วิกฤติป่าไม้ในพม่า ความขัดแย้งของผลประโยชน์

ภาพ Global Witness


เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา องค์กร global witness องค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศอังกฤษ ซึ่งทำงานเน้นเรื่องความเชื่อมโยงของการทำลายทรัพยากรธรรมชาติกับความขัดแย้ง ได้แถลงข่าวเปิดตัวรายงาน "ความขัดแย้งของผลประโยชน์อนาคตอันไม่แน่นอนของป่าไม้ในประเทศพม่า" เวลา 19.00 น. ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย


รายงานฉบับนี้เป็นผลการวิจัยและการลงพื้นที่ภายในประเทศพม่า ไทย และจีน โดยได้ศึกษาถึงรากเหง้าของสงครามกลางเมืองและความเชื่อมโยงระหว่างความขัดแย้งและการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติในประเทศพม่า รายงานฉบับนี้ถือเป็นฉบับแรกที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติการทำไม้ในพม่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำไม้ในปัจจุบันโดยสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (SPDC) ของพม่า การทำไม้โดยกลุ่มกองกำลังชนกลุ่มน้อย การทำไม้อย่างกว้างขวางในพื้นที่ที่มีข้อตกลงหยุดยิง และการค้าข้ามพรมแดนโดยเฉพาะกับประเทศจีน

Jon Buckrell หนึ่งในทีมงานจาก Global Witness กล่าวว่า “พม่ามีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่ถูกล้อมรอบไปด้วยประเทศที่กระหายทรัพยากร และรัฐบาลก็ใช้ประโยชน์จากความกระหายนี้อย่างเต็มที่ ภาษีที่ทั้งรัฐบาลทหารและกองกำลังชนกลุ่มน้อยได้จากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งไม้สัก ทำให้ความขัดแย้งทางอาวุธอย่างรุนแรงสืบเนื่องต่อไปทั่วประเทศพม่า ”

รายงานยังเปิดเผยว่า "40 ปีหลังจากการยึดครองประเทศโดยกองทัพเมื่อปีพ.ศ. 2505 SPDC ยังคงอยู่ในอำนาจอย่างเหนียวแน่น สาเหตุหนึ่งของการดำรงอยู่ก็คือการควบคุมการเข้าถึงแร่และไม้สัก ในปีพ.ศ. 2545 การทำไม้เพียงอย่างเดียวเป็นอัตราส่วนสูงถึงร้อยละ 9.3 ของรายได้การแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย รัฐบาลทหารยังทำการค้าทรัพยากรเหล่านี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางการเมืองและทางการทหาร ทั้งภายในประเทศพม่าและกับประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย"

"ความต้องการเงินตราต่างประเทศทำให้บรรษัทเมียร์มาร์ทิมเบอร์ซึ่งควบคุมโดยรัฐบาล ตัดไม้เกินระดับที่กำหนดไว้โดยกรมป่าไม้ เมื่อผนวกเข้ากับการจัดการผิดพลาดเรื้อรัง การคอร์รัปชั่น และการล่มสลายทางสถาบัน ก็นำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับภาพความยั่งยืนของป่าไม้ตามที่รัฐบาลทหารได้สร้างภาพไว้ การทำไม้ “อย่างไม่เป็นทางการ” ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อป่าในตอนกลางของประเทศพม่ามากขึ้น การเปรียบเทียบตัวเลขการส่งออก-นำเข้าอย่างเป็นทางการชี้ว่า การค้าไม้สักพม่านั้นสูงเป็นอย่างน้อยสองเท่าของที่มีการบันทึกโดยรัฐบาล"

Jon Buckrell กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า“การส่งออกที่ไม่ได้รับการบันทึกที่สูงถึงหนึ่งล้านลูกบาศก์เมตร มีมูลค่าถึงประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทหารไม่สามารถควบคุมป่าไม้ของตนเองได้”2

ในปี ๑๙๙๙-๒๐๐๐ ทางการพม่าบันทึกยอดการส่งออกไม่สักจำนวนรวม ๘๐๖,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ทว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้นประเทศผู้นำเข้าไม้จากพม่ากลับบันทึกตัวเลขไว้ที่ประมาณ ๑.๗๒ ล้านลูกบาศก์เมตร สะท้อนให้เห็นว่า ตัวเลขส่งออกไม้เถื่อนสูงถึง ๙๑๔,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร การทำไม้จำนวนมหาศาลดังกล่าวได้นำไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในรัฐคะฉิ่น ซึ่งมีบริษัททำไม้จากประเทศจีนหลายรายเข้ามาดำเนินการตัดไม้ในพื้นที่ป่าบริสุทธิ์เป็นอาณาบริเวณกว้าง


