โดย ศูนย์ข่าวสาละวิน
ปัญหายาเสพติดในพม่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมา โดยตลอด แม้ว่าประเทศไทยจะประกาศสงครามยาเสพติดอย่างจริงจัง จนทำให้ผู้ค้ายาเสพติดลดลง แต่ปัญหาต้นตอของยาเสพติด ซึ่งอยู่ใน เขตประเทศพม่าก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่แก้ได้ยาก เนื่องจากกระบวนการ ค้ายาเสพติดในพม่ามีความซับซ้อนและดำเนินมาเป็นเวลานานกว่าครึ่งศตวรรษ
รากเหง้าปัญหายาเสพติดในพม่า
รายงาน “SHOW BUSINESS : Rangoon’ s War on Drugs in Shan State” ของสำนักข่าวชาน (Shan Herald Agency for News – S.H.A.N) กลุ่มข่าวอิสระของไทยใหญ่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของปัญหายาเสพติดในพม่าว่า ในช่วงที่ อังกฤษเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามารัฐฉานช่วงแรก ๆ ประมาณปี 1887 การผลิต ฝิ่นในพม่ายังมีปริมาณไม่มากนัก และได้รับอนุญาตให้ปลูกอย่างถูก กฎหมายในเขตโกก้าง ว้า และหลอยหม่อ การผลิตยาเสพติด เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลหลังกองกำลังก๊กมินตั๋งซึ่งสู้รบกับพรรค คอมมิวนิสต์จีนถอยร่นเข้ามาในรัฐฉานช่วงทศวรรษที่ 1950
ต่อมาในปี 1960 กองทัพพม่าริเริ่มระบบคุ้มครองบ้าน เรียกว่า กากวยเย (KKY) ในรัฐฉาน ซึ่งกองกำลังในพื้นที่ได้รับสิทธิในการใช้ เส้นทางซึ่งควบคุมโดยรัฐบาลทหารในการขนส่งฝิ่น แลกเปลี่ยนกับ การสู้รบกับขบวนการกู้ชาติไทยใหญ่ ซึ่งเป้นศัตรูกับรัฐบาลทหาร หลอซิงฮั่นราชายาเสพติดชื่อดัง ได้เริ่มจากการเป็นผู้นำกองกำลังการกวยเยในเขตโกก้าง ส่วนขุนส่า ราชายาเสพติด แห่งทศวรรษ 80 ก็เริ่มจากการเป็นผู้นำกองกำลังกากวยเยเช่นเดียวกัน
ในเวลาต่อมา รัฐบาลพม่ายกเลิกการใช้ระบบกากวยเย บรรดา อดีตผู้นำกากวยเยก็หันมาตั้งกลุ่มติดอาวุธเป็นของตนเองเพื่อรบกัยรัฐบาลทหาร และยังคงทำ การค้ายาเสพติดเรื่อยมา ทางด้าน เปา โหย่ว เฉียง ผู้นำว้า หลังจาก พรรคคอมมิวนิสต์พม่าล่มสลายในปี 1989 เขาได้ก่อตั้ง กองกำลังชนชาติว้า (UWSA) ขึ้นทันที โดยในปีเดียวกันนั้น รัฐบาลพม่าก็ได้เสนอให้กองกำลังว้าและกองกำลังติดอาวุธซึ่งเคยเป็น กากวยเยหลายกลุ่มหยุดยิง ได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ แลกกับการ ไม่เข้าร่วมขบวนการเรียกร้อง ประชาธิปไตย กองกำลังที่หยุดยิงหลายกลุ่มต่อมามีชื่อเสียง โด่งดังในการผลิตยาเสพติด อาทิ กองกำลังว้า (UWSA) และกองกำลังโกก้าง(MNDAA) เป็นต้น
รายงานฉบับเดียวกันเปิดเผยว่า ในช่วงปี 2001 การปลูกฝิ่น ได้ขยายตัวครอบคลุมพื้นที่กว่า 50 เมืองในรัฐฉาน ในขณะที่เขตว้า โกก้าง และ หลอยหม่อ ทางตอนเหนือ ของรัฐฉานซึ่งอยู่ภายใต้ กองกำลังซึ่งหยุดยิงและเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลทหารพม่า ได้มีการปลูกฝิ่นอย่างเข้มข้น มีการปลูกฝิ่นจำนวนนับไม่ถ้วน ในหลายพื้นที่ของรัฐฉานรวมถึงเขตซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ ทหารพม่าโดยตรง สภาพภูมิอากาศในรัฐฉานเอื้อต่อการปลูกฝิ่น เป็นอย่างยิ่ง
