![]() |
ทหาร KIA ในไลซา |
“ไม่มีความสุข แต่ไม่พร้อมจะรบอีกครั้ง” ประโยคนี้ดูจะเป็นคำจัดความที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกองกำลังชนกลุ่มน้อย ในพม่าส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า ท่ามกลาง กระแสความกดดันของรัฐบาลท่านนายกทักษิณซึ่งมุ่งสร้างความสัมพันธ์ อันดีกับรัฐบาลทหารพม่าและกดดันกองกำลังชนกลุ่มน้อยตลอดชายแดน ให้เจรจาหยุดยิงหรือวางอาวุธกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่เจรจาหยุดยิงไปแล้ว หลายกลุ่มกลับกำลังเผชิญปัญหาจากการเจรจาหยุดยิงที่ยังหาทางออกไม่ได้ การเจรจาหยุดยิงจึงอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหากองกำลัง ชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลพม่า แต่อาจเป็นการเริ่มต้นปัญหาใหม่ซึ่งซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
ยุทธศาสตร์เจรจาหยุดยิงของผู้นำพม่า
ยุคสมัยการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัฐบาลทหารพม่าและกองกำลังชนกลุ่มน้อย เริ่มต้นในปี 1989 หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่าล่มสลาย ก่อนหน้านี้ กองกำลังชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มต่างได้รับความช่วยเหลือทางด้านอาวุธ จากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผ่านการติดต่อของพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ซึ่งหนึ่งในผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าก็คือ เป่า โหย่ เฉียง ผู้ก่อตั้งกองกำลังว้า UWSA (United Wa State Army) หลังจาก แยกตัวออกจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า รัฐบาลพม่าในเวลานั้นค่อนข้าง หวาดกลัวแสนยานุภาพทางอาวุธและกำลังทหารของกองกำลังว้า รวมทั้งเล็งเห็นว่า หากได้กองกำลังว้ามาเป็นพันธมิตร การปราบกองกำลัง ชนกลุ่มน้อยหรือกองกำลังติดอาวุธอื่น ๆ ก็จะง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลพม่าจึงรีบติดต่อขอเจรจาหยุดยิงกับกองกำลังว้าเป็นอันดับต้น ๆ ตามด้วยกองกำลังอื่น ๆ ในรัฐฉานและรัฐคะฉิ่น ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนจีน โดยในปี 1989 ปีแรกของการเริ่มต้นเจรจาหยุดยิง รัฐบาลพม่าสามารถ เจรจาหยุดยิงกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยทั้งหมด 5 กลุ่ม โดย 3 ใน 5 เป็นกองกำลังที่มีชื่อเสียงเกี่ยวข้องกับยาเสพติด คือ กองกำลังว้า UWSA, กองกำลังโกก้าง MNDAA (Myanmar Nationalo Democracy Allicance Army) และกองกำลังไทยใหญ่และอาข่าของจายลึน NDDA (National Democraticn Alliance Army)
หลังจากปี 1989 เป็นต้นมาจนถึงปี 1997 รัฐบาล ทหารพม่าได้ทำการเจรจาหยุดยิงกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยรวมทั้งหมด 22 กลุ่ม จำนวน 14 กลุ่ม เป็นกองกำลังกลุ่มหลักที่ได้รับการประกาศ อย่างเป็นทางการจากรัฐบาลทหารพม่า อีก 8 กลุ่มเป็นกองกำลัง กลุ่มย่อยที่ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ สำหรับกองกำลัง MTA (Muang Tai Army) ของขุนส่า ไม่จัดอยู่ในกลุ่ม เจรจาหยุดยิง เพราะถือเป็นกลุ่มที่ยอมอาวุธ หรือยอมแพ้ กับรัฐบาล_ ตัวแทนจากรัฐบาลทหารที่เป็นตัวหลักในการติดต่อ เจรจาหยุดยิงกับกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้จนได้ชื่อว่าเป็นบุรุษแห่ง การเจรจาหยุดยิงก็คือ พลเอกขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบันของประเทศพม่า
