(1)
หลังจากนายพลเน วิน ลงจากอำนาจเดือนสิงหาคมปี 1988 วันที่ 23 กรกฎาคมปีเดียวกัน คณะทหาร SLORC หรือ The State Law and Order Restoration Council นำโดยนายพลซอ หม่องได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากประชาชนอีกครั้ง ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อจาก SLORC เป็น SPDC หรือ The State Peace and Development Council ปัจจับันมีผู้นำสูงสุดสามคนคือ พลเอกตาน ฉ่วย พลเอกหม่อง เอ และพลโทขิ่น ยุ้นต์
![]() |
ตานฉ่วย |
ดำรงตำแหน่งประธาน SLORC ในปี 1992 และตำแหน่งเดียวกันหลังจากเปลี่ยนชื่อเป็น SPDC ซึ่งเปรียบได้กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดูแลกระทรวงกลาโหมและหระทรวงอุตสาหกรรม ปัจจุบันอายุ 69 ปี
พลเอกหม่อง เอ เกิดเมื่อปี 1940 จบการศึกษาจาก Defense Services Academy (DSA) วิทยาลัยป้องกันชาติ และปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์ ในปี 1959 Bachelor of Science degree เคยเป็นผู้บัญชาการภาคตะวันออกเฉียงเหนือปี 1968 ติดยศพลตรีในปี 1990 พลโทปี 1993
![]() |
หม่องเอ |
พลโทขิ่น ยุ้นต์ เกิดเมื่อปี 1939 จบการศึกษาจากโรงเรียนฝึกนายทหารรุ่น 25 Officer’s Training School (25th Batch) และ ปริญญาตรีสาขาศิลปศาสตร์ Bachelor of Arts degree เคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้กับการ Defense Directorate Service Intelligence ในปี 1983 ควบคุมงานด้านข่าวกรองหรือ MIS เคยมีส่วนในการปราบปรามนักศึกษาที่เดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยปี 1988 เป็นนายทหารที่ใกล้ชิดนายพลเนวินมากที่สุด และมีสายสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มว้า(UWSA)โดยเป็นผู้รับผิดชอบในการเจรจาหยุดยิง ปัจจุบันอายุ 63 ปี
![]() |
ขิ่น ยุ้นต์ |
“บทบาทอันครอบงำการเมืองของทหารพม่านั้น มีควบคู่กันมากับตัวของนายพลเน วินจนเกือบจะแยกกันไม่ออก แม้ว่าภายหลังการลุกฮือของนักศึกษาและประชาชน นายพลเนวินจะได้ลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่บทบาทของนายพลผู้เฒ่าผู้นี้ก็ยังมีคนเชื่อว่าเป็นผู้ชักใยหรือเป็น “ผู้เชิดหุ่น” ทางการเมืองของพม่าอยู่ต่อมาอีก บรรดานายทหาร SLORC/SPDC นั้นแม้จะต่างรุ่นต่างวัยกันถึง 30 กว่าปี แต่ก็เป็นนายทหารที่ได้รับการเลือกสรรมากับมือของนายพลเนวินเป็นส่วนใหญ่”
สายใยแห่งอำนาจเผด็จการ (2)
ฉบับที่ผ่านมาเราได้แนะนำให้ได้รู้จักประวัติและผลงานของนายพลเนวิน อดีตผู้ปกครองประเทศพม่ายาวนานถึง 26 ปี และเป็นผู้วางรากฐานระบอบเผด็จการทหารเอาไว้อย่างมั่นคง ถึงแม้ว่านายพลท่านนี้จะยอมสละจากตำแหน่งผู้ปกครองประเทศเมื่อปี 1988 แต่หลายคนก็เชื่อว่าในช่วงแรกของการสละอำนาจเขายังเป็นเป็นผู้ชักใยการเมืองอยู่เบื่องกหลังรัฐบาลใหม่ และไม่มีใครชี้ชัดได้ว่า สายป่านแห่งอำนาจของนายพลท่านนี้ครอบคลุมไปถึงที่ใด เพราะจากการจับกุมลูกเขยและหลานชายนายพลเนวินเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ตามด้วยคำสั่งตัดสินประหารชีวิตเมื่อปลายเดือนกันยายน 2545 ที่ผ่านมา หลายคนจึงชักไม่แน่ใจว่านายพลท่านนี้ยังมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดปัจจุบันอยู่หรือไม่
ในฉบับที่แล้วเราได้ทิ้งท้ายประวัติของสามผู้นำสูงสุดในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไว้คร่าว ๆ ฉบับนี้เราจะกล่าวถึงจุดเด่นซึ่งทำให้พวกเขาเดินทางไปถึงดวงดาว และฐานอำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เข้าใจปัญหาการเมืองในพม่าได้ชัดเจนขึ้น