รายงานฉบับเดียวกันจากสำนักข่าวชานยังเปิดเผยให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลพม่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหายาเสพติดใน หลายระดับ เนื่องจากนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 การดำเนินการ ต่อต้านกระบวนการเป็นประชาธิปไตยทำให้ประเทศตะวันตก คว่ำบาตรพม่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจพม่า และทำให้ รัฐบาลทหารพม่ายิ่งต้องพึ่งพาการค้ายาเสพติดมากขึ้นเพื่อ ความอยู่รอด นอกจากนี้ในปี 1996 รัฐบาลทหารพม่า ยังได้เริ่มนโยบายให้กองกำลังทหารพม่าตามพื้นที่ต่าง ๆ ช่วยเหลือตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์และความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล กลางย่างกุ้ง ซึ่งยิ่งส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ทหารพม่าเข้ามา เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดเนื่องจากไม่มีโอกาสในการทำธุรกิจอื่น
รายงานข่าวของสำนักข่าวชานระหว่างปี 1966-2001 ได้เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ทหารพม่าจากอย่างน้อย 17 กองพัน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตฝิ่นและยาบ้า การเข้าไปเกี่ยวข้องกับการผลิตฝิ่นซึ่งมักมีการบังคับบัญชามาจากหัวหน้ากองพัน เริ่มตั้งแต่การออกเงินกู้แก่ชาวบ้านในการปลูกฝิ่น เก็บภาษีฝิ่น คุ้มครองโรงงานผลิต ไปจนถึงการขนส่งและเก็บรักษาเฮโรอีน
ขณะที่ปัญหาฝิ่นและเฮโรอีนยังไม่หมดไป ในช่วงสิบปี ที่ผ่านมา ปัญหายาบ้าก็เริ่มเข้ามาซ้อนทับและทวีคูณความรุนแรง มากขึ้น เนื่องจากการผลิตยาบ้าไม่จำเป็นต้องอาศัยภูมิประเทศ ดอยสูงและภูมิอากาศหนาวเย็นเหมือนกับฝิ่น แต่ต้องการเพียง สารเคมีตั้งต้นการผลิต ที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน น้ำและไฟฟ้า รวมทั้งโรงงานผลิตที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย นอจากนี้ ผู้ผลิตยาบ้าได้พัฒนาสินค้าของตนเองให้มีความ แปลกใหม่อยู่เสมอ จนเจ้าหน้าทีปราบปรามยาเสพติด ไล่ตามจับไม่ทัน
รายงานจากสำนักข่าวชานระบุว่า ทุกวันนี้โรงงานผลิตเฮโรอีน หลายแห่งทั่วทั้งรัฐฉานผลิตยาบ้าด้วย ซึ่งมีวิธีการง่ายกว่าการผลิตเฮโรอีน ส่วนผสมหลักนำเข้าจากจีน โดยโรงงาน ทางเหนือผลิตทั้งแบบผงและเม็ด โรงงานทางใต้จะผลิดแบบเม็ดโดยรับผงมาจากทางเหนือ
Jean-Luc Lemahieu เจ้าหน้าที่จาก UNODC ซึ่งเป็นหน่วยงานแก้ปัญหายาเสพติดจากสหประชาชาติ ประจำประเทศพม่าได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว U.N. Wire(หน่วยงานด้านข่าวของ UN)เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมาเกี่ยวกับความแตกต่าง ของปัญหาฝิ่นและยาบ้าในในพม่าว่า (ข้อมูลจาก www.asiantribune.com)
“ปัญหาฝิ่นและปัญหายาบ้าแตกต่างกัน ถึงแม้ฝิ่นจะลดลง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ยาบ้าจะลดลงไปด้วย เพราะยาบ้า ไม่ได้เข้ามาแทนที่ผลผลิตฝิ่นของชาวไร่ฝิ่น กลุ่มผู้ปลูกฝิ่น เป็นชาวบ้านที่ยากจน ไม่มีทางเลือกอื่นในการประกอบอาชีพ ขณะที่ กลุ่มผู้ผลิตยาบ้า เป็นคนที่มีเงินทุน รวมทั้งมีการทำงาน อย่างเป็นระบบ ระหว่างผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง และตลาด ชาวไร่ฝิ่นที่อยู่บนดอยสูงไม่มีโอกาสเข้าถึงสารเคมีสำหรับตั้งต้น ระบบน้ำและไฟฟ้า ซึ่งต้องนำมาใช้ในกระบวนการผลิตยา ดังนั้น ฝิ่นจึงคู่กับความยากจน แต่ยาบ้าคู่กับคนมีเงินทุน”
“การแก้ปัญหาฝิ่นสามารถทำได้ง่ายกว่าตรงที่เราสามารถชี้จุด บนแผนที่ได้ว่าตรงไหนคือไร่ฝิ่น และเดินทางไปแก้ปัญหาตรงนั้น แต่ปัญหายาบ้านั้นแตกต่างกัน เพราะโรงงานสามารถเคลื่อนที่ ไปได้เรื่อย ๆ และคนที่เกี่ยวข้องกับยาบ้ามักอยู่ในรูปแบบของ องค์กรอาชญากรรมที่มีเครือข่ายในการทำงานอย่างเป็นระบบ ขณะที่ชาวไร่ฝิ่นรอเพียงพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงไร่”
