ผู้หญิงและการละเมิดทางเพศบนรถบัส


ฉันเป็นชาวอาระกัน (หรือที่คนพม่าเรียกเราว่า ยะไข่) ฉันมาจากรัฐอาระกัน ทางตะวันตกของประเทศพม่า รัฐที่มีชายแดนติดกับประเทศบังคลาเทศและอินเดีย ฉันมีอะไรบางอย่างจะเล่าให้ทุกรับรู้

…วันนั้น เป็นวันที่ฝนกระหน่ำย่างกุ้ง(เมืองหลวงของประเทศพม่า) ตอนนั้นฉันทำงานในโรงงานและเรียนไปด้วย ฉันพักอยู่กับเพื่อน ๆ ซึ่งทุกคนต่างก็เป็นเป็นชนเผ่าที่มาจากรัฐต่าง ๆ ในพม่าและทำงานในโรงงานเหมือนกัน ในแต่ละวัน เราเริ่มงานตั้งแต่ 7 โมง15 ไปจนถึงสองทุ่ม แต่เราต้องออกจากที่พักเพื่อเดินทางไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะต้องเผื่อเวลาในการรอรถเมล์ประมาณ 45 นาที ฉันไม่ชอบเลย แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนงานสักที ก็เลยต้องใช้เวลาครึ่งหนึ่งที่มีไปกับการทำงานที่นั่น


บนรถเมล์ ระหว่างทางไปทำงาน ฉันได้เห็นบางสิ่งที่อุจาดสายตา น่าขยะแขยง สะอิดสะเอียน คือมีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 35 ปี ยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงคนหนึ่ง และกำลังสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เขายื่นหน้าไปใกล้ซอกคอด้านหลังของผู้หญิงคนนั้น ฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น สาเหตุหนึ่งที่ผู้ชายคนนั้นสามารถทำอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าบนรถเมล์ คนเยอะมากจึงต้องยืนเบียดเสียดกัน เมื่อฉันมองไปยังผู้ชายคนนั้นครั้งใด เขาก็ยังไม่หยุดการกระทำแบบนั้น ฉันรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของเขามาก ใจหนึ่งก็อยากจะช่วยผู้หญิงคนนั้นเหมือนกันแต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลย ตลอดเวลาที่อยู่บนรถเมล์ ฉันพยายามคิดหาทางที่จะช่วยผู้หญิงคนนั้น จะทำอย่างไรดีที่จะให้ทุกคนบนรถรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันมองไปที่ผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง เขาก็ยังไม่หยุด แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่มีท่าทีที่ผิดปกติแต่อย่างใด เหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

เมื่อมาถึงที่โรงงาน ฉันถูกผู้จัดการต่อว่าที่มาสาย เขาสั่งให้ฉันไปพบเขาที่ห้องทำงานเพื่อลงชื่อรับทราบการตัดเงินเดือนและตัดโบนัส ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นทั่วไปในโรงงานต่าง ๆ ในพม่า

เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ฉันก็เห็นพฤติกรรมอันแสนอุจาดของผู้ชายแบบเดิมบนรถเมล์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่เห็น มีผู้หญิงหลายร้อยหลายพันทีต้องพบเจอกับพฤติกรรมแบบนี้บนรถเมล์ ซึ่งบางครั้งก็เกิดขึ้นในโรงเรียนด้วยเช่นกัน และฉันก็เห็นว่ามันเกิดขึ้นอยู่หลายๆที่ ในเวลาต่าง ๆ จะต่างกันก็ตรงที่ ที่ไหนจะเกิดมากเกิดน้อยเท่านั้นเอง กลับมาพูดเรื่องสิ่งที่ฉันเห็นกันต่อดีกว่า ครั้งนี้ผู้ชายคนนั้นมีท่าทางสุภาพมาก แต่งตัวดี ใส่สูท ผูกเนคไทด์ ใส่รองเท่าหนัง อย่างดี ถ้ามองแต่เพียงภายนอกแล้ว ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่สุภาพมาก ๆ คนเรามักจะตัดสินคนกันที่เงินของเขาหรือภาพลักษณ์ที่เห็นกันภายนอก ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว เราคงจะไม่นึกไม่ฝันว่าจะเห็นสุภาพบุรุษคนนี้กำลังทำอะไรบางอย่างอันสุดแสนจะวิปริตอยู่ ซึ่งครั้งนี้เป็นอะไรที่วิปริตกว่าที่เคยเจอมา ฉันสังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีท่าทางกลัวจนถึงกับเหงื่อตก และท่าทางตกใจมาก ที่พูดแบบนี้ได้เพราะฉันยืนใกล้กับผู้หญิงคนนั้นมาก หลังจากนั้น ใครจะรู้ว่าเธอกับฉันได้กลายมาเป็นเพื่อนรักกัน แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังไม่กล้าถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่เธอรู้สึกอับอายขายหน้าที่จะเปิดเผย

คืนหนึ่งก่อนที่ฉันจะเข้านอน ฉันกับเพื่อนคนนี้คุยกันถึงเรื่องช่วงเวลาที่ยากลำบากของเรา ตอนแรกเธอไม่ยอมพูดถึง และฉันก็ไม่อยากไม่คาดคั้นเธอ แต่เธอกลับผลุดลุกขึ้น และรีบไปปิดประตูหน้าต่าง จากนั้นเธอก็เข้ามากระซิบข้างหู และเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนรถเมล์ เธอบอกว่าเธอรู้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่แต่เธอไม่กล้าทำอะไรตอบโต้เพราะเธอเป็น “ผู้หญิง”

วัฒนธรรมของเราผู้หญิงจะต้องสุภาพเรียบร้อย ผู้หญิงต้องเชื่อฟังปรนนิบัติผู้ที่เป็นสามี ทำงานบ้านเลี้ยงลูก ทำกับข้าว อยู่แต่ในบ้าน โดยมีห้องครัวเป็นที่ประจำของผู้หญิง เธอบอกว่าการที่ผู้หญิงอย่างเราจะออกมาโวยวายว่าผู้ชายคนนั้นกำลังทำอะไรที่น่าอุจาด ใครๆ จะว่าเอาว่าผู้หญิงคนนั้น “หยาบคาย” และถูกมองไปในทางที่ไม่ดี
แล้วผู้หญิงควรจะโต้ตอบหรือไม่หากพบผู้ชายกระทำการหยาบคายเช่นนั้น ? ทำไมผู้หญิงต้องยอมพลีเรือนร่างเสมอ เมื่อผู้ชายต้องการ? มันยุติธรรมแล้วหรือ ? ผู้หญิงไม่ใช่คนหรือ? ฉันอยากจะบอกกผู้ชายว่า เกิดเป็นผู้หญิงนั้นมันลำบากแค่ไหน ผู้หญิงเป็นผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัวและความอับอาย ฉันอยากให้ผู้หญิงทุกคนแสดงความรู้สึกของเราออกมา มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้หญิงทุกคน หากฉันจะแสดงความรู้สึกของฉันออกมา โปรดอย่าคิดว่าฉันไม่สุภาพเลย