดังกล่าว ทำให้รัฐบาลต้องเร่งเคลียพื้นที่ก่อนกลัวจะเป็นข้ออ้างของการค้านเขื่อน

แม้ขณะนี้ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นเพียงข่าวลือแต่ก็มีความเป็นไปได้ทั้ง 2ประเด็น ซึ่งเหมือนการเล่นเกมส์ ที่มีชีวิตผู้คนเป็นเดิมพัน

การขนย้ายสัตว์สังคม


พื้นที่ที่จะต้องเดินทาง รวมประมาณ 73 กม. จากศูนย์ฯแม่กองคา ไปถึงห้วยแม่ละอูน เป็นถนนลาดยาง 25 กิโลเมตร นอกจากนั้น 48 กิโลเมตรเป็นถนนลูกรัง ในการขนย้าย จะใช้รถ 6 ล้อ และรถ 10ล้อ วันละ 12 คัน ขนทั้งของ และคน วันหนึ่งขนได้ 1 เที่ยว เพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางไปกลับประมาณ 8 ชั่วโมง อยู่ในราว 40 ครอบครัว ต่อวัน ก่อนที่จะย้าย ทุกคนต้องรื้อบ้านเก่า ก่อนการย้าย 1 วัน หลังจากรื้อบ้านเสร็จ ต้องนอนบนดิน โดยไม่มีบ้านพักรับรองใดๆ หาที่นอนตามยถากรรม อีกหนึ่ง คืน

วันรุ่งขึ้น ผู้ลี้ภัยต้องเดินจากศูนย์ฯ ออกมา ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร พร้อมข้าวของ ที่จะนำติดตัวไป โดยไม่มีรถรับส่ง ทั้งเด็ก และคนแก่ก็ต้องเดิน แล้วต้องมานอนข้างถนนที่บ้านแม่กองคา อีก 1 คืน เพื่อรอเช็คชื่อ และขึ้นรถในวันรุ่งขึ้น มันเป็นระยะเวลาที่โหดร้ายมาก เพราะที่นอนไม่มี ต้องนอนกับดิน มีผ้าห่มเก่าๆ หรือผ้ายาง มามุงเพื่อกันน้ำค้างให้กับเด็ก ข้าวของที่ติดตัวมาก็วางไว้ตามข้างทาง น้ำดื่มที่สะอาดก็ไม่มีต้องตักน้ำในลำห้วยแม่กองคามาดื่มกิน ซึ่งเสี่ยงต่อการติดโรคที่เกิดจากน้ำ ห้องน้ำ ห้องส้วมไม่ต้องพูดถึง ชาวบ้านต้องเข้าไปถ่ายในป่า นึกสภาพดู ว่าคนเป็นหมื่น ที่ต้องมานอนค้างคืน และทุกคนต้องถ่าย บางคนมานอนรอแล้วแต่ไม่ได้ขึ้นรถ เพราะรถเต็ม จำเป็นต้องนอนค้างอีก 1 คืน ในระหว่างทางการขนย้าย รถที่ขนย้าย บางคันไม่มีหลังคา เวลารถวิ่ง ก็วิ่งเร็ว ไปตามถนนลูกรัง ถนนมีแต่ฝุ่น อากาศร้อน รถก็วิ่งตามกันเป็นแถว ติดๆ กัน ทุกคนก็ต้องยอมทน กินดิน กินฝุ่นกันไปตลอดทาง โดยมีรถทหารนำหน้าซึ่งทั้งเด็กและผู้หญิงมีจำนวน ประมาณ 11,285 คน ลองนึกสภาพดูว่ามันจะทรมานกันขนาดไหน

ลำพังผู้ใหญ่เจอฝุ่นแทบจะตายแล้ว เพราะหายใจไม่ออก นี้เป็นเด็ก คนแก่และร้อนด้วย การขนย้ายคนในศูนย์ผู้ลี้ภัยบ้านแม่กองคามันไม่ต่างอะไรกับรถวัว รถควาย ที่วิ่ง เพื่อเร่งให้ถึงโรงฆ่าสัตว์เร็วๆ

ความห่วงใยจากฝ่ายต่างๆก่อนที่จะมีการขนย้ายก็มีหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ทั้ง UNHCR. ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนษยชนสากล , นายอำเภอแม่สะเรียง ก็ได้สั่งให้หยุดการขนย้ายไปครั้งหนึ่ง , และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่อีกหลายๆ องค์กร ทั้งทำหนังสือ แต่ไม่สามารถต้านกระแส นโยบายของรัฐบาลได้ ทำให้ องค์กร UNHCR. ขอยุติบทบาทลง แต่ก็มีหลายๆ องค์กรที่ยังคิดถึงผลประโยชน์ของ ชาวบ้านเป็นหลัก

แม้จะมีความคิดที่แตกต่าง ซึ่งชาวบ้านแม่กองคา ซึ่งเคยอยู่ใกล้ชิดกันมาก่อน ก็มีความห่วงใยเพื่อนมนุษย์ที่เคย ร่วมวงสนทนา ทักทายกันระหว่างทาง เคยทำบุญร่วมกันเพราะคนในศูนย์เองก็มาช่วยงานกุศลของบ้านแม่กองคา มาช่วยพัฒนาหมู่บ้าน ทำแนวกันไฟ จึงห่วงใยความมั่นคงชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า เมื่อไปอยู่ที่ใหม่แล้วจะมีความปลอดภัยแค่ไหน

ความจริงที่เป็นได้


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเหมือนกับไม่ใช่ทำกับไม่เหมือนกับสิ่งที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน ชีวิตผู้ลี้ภัยเหล่านี้กำลังเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งขแงเกมแห่งอำนาจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่า ความสัมพันธ์อันหวานชื่นระหว่างสองรัฐบาลกำลังเกิดขึ้นบนคาวเลือด คราบน้ำตา และความตายของเพื่อนมนุษย์อีกหลายหมื่นหลายพันคน แล้วใครหละจะเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตของคนตัวเล็กๆ เหล่านี้?