ในบรรดากองกำลัง 14 กลุ่มหลักที่ตกลงหยุดยิง กองกำลังซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนและความหวังของประชาชนในรัฐ นั้น ๆ ก็คือ องค์กรคะฉิ่นอิสระ ( Kachin Independence Organization/Army หรือ KIO/KIA) และพรรคมอญใหม่ (New Mon State Party / Mon National Leberation Armyหรือ NMSP/MNLA)
กองกำลังคะฉิ่นตกลงเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1994 ซึ่งในปีหน้ากำลังจะครบ 10 ปีของการเจรจาหยุดยิง ก่อนการตัดสินใจเจรจาหยุดยิง รัฐบาลทหารพม่าต้องส่งตัวแทน มาเจรจาอย่างน้อย 5 ครั้ง โดยทุกครั้งล้มเหลว
ดอกเตอร์ทุ จ่า เลขาธิการขององค์กรคะฉิ่นอิสระกล่าวถึง สาเหตุที่การเจรจาล้มเหลวว่า
“สามครั้งแรก ฝ่ายรัฐบาลทหารพม่าต้องการให้เราวางอาวุธ เราปฏิเสธทุกครั้ง ครั้งที่สี่และครั้งที่ห้า ยื่นขอเสนอใหม่ บอกว่า เราสามารถติดอาวุธได้แต่ขอให้อยู่ภายใต้กองทัพแห่งชาติ หรือกองทัพของทหารพม่า เราก็ปฏิเสธไปอีก เพราะความหมาย ไม่ต่างกันกับการวางอาวุธ จนกระทั่งครั้งที่ 5 ทางฝ่ายรัฐบาล ก็เริ่มอ่อนลง ยอมให้เราติดอาวุธได้ หลังจากนั้นเรามีการพบปะ กันครั้งย่อย ๆ อีก 6 ถึง 7 ครั้งเพื่อหาข้อตกลงในการเจรจา หยุดยิง”
เนื้อหาสำคัญในการเจรจาหยุดยิง ทางฝ่ายองค์กรคะฉิ่น ต้องการแก้ปัญหาการเมืองผ่านการเจรจามากกว่าการสู้รบ โดย กองกำลังคะฉิ่นจะต้องไม่ถูกบีบบังคับให้วางอาวุธ และจะต้อง มีพื้นที่อิสระในเขตควบคุมของกองกำลังคะฉิ่น ทางฝ่ายรัฐบาล ทหารพม่าได้ประโยชน์จากการหยุดยิงครั้งนี้ โดยขอส่วนแบ่ง ในการควบคุมพื้นที่รัฐคะฉิ่นในเมืองมิตจินา และเมืองบาโม เมืองหลวงอันดับหนึ่งและอันดับสองของรัฐคะฉิ่น ถนนสายหลัก และทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าครึ่งในรัฐคะฉิ่น โดยรัฐบาล ทหารพม่า พร้อมจะสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนารัฐคะฉิ่น เพื่อสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ถนน สะพาน และสาธารณูปโภค ต่าง ๆ ในรัฐคะฉิ่นเป็นข้อแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับแรงกดดันจากประเทศ เพื่อนบ้านซึ่งกดดันให้องค์กรคะฉิ่นตัดสินใจเจรจาหยุดยิงใน ครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากประเทศจีนต้องการดำเนินการค้ากับ ประเทศพม่าให้มากขึ้น การสู้รบตามแนวชายแดนจึงเป็น อุปสรรคสำคัญ รัฐบาลจีนจึงเริ่มกดดันกองกำลังชนกลุ่มน้อย ทุกกลุ่มที่ทำการสู้รบอยู่ตามแนวชายแดนจีนให้หยุดยิงกับรัฐบาล ทหารพม่า หากกองกำลังชนกลุ่มน้อยยังคงดึงดันสู้รบต่อไป จีนก็จะทำการปิดพรมแดนเข้าออกอาหารและยารักษาโรค โดยหากพิจารณารายชื่อกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่เจรจาหยุดยิง ในปีช่วงสองสามปีแรกจะพบว่าส่วนใหญ่เป็นกองกำลังที่ อยู่ในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉานซึ่งมีพรมแดนใกล้ชิดกับจีนทั้งสิ้น ข่าวลือดังกล่าวจึงมีความเป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องจริง