ความสัมพันธ์ระหว่างพม่า-จีน และการทำไม้ในรัฐคะฉิ่น 


ในปี ๒๐๐๑ ตัวเลขส่งออกไม้จากพม่ามีเพียง ๖๘๘,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ขณะที่จีนเพียงประเทศเดียวกลับมีตัวเลขการนำเข้าไม้จากพม่าสูงถึง ๘๕๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร จีนต้องการทรัพยากรจากพม่าเพื่อพัฒนาชายแดนและจังหวัดยูนนานโดยรวม ในเดือนสิงหาคม ๑๙๘๘ จีนลงนามข้อตกลงการค้าชายแดนอย่างเป็นทางการกับพม่า ข้อตกลงฉบับแรกมีขึ้นหลังจากการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน จีนซึ่งได้สนับสนุนกองกำลังต่างๆ มาก่อน อย่างเช่นพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (CPB) และจีนก็ได้กลายมาเเป็นพันธมิตรสำคัญของรัฐบาลทหารพม่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจดังกล่าวได้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากการห้ามทำไม้ในยูนนานในปี ๑๙๙๖ และห้ามทั้งประเทศจีนในปี ๑๙๙๘ ดูเหมือนว่าความเป็นห่วงในประเด็นสิ่งแวดล้อมของจีนจะหยุดลงเพียงที่เส้นพรมแดนประเทศ

รัฐคะฉิ่นของพม่าถูกขนาบด้วยประเทศจีนและอินเดีย เป็นรัฐซึ่งได้รับการกล่าวขานว่า เป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งมีค่ามากที่สุดในโลกเนื่องจากอุดมไปด้วยป่าไม้ขนาดใหญ่ หยก ทองคำ และแร่อื่นๆ ป่าไม้ของรัฐคะฉิ่นได้ถูกล่าวว่า “อาจเป็นพื้นที่หนึ่งในโลกซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุด อุดมสมบูรณ์ และเหมาะสมกับผืนโลกมากที่สุด” และเป็นพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับการทำลายป่าในระดับสูงที่สุดในพม่าด้วยเช่นกัน Global Witness ประมาณว่าไม้ที่ส่งออกจากรัฐคะฉิ่นไปยังยูนนาน ซึ่งรวมทั้งไม้เนื้ออ่อนและไม้เนื้อแข็ง มีปริมาณไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี

กระบวนการทำให้ชาวรัฐคะฉิ่นเข้าสู่ความเป็นชายขอบ โดยเฉพาะการขาดแคลนทางการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ รวมทั้งความไม่เท่าเทียมในการแบ่งสรรผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรในรัฐคะฉิ่น ได้เป็นแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้เกิดกองกำลังชนกลุ่มน้อยชาวคะฉิ่น เศรษฐกิจของกองกำลังคะฉิ่นอิสระ (KIA) และ พรรคคอมมิวนิสต์พม่า (CBP) มาจากการค้าขายหยกและการสนับสนุนของจีน การค้าไม้ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันหลังจากการล่มสลายของ CPB ในปี ๑๙๘๘ และการประกาศหยุดยิงของ KIA ในปี ๑๙๙๔ ซึ่งการทำไม้ขยายขึ้นเป็นอุตสาหกรรม

การทำไม้ในรัฐคะฉิ่นมีความยุ่งเหยิงเนื่องจากถูกควบคุมโดยหลายกลุ่ม อาทิ กองกำลัง Democratic Army (คะฉิ่น) หรือ กลุ่ม NDA(K) กลุ่ม KIA กองทัพพม่า (ทัดมาดอว์) และหน่วยข่าวกรอง มีข้อมูลน้อยมากที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ซึ่งมีจำนวนมากเหล่านี้ แต่เป็นที่ชัดเจนว่าความต้องการทรัพยากรธรรมชาติได้ส่งผลให้กองกำลังทหารในพื้นที่รัฐคะฉิ่นเพิ่มจำนวนขึ้น ประชากรท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงน้อยนิด เพราะผลประโยชน์ตกอยู่กับผู้มีอำนาจ ในขณะที่สิ่งแวดล้อมและความหวังต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคตต้องพังทลาย นอกจากนี้การเข้ามาของแรงงานอพยพจำนวนมากได้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของโสเภณี โรคเอดส์ ยาเสพติด และการพนัน

การทำไม้ส่วนใหญ่ทำโดยบริษัทจีน ไม้และทรัพยากรอื่นๆ ถูกส่งออกไปยังประเทศจีน หากจะมีอยู่บ้างในรัฐคะฉิ่นจะเป็นเพียงแค่การแปรรูปไม้เท่านั้น ในเวลาเดียวกันนักธุรกิจจีนต่างกำลังสร้างโรงงานทำไม้มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ห่างจากชายแดนพม่าไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร บริษัทต่างๆ ที่เมือง Pian Ma บนชายแดนจีน ซึ่งส่วนใหญ่ทำกิจการทำไม้ได้ขยายตัวจาก ๔ บริษัทเมื่อปี ๑๙๘๔ เป็น ๑๕๐ บริษัทในปี ๒๐๐๑