บทสัมภาษณ์ข้างต้นสอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติด หลังการอพยพว้าจากชายแดนจีนสู่ชายแดนไทย ตั้งแต่ปลายปี 2542 ว่า พื้นที่ปลูกฝิ่นในกลุ่มชาวว้าลดลงจริง แต่ขณะ เดียวกัน ปริมาณยาบ้ากลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบริเวณที่ว้า อพยพมาอาศัยอยู่ใหม่อยู่ใกล้กับชายแดนไทยด้านจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตจึงหาไม่ยากนัก ทั้งสารเคมีตั้งต้น น้ำและไฟฟ้า รวมทั้งระบบตลาดก็อยู่ไม่ไกล จึงไม่น่าแปลกใจหากปริมาณยาบ้าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะไม่กี่ปีมานี้
ชนกลุ่มน้อยกับปัญหายาเสพติด
เนื่องจากประเทศพม่าประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยมากกว่า ร้อยชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหายาเสพติด มากที่สุด คือ ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในเขตภาคเหนือของ ประเทศพม่า เพราะมีภูมิประเทศและภูมิอากาศเหมาะสมกับการปลูกฝิ่น และชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสะดวกในการนำเข้าสารเคมีตั้งต้นการผลิต และตลาดการค้า ชนกลุ่มน้อยที่เกี่ยวข้องกับปัญหายาเสพติด จึงมีหลายกลุ่ม โดยเราสามารถมองได้เป็น 3 ระดับ
ระดับที่หนึ่ง คือ กองกำลังชนกลุ่มน้อย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กองกำลังที่เจรจาหยุดยิงและเป็นพันธมิตรกับรัฐบาล กองกำลังที่เจรจาหยุดยิงและต้องการความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และกองกำลังที่ยังสู้รบ โดยนับตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา รัฐบาลพม่าเจรจาหยุดยิงกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยไปแล้วไม่น้อยกว่า 17 กลุ่ม
กองกำลังหยุดยิงและเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลจะได้รับผลประโยชน์ พิเศษทางเศรษฐกิจ แลกกับความไม่สนใจการเมือง นอกจากนี้ ยังให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทหารในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชัดเจน วิธีสังเกต ว่ากองกำลังหยุดยิงกลุ่มไหนเป็นพันธมิตรกับรัฐบาล สามารถทำได้ไม่ยาก เพราะกองกำลังเหล่านี้จะได้ปรากฏตามสื่อ ของรัฐบาลบ่อย ๆ หรือได้ขึ้นป้ายโฆษณาบิลบอร์ดขนาดใหญ่ ตามถนนสายหลัก อาทิ ภาพผู้นำว้าจับมือกับพลเอกขิ่น ยุ้นต์ บนป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ตรงหัวมุมถนนในเขตว้า หรือ ภาพรวมพลผู้นำทหารว้าและโกก้าง เป็นต้น (ดูภาพประกอบ)
สำหรับกองกำลังหยุดยิงที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาทิ กองกำลังคะฉิ่น (KIA) กองกำลังไทยใหญ่ ภาคเหนือ (SSA North) และภาคเหนือตอนล่าง (SSNA) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองกำลังกลุ่มนี้จะเป็นไป อย่างหลวม ๆ หรือห่างเหินกว่ากองกำลังกลุ่มแรก
ส่วนกองกำลังที่ยังไม่หยุดยิง คือ กลุ่มกะเหรี่ยง ของนายพลโบ เมียะ (KNU) กลุ่มไทยใหญ่ของเจ้ายอดศึก(SSA south) กลุ่มคะยา (KNPP) กลุ่มชิน (CNLF) และกลุ่ม อาระกัน (ALF) สถานการณ์ล่าสุดเมื่อกลางเดือนมกราคม รัฐบาลทหารพม่าได้ติดต่อกลุ่มกะเหรี่ยงและกลุ่มคะยาให้มีการเจรจา หยุดยิง หากทั้งสองกลุ่มหยุดยิง ก็จะเหลือเพียงกองกำลังไทยใหญ่ของเจ้ายอดศึก ทางชายแดนไทย กองกำลังชินและกองกำลังอาระกัน ทางชายแดนประเทศบังคลาเทศและอินเดีย
ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหายาเสพติดกับกองกำลังทั้งสามกลุ่ม คือ กองกำลังกลุ่มแรกซึ่งหยุดยิงและเป็นมิตรกับรัฐบาล มีชื่อเสียงว่าเกี่ยวข้องกับกระบวนการยาเสพติดมากที่สุด เพราะไม่ว่า จะเป็นกองกำลังว้า (UWSA) ของเปาโหย่วเฉียง หรือ กองกำลัง ของNDAA จายลึน ทางรัฐฉานตะอันออก ต่างก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านนี้ทั้งสิ้น แม้ว่าปัจจุบัน บรรดาผู้นำเหล่านี้จะพยายาม ผันตัวเองเข้าหากิจการที่ถูกกฎหมายเพื่อล้างมือจากยาเสพติด แต่กิจการเหล่านี้กลับกลายเป็นแหล่งฟอกเงินขนาดใหญ่ ซึ่งหน่วยงานตรวจสอบการซักฟอกเงินระดับสากลออกมายืนยัน อาทิเช่น เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กระทรวง การคลังสหรัฐฯ ระบุว่าประเทศพม่าเป็นศูนย์กลางการ ซักฟอกเงิน โดยมีสองธนาคารใหญ่ในพม่า หนึ่งในนั้นคือ ธนาคารเมฟลาวเวอร์ ซึ่งนายเปา โหย่ว เฉียง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
สำหรับกองกำลังกลุ่มที่สองซึ่งหยุดยิงและรอการแก้ปัญหา ทางการเมือง ไม่มีข่าวคราวฉาวโฉ่เกี่ยวกับยาเสพติดปรากฏ ออกมาให้ได้ยิน ส่วนกองกำลังประเภทสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็น ไทยใหญ่ กะเหรี่ยง คะยา ซึ่งอยู่ตามชายแดนไทย และถูกผู้นำไทยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอยู่บ่อย ๆ ว่าเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพราะต้องใช้เงินมาสู้รบกลับไม่มีข่าวการจับกุมเกี่ยวกับยาเสพติดให้ได้ยินเช่นกัน ขณะที่ข่าวการ จับกุมยาเสพติดรายใหญ่ ๆ กลับไปโผล่ที่กองกำลังพันธมิตร ของรัฐบาล อาทิเช่น เมื่อปีที่ผ่านมากองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) ถูกจับกุมยาบ้าหลายล้านเมตรแถวชายแดน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หรือ กองกำลังทหารว้า (UWSA) ถูกทหารไทยยิงเสียชีวิตพร้อมยาบ้าจำนวนมากแถวชายแดน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
ระดับที่สอง คือ ชนกลุ่มน้อยที่เป็นชาวบ้าน ซึ่งอาศัย อยู่ตามเทือกเขาในรัฐฉานซึ่งเหมาะสมกับการปลูกฝิ่น อาทิ อาข่า ลีซอ มูเซอ ว้า และไทยใหญ่ เป็นต้น ชาวบ้านที่เกี่ยวข้องกับการปลูกฝิ่นส่วนใหญ่มีฐานะยากจน เนื่องจากถนนหนทางไม่เอื้ออำนวยในการปลูกพืชนิดอื่น นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหายาบ้า ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน พื้นราบที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดนซึ่งมีปัจจัยการผลิตและตลาดรองรับ
ระดับที่สาม คือ ชนกลุ่มน้อยที่เป็นราชายาเสพติด ประกอบด้วยขุนส่า โลซิงฮัน เหว่ย เซียะ กัง หลินหมิ่งเสียน ทั้งหมดนี้เป็นนักค้ายาเสพติดที่โลกต้องการตัวมากที่สุด แต่ปัจจุบันยังไม่มีใครจับได้ หรือบางคนอยู่ในความดูแลของ รัฐบาลทหารพม่า อาทิ ขุนส่า ซึ่งเคยเป็นผู้นำกองกำลังไทยใหญ่ และประกาศว่าจะนำเงินจากการค้ายาเสพติดมากู้ชาติไทยใหญ่ แต่สุดท้ายกลับหักหลังคนไทยใหญ่ มอบอาวุธทั้งหมดให้รัฐบาลทหารพม่า และขอให้รัฐบาลพม่าคุ้มครองความปลอดภัยจากการขึ้นศาลโลก ขณะที่กองกำลังไทยใหญ่ของเจ้ายอดศึกที่แยกตัวออกมาสู้รบต่อไปต้องรับเคราะห์จากชื่อเสียงอันมัวหมองที่ขุนส่าสร้างไว้มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีเหว่ย เซียะ กัง ราชายาเสพติดที่สหรัฐฯ ตั้งค่าหัวไว้ถึง 2 ล้านเหรียญ ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายในพม่าและไม่มีใครจับกุมเขา ได้ แม้ว่าการเดินทางแต่ละครั้งจะเอิกเกริกไม่น้อยเพราะมีบอดี้การ์ด ถึงสองร้อยคน (ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันที่ 30 พ.ย. 46)