บุคคลแรกคือ พลเอกอาวุโสตานฉ่วย ผู้นำหมายเลข 1 ดำรงตำแหน่งประธานสภากฎระเบียบและการพัฒนาแห่งรัฐ หรือ SPDC ได้รับตำแหน่งนี้ในปี 1992 บุคลิกอันโดดเด่นที่ทำให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดของประเทศและยังครองอำนาจได้ยาวนานจนถึงปัจจุบันคือ ความเป็นคนช่างระมัดระวัง โดยถือคติว่า “ทุกก้าวย่างต้องปลอดภัย ” นักวิเคราะห์การเมืองพม่าท่านหนึ่งกล่าว่า พลเองท่านนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดอย่างเงียบ ๆ เขาไม่เคยได้รับการกล่าวขวัญและจับตามองว่าเป็นดาวเด่น หรือดาวรุ่งพุ่งแรงเหมือนหลายคน เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นยางช้า ๆ แต่มั่นคง เมื่อคนอื่นก้าวเร็วเกินไปและพลาดหกล้มลง เขาก็ค่อน ๆ เดินสู่ตำแหน่งเหล่านี้แทน จนในที่สุด เขาก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ และครองบัลลังก์แห่งนี้อย่างมั่นคงและยาวนาน จนถึงวันนี้เขาดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศพม่าจนครบ 10 ปี โดยยังไม่มีวี่แววว่าใครล้มบัลลังก์อันมั่นคงของชายวัย 69 ปี คนนี้ได้เลย
บุคคลต่อไปคือ พลเอกรองอาวุโสหม่องเอ ดำรงตำแหน่งรองประธาน SPDC และผู้บัญชาการกองทัพ เส้นทางสู่ดวงดาวของเขาเป็นแบบก้าวกระโดด คือ จากเคยเป็นผู้บังคับบัญชาภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 1986 ข้ามมารับตำแหน่งรองประธาน SPDC ผู้นำอันดับสองในปี 1992 และคุมกองทัพทั้งหมด นักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงก่อนได้รับตำแหน่งไม่นานว่า พลเอกท่านนีกำลังตกที่นั่งลำบากเนื่องจากเขานำทหารในกองทัพเดินทางไปสู้รบกับกองกำลังคะเรนนี หรือ KNPP ในรัฐคะยา และมีทหารถูกฝ่ายตรงข้ามจับไปเป็นตัวประกัน 44 คน เขาถูกรัฐบาลเรียกตัวไปชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการเดินทางไปรบกับกองกำลังคะเรนนีอีกครั้งหนึ่ง โดยเกณฑ์ลูกหาบอย่างน้อย 3 พันคนมาช่วยขนอาวุธและเสบียงอาหาร ช่วงเวลาที่เขวกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลกำลังปรับตำแหน่งคณะรัฐมนตรีพอดี บรรดาผู้บังคับภาคอื่น ๆ กำลังได้พิจารณาเลื่อนขั้น เหลือเพียงเขาที่ยังไม่ได้รับพิจารณาเมื่อกลับจากการสู้รบ และต้องเดินทางมารายงานตัวที่กรุงย่างกุ้งอีกครั้ง เขาจึงนำถุงอัญมณีล้ำค่าติดตัวไปด้วย และนำไปเป็นของกำนัลให้นาง สั่น ด่า วิน บุตรสาวสุดที่รักของนายพลเนวิน ผลก็คือในอีกสัปดาห์ต่อมา เขาได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองประธานSPDC พร้อมคุมกำลังพลในกองทัพพม่าทั้งหมดโดยไม่มีใครคาดคิด และด้วยเหตุที่เขามีกำลังทหารและอาวุธทั้งกองทัพอยู่ในมือ เขาจึงเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดคนหนึ่ง
ผู้นำคนสุดท้ายที่จะแนะนำในที่นี้คือ พลเอกขิ่นยุ้นต์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอันดับหนึ่ง และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองหรือ MIS (Military Intelligence Service) เส้นทางสู่ดวงดาวของนายพลท่านนี้เริ่มต้นจากการปลุกปั้นของนายพลเน วิน และด้วยความเฉลียวฉลาดรู้ทันเกมการเมือง รู้วิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่คับขัน และเป็นผู้คุมเกนที่ดี เขาจึงก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญได้ไม่ยากแม้ว่าเขาไม่มีอาวุธหรือทหารอยู่ในมือเหมือนกับพลเอกรองอาวุโสหม่องเอ แต่สิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดทรงอำนาจ และมีมีใครกล้าแตะต้องเขาคือ “ความลับทางทหาร”เพราะเขาคือหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง หน่วยงานซึ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบอบเผด็จการและสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรูของรัฐบาลพม่ามานานหลายทศวรรษ