โครงการ N’Mai Hku น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ พื้นที่รัฐคะฉิ่นแห่งนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็นหนึ่งในจุดที่มีความหลากลายหลายทางชีวภาพสูงที่สุดของโลก แต่ก็กลับเป็นพื้นที่ซึ่งมีโครงการทั้งทำแร่และทำไม้ มีการทำข้อตกลงกันระหว่าง KIO และกลุ่มผลประโยชน์ทั้งเอกชนและรัฐจากจีนและมาเลเซีย มิติด้านชุมชนท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมแทบต้องเผชิญกับภัยพิบัติโดยได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก KIO เพียงน้อยนิด ในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมากลุ่มผลประโยชน์จีนได้สร้างถนนมากมายเชื่อมโยงถึงกันเพื่ออำนวยความสะดวกแก่โครงการซึ่งแลกมาด้วยการทำไม้

บนชายแดนจีนนั้นการทำไม้และการค้าฝิ่นเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก กล่าวคือผู้ค้ายาเสพติดได้ลงทุนทำไม้เพื่อฟอกเงิน และมีการเจาะไม้เพื่อซุกซ่อนยาเสพติด อาจกล่าวได้ว่าแผนทำลายยาเสพติดได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้แก่การทำไม้ขนาดใหญ่ โดยจัดหาอาชีพใหม่ให้แก่ชาวบ้านที่ปลูกฝิ่น อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงก็คือเงินภาษีที่เรียกเก็บจากการทำไม้ ไม่ได้นำมาลงทุนในพื้นที่ และการทำไม้อย่างดุเดือดเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางนิเวศวิทยา ซึ่งส่งผลกระทบแก่การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ดังนั้นป่าไม้ที่ถูกทำลายและปัญหาก็ส่งผลโดยตรงบังคับให้ประชาชนต้องปลูกฝิ่นเพราะเป็นพืชเศรษฐกิจที่พึ่งพิงได้

ตามข้อมูลการนำเข้าของประเทศจีน พบว่าจีนได้นำเข้าไม้สักมากกว่าหนึ่งล้านลูกบาศก์เมตรจากพม่าในปีพ.ศ. 2545 เป็นที่คาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะสูงถึง 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตรในปีพ.ศ. 2546 การสืบหาข้อมูลโดย Global Witness ตามแนวชายแดนจีน-พม่า พบว่าการทำไม้ขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ทำไปสู่การทำลายป่าเก่าแก่ในรัฐคะฉิ่น3เป็นพื้นที่กว้าง และโครงการขนาดยักษ์ N’Mai Khu (หัวน้ำ) จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก


ตัวแทนจาก Global Witness กล่าวว่า “วิถีชีวิตของประชาชนกำลังถูกทำลาย ประเทศจีนจะต้องหยุดการทำไม้ในประเทศพม่าโดยทันที เพื่อให้เวลาแก่การวางแผนอย่างเหมาะสมที่จะรับรองได้ว่าป่าจะถูกใช้ไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนแห่งรัฐคะฉิ่น ไม่ใช่เพื่อบริษัททำไม้ของจีน”

ความสัมพันธ์ไทย-พม่า และการทำไม้ในรัฐกะเหรี่ยง


การสนับสนุนของไทยแก่กองกำลังชนกลุ่มน้อยเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ “รัฐกันชน” ของประเทศไทยซึ่งกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-พม่าทำหน้าที่ป้องกันการปะทะกันโดยตรงระหว่างกองทัพไทยและทหารพม่า ในปี ๑๙๘๘ รัฐบาลทหารพม่าซึ่งตั้งใจสร้างอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศไทยที่มีต่อรัฐบาลทหารพม่าได้ให้สัมปทานทำไม้แก่บริษัทของไทยซึ่งมีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองระดับสูงและกองทัพ หนึ่งในนักการเมืองคนหลักๆ คือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการกองทัพไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในทำนองเดียวกันกับการทำไม้ในเขตของเขมรแดงในประเทศกัมพูชา การให้สัมปทานนี้ทำให้เกิดการทำไม้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลบนชายแดน-พม่า จนถึงปี ๑๙๙๓ ก็หยุดลงเนื่องจากไทยหยุดให้การสนับสนุนแก่กองกำลังชนกลุ่มน้อย

