ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บนตลาดเทป เพลงไทยใหญ่ได้มีโอกาสต้อนรับ วงดนตรีน้องใหม่ชื่อว่า “ยังเติร์ก” ในอัลบั้มที่มีชื่อเป็นภาษาไทยใหญ่ว่า “ปู้นพอน แลโก๊นหนุ่ม” หรือแปลเป็นไทยว่า “ภาระหน้าที่และคนหนุ่มสาว” หลังจากอวดโฉมอยู่บนแผงได้ไม่กี่วัน สำนักข่าวชาน ของกลุ่มชาวไทยใหญ่ ก็ออกข่าวภาคภาษาอังกฤษว่า หนึ่งในบทเพลงของอัลบั้มชุดนี้ เป็นบทเพลงที่ยกย่อง ความสามารถของนางอองซานซูจี ในการต่อสู้แบบสันติวิธี จนได้รับรางวัลโนเบล หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน สำนักข่าว บีบีซีภาค ภาษาพม่าก็ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์สมาชิกวงเกี่ยวกับ แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกระแส จนเกินไป แวดวงบันเทิงฉบับนี้จึงติดตามสัมภาษณ์สมาชิก วงยังเติร์กมาฝากผู้อ่านกันบ้าง
ความเป็นมาของวงยังเติร์ก ก่อตั้งโดยหนึ่งในสมาชิกของวงเจิงแลว (ซึ่งเป็นวงของทหารไทยใหญ่ก่อตั้งในสมัยเจ้ากอนเจิง หรือนายพลโมเฮงเป็นผู้นำประมาณปี 1985) สมาชิกวงรวมทั้งหมดมี 11 คน ประกอบด้วยชาย 9 คน และหญิง 2 คน ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่มีแนวความคิดก้าวหน้าและอุดมการณ์ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวไทยใหญ่ และด้วยคุณสมบัติที่ว่านี้จึงเป็น ที่มาของชื่อวง “ยังเติร์ก” ซึ่งเป็นคำเรียกกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดก้าวหน้า
สาเหตุที่ก่อตั้งวงนี้ขึ้นมามีสองประการด้วยกัน คือ หนึ่ง เพื่อเสนอแนวดนตรีใหม่ให้กับผู้ฟังเพลงไทยใหญ่ โดยเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงเร็วผสมแนวเพลงร็อค สอง เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์บางส่วนในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง อิสรภาพของชาวไทยใหญ่ สรุปแล้วคอนเซ็ปต์ของวงดนตรีวงนี้เรียกได้ว่าเป็นวงดนตรีแนวเพื่อชีวิตแบบร็อค ๆ โดยเนื้อหาของเพลงจะเน้นไปที่เรื่องราวการต่อสู้ของชาวไทยใหญ่ในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งการปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ ให้แก่เยาวชนรุ่นหลังได้สำนึกในภาระหน้าที่ของตัวเอง เพื่อที่วันหนึ่งไทยใหญ่จะได้รับอิสรภาพเป็นของตนเองโดย ทุกคนได้มีส่วนร่วมตามแต่ภาระหน้าที่ของตน
จายก๋องเซอ โปรแกรมเมอร์ด้านดนตรีกล่าวถึงแนวดนตรีในอัลบั้มชุดแรกว่ามีอยู่หลายแนว “โดยส่วนใหญ่เป็นเพลงเร็ว ซึ่งสำหรับชาวไทยใหญ่แล้ว อาจเป็นแนวเพลงที่แปลกหูออกไปบ้าง เช่น เพลงอองซานซูจี ซึ่งเป็นดนตรีแนวร็อค มีกลิ่นไอของวงออเคสตร้าผสมอยูด้วย ตั้งใจทำเพลงแนวนี้เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของวงยังเติร์กโดยเฉพาะ ส่วนแนวเพลงอื่นก็เป็นเพลงทั่วไป ในการทำงานเทปชุดนี้ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ซึ่งตอนนี้กำลังฝึกซ้อม และหากมีโอกาส อาจมีการแสดงคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ขึ้นสักครั้งหนึ่ง แนวดนตรีส่วนใหญ่ได้อิทธิพลจากวงคาราบาว เพราะวงคาราบาว มีหลากหลายสไตล์รวมทั้งส่วนตัวเองก็มีความนิยมชมชอบพี่แอ๊ดคาราบาว รวมทั้งวงคาราบาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