ทางด้านพรรคมอญใหม่ ตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1995 ก่อนหน้าการเจรจาหยุดยิง พรรคมอญใหม่มีกำลัง พลประมาณ 6,000 นาย กองกำลังมอญถือว่าเป็นกองกำลัง ชนกลุ่มน้อยที่เก่าแก่มากที่สุดกลุ่มหนึ่งและทำการสู้รบตรงข้าม ชายแดนไทยด้านจังหวัดกาญจนบุรี รัฐบาลทหารพม่าได้เริ่มต้น ขอเจรจาหยุดยิงมาตั้งแต่ปี 1993 หลังจากทำการเจรจารวม 4 ครั้ง พรรคมอญใหม่ก็ตกลงเจรจาหยุดยิง โดยฝ่ายมอญ ได้รับเขตควบคุมของตนเอง 20 เขต เขตละ 10 ตร.กม. และการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 17 รายการ อาณาเขต และธุรกิจอื่น ๆ อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลทหารพม่า โดย รัฐบาลรับปากจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในรัฐมอญเช่นเดียว กับพื้นที่อื่น ๆ ที่ยอมเจรจาหยุดยิง
เช่นเดียวกับกองกำลังคะฉิ่น การเจรจาหยุดยิงของ กลุ่มมอญมีข่าวลือในทำนองเดียวกันว่า ประเทศไทยมีส่วน เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เนื่องจากประเทศไทยต้องการดำเนิน โครงการท่อก๊าซไทย-พม่า รวมทั้งนักธุรกิจไทยต่างกระหายที่จะ เข้าไปลงทุนในรัฐมอญมากยิ่งขึ้น และประเทศไทยเริ่มประสบ ปัญหาในการแบกรับผู้ลี้ภัยชาวมอญหลายพันคน
นายสเวจิน ประธานพรรคมอญใหม่ในเวลานั้น (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ให้สัมภาษณ์ถึงแรงกดดันจาก ประเทศไทยในนิตยสารอิรวดีฉบับเดือนกุมภาพันธ์ปี 2002 ว่า
“รัฐบาลไทยบอกกับพวกเราว่า ถ้าพวกเราทำสัญญาสงบศึก ผู้ลี้ภัยจะได้กลับบ้าน และมีงานทำจากโครงการท่อก๊าซไทย-พม่าต่อไปในอนาคต”
กล่าวโดยสรุป ยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลทหารพม่า นำมาใช้ในการเจรจาหยุดยิงก็คือ การหยิบยื่นผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจให้กับกองกำลังกลุ่มต่าง ๆ พร้อมกับข้อเสนอ ในการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ขณะที่ตกลง เกี่ยวกับการแก้ปัญหาทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมกลับ ไม่เคยปรากฎอยู่ในข้อตกลงฉบับใด คำถามที่ท้าทาย บรรดา กองกำลังชนกลุ่มน้อยที่ตัดสินใจเจรจาหยุดยิงไปแล้วก็คือ การเจรจาหยุดยิงนำไปสู่การแก้ปัญหาในประเทศพม่าอย่างยั่งยืน จริงหรือไม่
สิ่งที่ได้มาและสิ่งที่เสียไป
ในบรรดากองกำลังชนกลุ่มน้อยทั้งหมด กองกำลังกลุ่ม ที่ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบเป็นชิ้นเป็นอันมากที่สุด เห็นจะเป็นกองกำลังว้าและกองกำลังของจายลึน โดย กองกำลังว้าได้เมืองยอน ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ หรือเมืองหลวงแห่งที่สอง เมืองของว้าเรียกว่าพัฒนาไปไกล ว่าเขตหยุดยิงอื่น ๆ เพราะว้ามีรายได้จากธุรกิจมากมายทั้ง บนดินและใต้ดิน สำหรับกลุ่มของจายลึนได้คุมบ่อนคาสิโน และเศรษฐกิจในเขตรัฐฉานภาคตะวันออกใกล้ชายแดนจีน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับกลุ่มของว้าและ จายลืนอยู่ในลักษณะพันธมิตรมากกว่าศัตรู ยามกองทัพพม่า ต้องการกำลังพลช่วยรบกับชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ทั้งสองกลุ่ม ก็ยินยอมพร้อมใจจะส่งกำลังมาช่วยเหลือ รัฐบาลพม่าจึง ค่อนข้างเอาใจและเกรงใจ เห็นได้จากรัฐบาลจะต้องขออนุญาต กองกำลังว้าทุกครั้งที่จะผ่านเข้าเขตว้า และรัฐบาลยังเรียกเขต ควบคุมของว้าในบางครั้งว่า “รัฐว้า”
นายดอน ปาทาน เขียนถึงรายได้ของว้าในนิตยสารอิรวดีว่า “ในกรณีของกลุ่มว้า เงินจากเฮโรอีนได้ถูกนำไปใช้สนับสนุน โครงการพัฒนาทุกอย่างในเขตว้า ตั้งแต่สร้างโรงเรียนไปจนถึง เขื่อน และโครงสร้างสาธาณูปโภคพื้นฐานอื่น ๆ ในเขตรัฐฉาน ตะวันออก ซึ่งบางครั้งรัฐบาลพม่าเรียกรัฐว้า ”