หากมองความสัมพันธ์ชนกลุ่มน้อยกับปัญหายาเสพติดตามระดับ ต่าง ๆ ที่กล่าวมาจะพบว่าการแก้ปัญหายาเสพติดในพม่าไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ มีหลายกลุ่ม และยิ่งยุ่งยากขึ้นไปกว่านั้น เมื่อมีรายงานอย่าง ไม่เป็นทางการว่า รัฐบาลทหารอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติดทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ โดยเมื่อปี 2546 ที่ผ่านมา สำนักงานความโปร่งใสระหว่างชาติออกมาประกาศว่าประเทศพม่าติดอันดับคอรัปชั่นหนึ่งในห้าของโลก โดยระบุว่ามีการคอร์รัปชั่นกระจายอยู่ทุกพื้นที่ และแม้ว่ารัฐบาลพม่าเองก็ประกาศใช้กฎหมายการซักฟอกเงิน แต่จนถึงปัจจุบันกลับไม่มีราชายาเสพติดคนใดในประเทศพม่าที่ถูกกฎหมายฉบับนี้ลงโทษแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ ผู้นำรัฐบาลยังมีความสัมพันธ์ กับเปาโหย่งเฉียง ผู้นำว้า ซึ่งมีชื่อเสียงด้านยาเสพติด และเป็นเจ้าของธนาคารที่ถูกประกาศว่าแหล่งฟอกเงินใหญ่ที่สุด ในประเทศพม่าอีกเช่นกัน ความโปร่งใสของรัฐบาลพม่าจึงถูกนานาประเทศจับตามองมาโดยตลอด
สงครามยาเสพติดในรัฐฉาน
รายงานฉบับเดียวกันจากสำนักข่าวชานเปิดเผยว่า สงครามยาเสพติดซึ่งรัฐบาลทหารพม่าได้รับเงินช่วยเหลือจากสหประชาชาติเกิดขึ้นเฉพาะบางพื้นที่ในรัฐฉานภาคเหนือเท่านั้น ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ รัฐบาลพม่ายังเปิดโอกาสให้กองกำลังพันธมิตรสามารถหาประโยชน์จากการเก็บภาษีฝิ่น รวมทั้งเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลทุกระดับหารายได้จากกิจกรรมยาเสพติดได้โดยเสรี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของกองทัพลง โดยรัฐบาลทหารพม่าได้จัดโชว์การเผายาเสพติดในรัฐฉานภาคเหนือมาตั้งแต่ปี 2544 และพาตัวแทนจากสหประชาชาติไปดูงานในไร่ฝิ่นที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อยู่ใกล้กับถนนใหญ่ ส่วนพื้นที่ห่างไกลออกไป ประชาชนยังได้รับอนุญาตให้ปลูกฝิ่นเหมือนเดิม โดยมีตัวแทนจากรัฐบาลหรือฝ่ายพันธมิตรรัฐบาลเป็นผู้เก็บภาษีและค่าคุ้มครอง รายงานฉบับนี้ยังแสดงแผนที่ตั้งโรงงานผลิตเฮโรอีนและยาบ้าที่ยังคงดำเนินการผลิตในปีนี้มีจำนวนอย่างน้อย 93 แห่งในรัฐฉานภาคตะวันออกและภาคใต้ซึ่งบริหารงานโดยกลุ่มพันธมิตรของผู้นำทหารพม่าด้วยเช่นกัน
การรณรงค์ปราบปรามการปลูกและผลิตฝิ่น เกิดขึ้นจริงเฉพาะบางพื้นที่ ในปลายปี 2001 รัฐบาลทหารพม่าเริ่มรณรงค์ปราบปรามการผลิตฝิ่นในรัฐฉาน โดยกล่าวว่าภายใน 2 ปี (ภายในฤดูเพาะปลูกของปี 2003-2004) จะสามารถลดปริมาณฝิ่นลงครึ่งหนึ่งจาก 865 ตัน เป็น 413 ตัน รัฐบาลทหารพม่าได้คาดหวังอย่างชัดเจนว่าการรณรงค์ครั้งนี้จะสามารถสร้างความชอบด้วยกฎหมายและเพิ่มความช่วยเหลือ จากต่างประเทศในเพื่อจุนเจือปัญหาเศรษฐกิจของพม่า
และถึงแม้รัฐฉานตอนเหนือจะถูกจัดให้เป็นเป็นพื้นที่แสดงโชว์ปราบยาเสพติด แต่ก็ไม่ได้มีความพยายามในการรณรงค์แบบเดียวกันในทุกเมือง ทว่าการรณรงค์กลับเกิดขึ้นเฉพาะบางพื้นที่ซึ่งถูกคัดเลือกไว้ โดยเลือกพื้นที่ไร่ฝิ่นที่สามารถมองเห็น ได้อย่างชัดเจน และหลีกเลี่ยงพื้นที่ซึ่งอยู่ในเขตควบคุมของกลุ่มหยุดยิงซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลทหาร
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาการรณรงค์นี้ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านยากจน ที่ปลูกฝิ่นเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งโดยมากมิได้อยู่ในพื้นที่ซึ่งคุ้มกันโดยกลุ่มหยุดยิงที่เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลทหาร รัฐบาลทหารได้ส่ง กองกำลังเข้าปราบปรามชาวบ้านซึ่งปลูกฝิ่นในพื้นที่เหล่านี้อย่างรุนแรงโดยไม่มีทางเลือกอาชีพอื่นรองรับ ทำให้ชาวบ้านจำนวนมาก หนีออกจากพื้นที่รณรงค์ไปอาศัยในพื้นที่ห่างไกลออกไปและทำการปลูกฝิ่นเช่นเดิมเนื่องจากชาวบ้านมีฐานะยากจน และไม่มีทางเลือกในการปลูกพืชอื่นๆ ทดแทน
สำหรับการรณรงค์ปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่อื่น ๆ อาทิ รัฐฉานตอนใต้พบว่าไม่มีคำสั่งเหมือนกับทางภาคเหนือ โดยรัฐบาลทหารอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่มั่นคงเนื่องจากมีกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่ของเจ้ายอดศึกทำการสู้รบอยู่ ซึ่งใน ความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลทหารสามารควบคุมพื้นที่รัฐฉานตอนใต้โดยส่วนใหญ่ได้ตั้งแต่นโยบายอพยพประชาชนกว่าสามแสนคนในช่วงปี 1996-1998 เป็นต้นมา
ในทางตรงกันข้าม ระหว่างฤดูปลูกฝิ่นปี 2001-2002 ซึ่งการรณรงค์ปราบปรามยาเสพติดดำเนินอยู่ทางตอนเหนือ ชาวบ้านทางตอนใต้กลับได้รับการส่งเสริมจากกองทัพพม่าในพื้นที่ให้ปลูกฝิ่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พื้นที่เหล่านี้เป็นที่ซึ่งชาวบ้านถูกบังคับให้จากหมู่บ้านของตนมาตั้งแต่ปี 1996 เนื่องจากที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ไม่สามารถทำไร่ข้าวเดิมได้ ชาวบ้านจำนวนมากต้องเปลี่ยนมาปลูกฝิ่นเป็นรายได้หลัก
ทางด้านรัฐฉานทางตะวันออกนั้นมีการปราบปรามพอเป็นพิธีโดยมีคำสั่งห้ามผลิตฝิ่น และมีการทำลายไร่ฝิ่นเป็นครั้งคราว ในบางเขตภายใต้การควบคุมร่วมระหว่างกองทัพพม่าและพันธมิตร เช่นเดียวกับทางตอนเหนือ รัฐบาลทหารพม่าได้หลีกเลี่ยงการวางเป้าหมายในเขตของกองกำลังพันธมิตรที่หยุดยิง
นอกจากนี้ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมากองทัพที่หยุดยิงบางแห่งได้พยายามหยุดการปลูกฝิ่นที่เปิดเผยในบางส่วนของอาณาเขตปกครองของตน โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งได้รับข้อเสนอให้รับความช่วยเหลือในการพัฒนาจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า มีการปลูกฝิ่นในพื้นที่อื่นเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการชดเชย
บทเรียนจากโครงการให้เงินช่วยเหลือปลูกพืชทดแทน
รัฐบาลพม่าได้เริ่มต้นโครงการปลูกพืชทดแทนและได้รับเงิน ช่วยเหลือจากต่างประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น และไทย มาตลอดเวลาหลายปี โดยในเดือนเมษายน 2002 รัฐบาลพม่า ได้ตั้งชื่อโครงการนี้ว่า “ปลายทางแห่งใหม่” หรือ “New Destiny” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านนำเมล็ดฝิ่นมาแลกกับข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพด โดยพลเอกขิ่น ยุ้นต์ สั่งให้ทุกเมืองทางตอนเหนือของรัฐฉานปลูกข้าว 2 ครั้งในแต่ละปี
แต่ปัญหาก็คือ ตามปกติแล้ว ชาวนาในรัฐฉานปลูกข้าวเพียง 1 ครั้งในช่วงฤดูฝน หลังเก็บเกี่ยวข้าวจึงปลูกพืชอื่นๆ อาทิ ถั่วเหลือง หอม กระเทียม และพริก ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของท้องถิ่นและสามารถขายเพื่อสร้างรายได้ เมื่อต้องเข้าร่วมโครงการนี้ ชาวบ้านจึงไม่มีโอกาสเพาะปลูกพืชอื่น ๆ ในช่วงฤดูแล้ง และเนื่องจากเมล็ดข้าวพันธุ์ ซินส่วยหลี ซึ่งรัฐบาลนำมาจากประเทศจีน เป็นพันธุ์ข้าวสำหรับปลูกในฤดูฝน แต่รัฐบาลกลับสนับสนุนให้ปลูกในฤดูแล้ง ทำให้ชาวบ้านเก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยมาก
อีกโครงการหนึ่งเพื่อส่งเสริมพืชทดแทนในพม่า คือโครงการข้าวสาลีญี่ปุ่น โครงการนี้ริเริ่มเมื่อปี 1998 ในเขตโกก้างโดย Japan International Cooperation Agency ในความร่วมมือกับรัฐบาลทหารพม่าและ UNDP มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการปลูกข้าวสาลีญี่ปุ่นและส่งไปขายญี่ปุ่นซึ่งบริโภค ข้าวสาลีถึง 120,000 ตันต่อปี ส่วนใหญ่ใช้บริโภคในรูปของก๋วยเตี๋ยวโซบะ โครงการนี้เริ่มโดยการประชาสัมพันธ์โดยเจ้าหน้าที่กองทัพพม่าซึ่งประกาศเมื่อปี 1998 ว่าทุกดอยและหุบเขาใน อาณาเขตจะปกคลุมไปด้วยทุ่งข้าวสาลีและทุกครัวเรือนจะปลูกพืชใหม่นี้
ตั้งแต่เริ่มแรก ผลของการปลูกพืชชนิดใหม่ไม่เป็นที่น่าพอใจ นายซินเฉา ผู้บริหาร MNDAA ของ หมู่บ้านปาซินจ๋อ ในโกก้าง เปิดเผยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2002 ว่า ตัวเขาเองก็เสียไป 3,000 หยวนจากการลงทุนซื้อเมล็ดและปลูกข้าวสาลี “มันเป็นงานหนักมาก ต้องดูแลข้าวและป้องกันแมลง และท้ายสุดก็ให้ผลผลิตต่ำ ทำไปไม่ได้อะไรเลย” ไม่เพียง แต่ให้ผลผลิตไม่ดีเท่านั้น แต่ยังมีรายงานจาก Myanmar Times เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2002 อีกว่าต้องใช้ เวลาขนส่งข้าวสาลีไปญี่ปุ่นนานถึง 4 สัปดาห์ ซึ่งทำให้ข้าวสาลี เสียหายเมื่อไปถึง
ทางด้านประเทศไทย ที่หมู่บ้านนายาว ห่างจากชายแดน ไทยด้านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายประมาณ 30 กม. ประเทศไทยได้ส่งเสริมโครงการปลูกพืชทดแทน ในหมู่บ้าน “ยองข่า” ซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งอพยพชาวว้ามาจากทางตอนเหนือใกล้ชายแดนจีน ตั้งแต่เมื่อปี 1999-2000 โดยโครงการส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนร่วมระหว่างไทยและพม่า เริ่มต้นเมื่อปี 2001 ได้รับงบประมาณจากประเทศไทยไปแล้ว 20 ล้านบาทและคาดว่าจะได้รับเพิ่มอีก 20 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ประชาชนในพื้นที่ยืนยันกับสำนักข่าวชานว่า ในเขตเมืองสาด ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยของชาวว้าอพยพและชาวบ้าน ท้องถิ่นเดิมยังคงมีการปลูกฝิ่นอย่างเสรี แม้กระทั่งในพื้นที่ “ปลอดฝิ่น” ของว้าเองก็ยังมีการปลูกฝิ่น ตัวอย่างเช่น ประชาชน จากเมืองยอนที่เดินทางมาประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนได้แจ้งว่ายังมีการปลูกฝิ่นบนดอยรอบๆ เมืองยอน ซึ่งกองทัพว้า ก็ปลูกเองด้วย นอกจากนั้นการที่พื้นที่อื่นรอบๆ เมืองโต๋น ซึ่งอยู่ใต้การควบคุมของว้า ยังมีการปลูกฝิ่นโดยไม่มีการควบคุม
สถานการณ์ปัจจุบัน
แม้ว่าสถานการณ์การปลูกฝิ่นในรัฐฉานจะลดลงบ้างในบางพื้นที่ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากไปกว่านั้น คือ สถานการณ์ยาบ้า ซึ่งทวี ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ รายงานจากสำนักข่าวชานระบุว่า ปัจจุบัน ในรัฐฉานยังคงมีโรงงานผลิตยาเสพติดมากถึง 93 แห่งโดยโรงงานบางแห่งผลิตทั้งเฮโรอีนและยาบ้า ข้อมูลที่น่าตกใจก็คือ โรงงานเหล่านี้ดำเนินการโดยกองกำลังพันธมิตร ของรัฐบาลทหารพม่า และบางครั้งทหารพม่าเองยังเป็นผู้ให้ความคุ้มครองโรงงานยาเสพติดเหล่านี้