ปัจจุบันการทำไม้บนพรมแดนลดลงมากหากเทียบกับเมื่อต้นทศวรรษ ๑๙๙๐ แต่ก็ยังมีการส่งไม้ข้ามชายแดนมาจากเขตซึ่งยังมีการสู้รบซึ่งเป็นเขตของกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) และกองกำลังกะเหรี่ยง (KNU) ไม้จากฝั่งไทยได้ถูกส่งไปสวมโสร่งที่ฝั่งพม่าและส่งกลับมายังฝั่งไทยโดยการร่วมสมคบของเจ้าหน้าที่ชายแดนไทยเช่นเดียวกับกรณีไม้สาละวิน

ในรัฐกะเหรี่ยงก็เป็นเช่นเดียวกับในรัฐคะฉิ่น คือ กองกำลังชนกลุ่มน้อยมีอำนาจควบคุมทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะไม้สัก การทำไม้ในพื้นที่ซึ่งมีการช่วงชิงกันนั้นเกี่ยวพันกับยุทธศาสตร์ด้วย กล่าวคือ การทำไม้ลดพื้นที่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยผืนป่า ถนนสำหรับขนส่งไม้ช่วยให้เกิดการย้ายกองกำลังอย่างรวดเร็ว และบริษัททำไม้ก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสู้รบโดยตรงโดยให้การขนส่งและข้อมูลด้านข่าวกรอง

การทำไม้ก่อให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมในรัฐกะเหรี่ยง ผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับประชาชนชาวกะเหรี่ยงโดยทั่วไป แต่สร้างความมั่งคั่งแก่ชนชั้นนำชาวกะเหรี่ยง เจ้าพ่อชาวไทยและนักการเมืองให้อุปถัมภ์

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่ากับชนกลุ่มน้อย


การต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ในการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติ นับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของสงครามในพม่ากว่านานกว่าศตวรรษ ทรัพยากรเหล่านี้ทั้งแร่ธาตุและไม้สักได้กลายเป็นแหล่งรายได้ของกองกำลังชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่ม สงครามกลางเมืองกว่า ๕๐ ปีได้ทำลายความหวังของประชาชนจำนวนมากในประเทศพม่า และสกัดกั้นการพัฒนาที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ ในขณะที่ชนชั้นนำทั้งในพม่าและประเทศเพื่อนบ้านกลับตักตวงผลประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวโดยปล้นสะดมความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้เพื่อผลประโยชน์ทั้งทางวัตถุและการเมือง

รัฐบาลทหารพม่าจัดการความสัมพันธ์กับต่างประเทศทั้งจีนและไทยอย่างระมัดระวังโดยควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ของประเทศเหล่านี้ อาทิ การประมง หยก เหมือง ทองคำ และทรัพยากรต่าง ๆ และใช้การเข้าถึงทรัพยากรดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการทูต รัฐบาลทหารไม่เพียงแต่ได้ผลประโยชน์จากการกุมอำนาจทางการเมืองและรายได้สำคัญจากการค้าขายกับต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังได้รับการสนับสนุนในการต่อสู้กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยไปด้วยในคราวเดียวกัน

กลยุทธ์นี้เป็นเครื่องมือในการจัดการความสัมพันธ์ภายใน และตัดรากฐานของกองกำลังชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่โดยให้กลุ่มเหล่านี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ และในบางกรณีก็ติดสินบนหรือบั่นทอนผู้นำของกลุ่มเหล่านี้ การให้ความสำคัญกับปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์และการตักตวงประโยชน์จากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจะเป็นหัวใจของการสร้างสันติภาพและการพัฒนาประเทศพม่าในอนาคต ทว่า ปัจจุบันทั้งสองประเด็นดังกล่าวยังคงถูกเพิกเฉยโดยสังคมนานาชาติซึ่งมุ่งเน้นไปที่สถานการณ์ทางการเมืองที่ชะงักงันมากกว่า

ตัวแท นจากGlobal Witness กล่าวสรุปว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ชุมชนนานาชาติจะต้องมีความพยายามที่จะยุติความขัดแย้งในพม่าอีกครั้ง และส่งเสริมการเจรจาระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมทั้งชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ การใช้ป่าของพม่าอย่างไม่ยั่งยืนจะได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพก็เพียงโดยการมีส่วนร่วมของ SPDC ในระดับการทูต โดยการมีส่วนร่วมนี้ไม่ได้เพิ่มความชอบธรรมของรัฐบาลทหารหรือให้อภัยแก่สิ่งที่รัฐบาลกระทำ “ประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นพื้นฐานสำหรับสันติภาพและการพัฒนาในระยะยาวของพม่า และจะต้องได้รับการแก้ไขเดี๋ยวนี้”

หมายเหตุ : อ้างอิงข้อมูลจากเอกสารสรุปย่อและข่าวแจกในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2546