พรพิมล ตรีโชติ นักวิชาการด้านชนกลุ่มน้อยในพม่าจากสถาบันเอเชียศึกษากล่าวถึงอำนาจของพลเอกขิ่นยุ้นต์ว่าหากผู้บังคับบัญชาภาคเป็นขุมกำลังของพลเอกรองอาวุโสหม่องเอ หน่วยสืบราชการลับทหารก็เปรียบเสมือนขุมพลังของพลเอกขิ่นยุ้นต์เช่นกัน เพราะเขามีข้อมูลส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ทุกระดับเป็นอาวุธ ซึ่งพร้อมจะถูกนำมาใช้ได้ทุกโอกาสซึ่งเห็นสมควร และนี่จึงเป็นเหตุให้พลเอกขิ่นยุ้นต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในพม่ารองจากนายพล เนวิน แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่งใด ๆ ในการควบคุมกำลังเลย
นอกจากพลเอกขิ่นยุ้นต์จะมีหน่วยข่าวกรองเป็นอาวุธ เขายังมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ที่เจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลเป็นกำลังหนุนหลัง เนื่องมาจากผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา คือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเจรจาหยุดยิงกับชนกลุถ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มว้าภายใต้การนำของเหว่ยเซียะกัง ดีกว่าพลเอกหม่องเอ ผู้นำกองทัพซึ่งเน้นการใช้กำลังเข้าปราบปราม
ตัวอย่างของการรู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันที่พลเอก ขิ่นยุ้นต์กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้คือการปิดปากเงียบและแสดงท่าทีห่างเหินกับนายพลเนวิน ผู้เปรียบเสมือนบิดา และอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทางการเมืองของเขา หลังจากลูกเขยและหลานชายนายพลเนวิน ถูกจับในคดีก่อกบฏเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2545 ที่ผ่านมา พลเอกขิ่นยุ้นต์ก็แสดงท่าทีห่างเหิน ขาดการติดต่อ และแสดงความสัมพันธ์ใด ๆ ที่จะทำให้ถูกกล่าวหาได้ว่ายังคงมีความใกล้ชิดกับครอบครัวผู้มีพระคุณ เพราะหากเขาแสดงท่าทีสนิทสนมเหมือนเก่า เขาจะต้องถูกเด้งออกจากตำแหน่งผู้นำอันดับสาม รวมทั้งอาจถูกส่งไปซังเต รอต้องโทษประหารเช่นเดียวกับสมาชิกครอบครัวนายพลเนวินอย่างแน่นอน เพราะมีคนรอพร้อมที่จะเขี่ยเขาลงจากตำแหน่งนี้มากมาย
กล่าวโดยสรุป ฐานอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลชุดปัจจุบันมีพลเอกอาวุโส ตานฉ่วย อยู่บนตำแหน่งสูงสุด รองลงมาคือ พลเอกรองอาวุโสหม่องเอ และพลเอกขิ่นยุ้นต์ แต่เนื่องจากผู้นำสองคนหลังมีเรื่องไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก จึงเกิดคำถามว่า หากพลเอกอาวุโสตานฉ่วยลงจากอำนาจสูงสุด ใครจะเป็นผู้นำคนต่อไป เพราะผู้นำอันดับสองและสามมีความขัดแย้งกันมากพอสมควร แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้ ผู้นำอันดับหนึ่งกำลังปั้นดาวรุ่งดวงใหม่ขึ้นมา และค่อย ๆ ช่วงชิงอำนาจจากรุ่นพี่ทีละน้อย ดาวดวงนี้คือ พลตรีจ่อวิน รองหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ชายหนุ่มผู้มีวาทศิลป์เป็นเยี่ยม และเป็นนายทหารที่ใกล้ชิดพลเอกอาวุโสตานฉ่วยมากที่สุดในขณะนี้
กล่าวกันว่า หากพลเอกอาวุโสตานฉ่วยวางมือจากวงการ ดาวดวงนี้ก็คงจะกลายเป็นเงาร่างของเขา ไม่ต่างอะไรกับพลเอกขิ่นยุ้นต์ซึ่งเคยเป็นเงาร่างให้กับนายพล เนวิน และอำนาจเผด็จการก็คงไม่หนีไปไหนไกลดังเช่น พรพิมล ตรีโชติ เคยกล่าววไว้ว่า “แม้มาดและฟอร์มของทหารรุ่นใหม่จะดูแตกต่างกันออกไป แต่เป้าประสงค์ของพวกเขาล้วนเหมือนกัน นั่นคือ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรักษาอำนาจไว้ในวามควบคุมของกองทัพต่อไป หากแต่เป็นยุทธวิธีที่ซับซ้อนและนุ่มนวลมากขึ้นเท่านั้นเอง
กล่าวกันว่า หากพลเอกอาวุโสตานฉ่วยวางมือจากวงการ ดาวดวงนี้ก็คงจะกลายเป็นเงาร่างของเขา ไม่ต่างอะไรกับพลเอกขิ่นยุ้นต์ซึ่งเคยเป็นเงาร่างให้กับนายพล เนวิน และอำนาจเผด็จการก็คงไม่หนีไปไหนไกลดังเช่น พรพิมล ตรีโชติ เคยกล่าววไว้ว่า “แม้มาดและฟอร์มของทหารรุ่นใหม่จะดูแตกต่างกันออกไป แต่เป้าประสงค์ของพวกเขาล้วนเหมือนกัน นั่นคือ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรักษาอำนาจไว้ในวามควบคุมของกองทัพต่อไป หากแต่เป็นยุทธวิธีที่ซับซ้อนและนุ่มนวลมากขึ้นเท่านั้นเอง
ภาพจาก อินเตอร์เน็ท