ด้านเนื้อหาของอัลบั้มชุดแรก เนื้อเพลงจะเน้นไปในทางปลุกใจและให้กำลังใจคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ให้รับรู้และปฏิบัติหน้าที่ของ ตัวเองอย่างเต็มที่ ทั้งหมดมี 14 เพลงด้วยกัน เป็นเพลงภาษาไทยและภาษาจีนอย่างละหนึ่งเพลง ที่เหลืออีก 12 เพลงเป็นภาษาไทยใหญ่ บทเพลงหน้าแรกเริ่มจากเพลงอองซานซูจี ยกย่องความกล้าหาญของนางซูจีใน การใช้สันติวิธีต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ, เพลงทหารไทยใหญ่ในวันนี้ กล่าวถึงชีวิตการต่อสู้ของทหารไทยใหญ่, เพลงภาระหน้าที่และคนหนุ่มสาว เรียกร้องให้คนหนุ่มสาว ได้สำนึกถึงภาระหน้าที่ของตนเองต่อชาติบ้านเมือง, เพลงถิ่นกำเนิด มีเนื้อร้องเป็นภาษาไทย เรียกร้องถึงความ สามัคคีของทุกคน เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งแผ่นดินของตนเอง, เพลงสั่งถึงพี่ กล่าวถึงหญิงสาวที่ต้องการให้กับกำลังแฟนหนุ่ม ที่เป็นทหารออกรบแนวหน้า, เพลงหน่วยจรยุทธ์ กล่าวถึง การรบแบบกองโจร, เพลงลิงห้าร้อย กล่าวถึงการโกหก หลอกลวงของทหารพม่า
สำหรับบทเพลงหน้าสองเริ่มจากเพลงพี่จะเดินทาง กล่าวถึงคำสั่งลาของชายหนุ่มก่อนออกรบ, เพลงนกปีกแข็ง กล่าวถึงชาวไทยใหญ่ที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ต่างถิ่นให้ กลับคืนมาดูชาติบ้านเมืองของตนเอง,เพลงคนหนุ่มและ การสร้างชาติ มีเนื้อร้องเป็นภาษาจีน เพื่อให้คนไทยใหญ่ที่อยู่ใน ประเทศจีนได้ฟัง, เพลงช้าแต่ชัวร์ กล่าวถึงการต่อสู้บนหนทาง ที่ดูเหมือนริบหรี่เต็มทน แต่ยังคงมีความหวังว่าวันหนึ่ง ชัยชนะคงมาถึง, เพลงความในใจจากแนวหน้า พูดถึงทหาร ที่อยู่แนวหน้าจากคนรัก เป็นการขอโทษที่ไม่ได้กลับมาดูแล แต่หวังว่าสักวันหนึ่งคงมีโอกาสกลับมาทำหน้าที่นี้, เพลงแนวหลังยังคอย เป็นบทเพลงจากหญิงสาวคนรัก ที่ขอให้ชายหนุ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ส่วนหญิงสาวผู้อยู่ แนวหลังจะรอคอยให้กำลังใจเสมอ, เพลงคนไทยใหญ่ไร้บ้านเมือง เกี่ยวกับคนไทยใหญ่เคยมีบ้านมีเมืองของตนเอง แต่ต้องถูกชนชาติอื่นมารุกราน เรียกร้องให้คนไทยใหญ่หันมา สามัคคีและร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ได้บ้านเมืองของตนเองกลับคืนมา
สำหรับแรงบันดาลในการแต่งเพลงอองซานซูจีมาจาก ความคิดที่ว่า จายเล็ก นักแต่งเพลงกล่าวว่า “ขนาด นางซูจีเป็นชาวพม่าและทำเพื่อชาวพม่าโดยใช้สันติวิธีต่อสู้กับ อำนาจเผด็จการทหาร กลับยังถูกคดโกงด้วยวิธีต่าง ๆ นานา และยังไม่สามารถช่วยชาวพม่าให้พ้นจากความทุกข์ยากได้ ดังนั้น หากจะมองถึงชนชาติต่าง ๆ ซึ่งต้องการเรียกร้องสิทธิ และเสรีภาพของชนชาติตัวเองนั้น โอกาสที่จะได้ สิ่งเหล่านั้นมา โดยสันติวิธีก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่หรืออาจ พูดได้ว่าเกือบ ไม่เห็นหนทางเลย ดังนั้น วิธีเดียวที่คิดว่าจะให้ได้มาซึ่งสิทธิ และเสรีภาพของชนชาติตนเองนั้น นอกจากจับอาวุธเข้าต่อสู้ ก็คงไม่มีหนทางอื่น แต่ท้ายที่สุดแล้ว คิดว่าทุกชนชาติเอง ก็มุ่งหวังที่จะให้ปัญหาต่าง ๆ จบลง ด้วยการเจรจา เพราะถ้า ไม่ถึงที่สุดแล้ว คงไม่มีใครที่อยากจับอาวุธปืนไปตลอดชีวิต”
นอกจากนี้ ในบทเพลงเดียวกันยังเรียกร้องให้ ผู้หญิงไทยใหญ่ที่มีความสามารถออกมาทำงานเพื่อชาวไทยใหญ่ ดังเช่นนางซูจีทำเพื่อชาวพม่าบ้าง ผู้แต่งเพลงอธิบายว่า ในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิและเสรีภาพของชาวไทยใหญ่ ที่ผ่านมา ส่วนมากจะเข้าใจกันถึง แนวการต่อสู้ทางด้านทหาร ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นผู้ชาย แต่ในสังคมโลกปัจจุบันนี้สิทธิความเท่าเทียม ระหว่างหญิงและชายมีเพิ่มมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง อีกทั้งมองเห็นว่า ผู้หญิงไทยใหญ่ที่เก่ง ๆ ก็ยังมีอีกมาก แต่ยังไม่แสดงตัวออกมา ด้วยสำคัญว่าตนเองเป็นแค่ผู้หญิง คนหนึ่ง จึงอยากฝากถึงผู้หญิงไทยใหญ่ทุกคนขอให้ มีความมั่นใจและกล้าที่จะต่อสู้เพื่อผืนแผ่นดินแม่ของตนเอง