โรงงานส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจาก “สงครามปราบปรามยาเสพติด” หรือเพียงแค่ปิดตัวลงชั่วคราว ในช่วงที่มีการกวาดล้าง อย่างไรก็ตามบางโรงงานทางตอนเหนือ และในเขตว้าติดกับชายแดนไทยได้ย้ายไปที่ซึ่ง “ปลอดภัยกว่า” โดยมีรายงานจากแหล่งข่าวทางเหนือว่า ผู้ผลิตยาบางรายที่รอบคอบได้ย้าย “วัตถุดิบ” ไปยังห้องทดลองที่ควบคุมโดยว้าทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน ซึ่งไม่มีการรณรงค์ดังกล่าว ในพื้นที่นั้น
โรงงานที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก ขณะที่โรงงานขนาดใหญ่ของผู้มีอิทธิพลซึ่งมีชื่อเสียงอื้อฉาวในธุรกิจยาเสพติดมานานหลายปีกลับยังดำรงอยู่ อาทิ โรงงานทางตอนใต้ของรัฐฉานหลายแห่ง ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเหว่ยเซียะกัง ส่วนขุนส่าก็ยังคงรักษามีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่เดิม คือ ต้างยาน และ เมืองไหย โดยอดีตผู้ใกล้ชิดของเขา ชื่อ โบ่มน เป็นผู้สนับสนุนและ ถือหุ้นในโรงงานผลิตเฮโรอีน 4 แห่ง และยาบ้า 1 แห่ง
แหล่งข่าวภายในจาก ต้างยาน กล่าวไว้ในรายงานฉบับเดียวกันนี้เมื่อเดือนมกราคม 2003
“โบ่มน ยังคงสนับสนุนขุนส่า (ซึ่งอยู่ที่ย่างกุ้งภายใต้การคุ้มครองจากทหาร) โดยให้เงิน 4 ล้านจั๊ต (4,000 ดอลลาร์) ต่อเดือน”
จากข้อมูลข้างต้นจึงมองได้ว่า สถานการณ์ยาเสพติดใน ประเทศพม่ามีความซับซ้อนมากขึ้น สงครามปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลไทยและรัฐบาลทหารพม่าจึงดูเหมือนเป็นเพียงสัดส่วนเล็ก ๆ ของกระบวนการค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ การวางแผนแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไปของประเทศไทยจึงอาจต้องมองให้เห็นถึงขบวนการทั้งหมดแล้วเริ่มแก้ปัญหาที่จุดสำคัญ โดยเฉพาะจับตามองสายสัมพันธ์ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่รัฐ กองกำลังชนกลุ่มน้อยที่ได้รับผลประโยชน์จากการค้ายาเสพติดรวมทั้งพ่อค้ายาเสพติดในประเทศไทย
เจ้าหน้าที่โครงการปราบปรามยาเสพติด จากสหประชาชาติเคยให้สัมภาษณ์ทาง UN.Wire ไว้อย่างน่าคิดว่า
“เราไม่อยากเห็นเพื่อนบ้านโอดครวญว่าปัญหายาบ้ามาจากประเทศพม่าเพียงอย่างเดียว เพราะว่าคุณจะอธิบาย ได้อย่างไรว่าสารเคมีตั้งต้นเหล่านี้มาจากไหน หากไม่ใช่ ประเทศเพื่อนบ้าน และยาบ้าเหล่านี้เข้าไปถึงกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ของไทยได้อย่างไร การแก้ปัญหายาบ้าจำเป็นทำงานร่วมกันแบบข้ามพรมแดน และกำจัดการคอรัปชั่น ระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศบริเวณชายแดนให้หมดไปด้วย”
หมายเหตุ
ท่านสามารถติดตามอ่านรายงาน“SHOW BUSINESS : Rangoon’ s War on Drugs in Shan State” ของสำนักข่าวชาน (Shan Herald Agency for News – S.H.A.N) ฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org และ
บทความชิ้นนี้เป็นลิขสิทธิ์ของศูนย์ข่าวสาละวินหากท่านต้องการนำไปใช้เผยแพร่กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มา
AFL = Arakan League Front
CNF= Chin National League Front
DKBA= Democratic Karen Buddhist Army
KIA= Kachin Independence Army
KKY=Ka Kwe Ye
KNPP=Karenni National Progressive Party
KNU=Karen National Army
MNDAA = Myanmar National Democratic Alliance Army
SSA=Shan State Army
SSNA= Shan State North Army
UNDCP=UN Drugs Control Program
UNODC= UN Office on Drugs Control and Crime Prevention
UWSA=United Wa State Army