ทางด้านกลุ่มอื่น ๆ การพัฒนาสาธาณูปโภคขั้นพื้นฐาน ยังเป็นไปอย่างจำกัด แม้ว่ารัฐบาลจะอนุญาตให้กองกำลัง ที่เจรจาหยุดยิงมีผลประโยชน์ในเศรษฐกิจหลายอย่างก็ตาม
กรณีรัฐคะฉิ่น การเจรจาหยุดยิงกำลังจะครบสิบปีในอีก ไม่กี่เดือนข้างหน้า การพัฒนารัฐคะฉิ่นยังคงดำเนินไปอย่างจำกัด ทั้งในเขตควบคุมขององค์กรคะฉิ่นและเขตรัฐบาล ขณะที ่ทรัพยากรป่าไม้ อันเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากที่สุดในรัฐคะฉิ่น หายไปมากกว่าครึ่ง รายได้หลักขององค์กรคะฉิ่นมาจากการ ให้สัมปทานไม้กับบริษัทจากประเทศจีนในเขตสร้างถนน และโรงไฟฟ้า รวมทั้งรายได้จากการเก็บภาษีจากประชาชน ร้านค้า และค่าเช่าสถานที่ตั้งบ่อนคาสิโน ใกล้ชายแดนจีน เงินรายได้เหล่านี้องค์กรคะฉิ่นนำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในเขตควบคุมของตนเอง อาทิ ถนน โรงเรียน และ สาธารณูปโภคต่าง ๆ
ดอกเตอร์ทุ จ่า เลขาธิการองค์กรคะฉิ่นอิสระกล่าวถึง ข้อดีข้อเสียของการเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าว่า
“ข้อดีของการหยุดยิงคือ ประชาชนมีอิสระที่จะมาหากิน เลี้ยงชีพโดยไม่ต้องหวาดกลัวสงคราม เราพบว่า ปัญหา การบังคับใช้แรงงาน การข่มขืน และการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยทหารพม่าลดลงหลังจากการเจรจาหยุดยิง แต่เรายอมรับว่า ปัญหานี้ยังไม่หมดไปจากรัฐคะฉิ่น โดยปัญหาส่วนใหญ่ จะเกิดขึ้นในพื้นที่นอกเขตควบคุมของเรา”
แต่เนื่องจากพื้นที่ในรัฐคะฉิ่นส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การ ควบคุมของรัฐบาลทหารพม่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐ คะฉิ่นจึงยังดำเนินต่อไปเช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งถูกควบคุม โดยทหารพม่า
ทหารหญิงในกองกำลังคะฉิ่นคนหนึ่งกล่าวถึงสาเหตุที่เธอ ตัดสินใจสมัครมาเป็นทหารว่า
“ฉันไม่อยากอยู่ในหมู่บ้าน เพราะหมู่บ้านของฉันอยู่ในเขต ควบคุมของทหารพม่า ผู้หญิงคะฉิ่นหลายคนถูกทหารพม่า ข่มขืน และฉันไม่อยากเป็นอย่างนั้น ฉันจึงมาสมัคร เป็นทหารเพื่อปกป้องตนเอง รวมทั้งปลดแอกชาวคะฉิ่น ให้เป็นอิสระจากทหารพม่าสักวัน”
สำหรับปัญหาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งร่อยหรอลงทุกวัน ตัวแทนจากองค์กรคะฉิ่นท่านหนึ่งแสดงความหนักใจเช่นกัน
“ปัญหาที่น่าหนักใจก็คือ การคอรัปชั่นทั้งในกลุ่มเจ้าหน้าที่ รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ขององค์กรคะฉิ่นเอง ขณะนี้ในเขตของเรา ยอมให้สัมปทานเฉพาะบริเวณที่จะสร้างถนนและโรงไฟฟ้า แต่ไม้ที่ถูกตัดออกไปจำนวนมากไม่ได้อยู่ในเขตที่ตกลงไว้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของเรามีการคอรัปชั่น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ โรงไฟฟ้าของเราสร้างเสร็จไม่ทันกำหนด ก็เนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ คะฉิ่นผู้ควบคุมงานนี้คอรัปชั่น ซึ่งหลังจากผู้นำของเราตรวจสอบ พบเจ้าหน้าที่ท่านนี้ก็ถูกจับเข้าคุกของคะฉิ่น ทางด้านเจ้าหน้าที ่ของรัฐบาลทหาร การคอรัปชั่นก็มีไม่น้อยไปกว่ากัน เห็นได้จาก เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้ามาประจำรัฐคะฉิ่นเพียงไม่กี่เดือนก็มีเงิน ซื้อรถคันใหม่ขับมาให้เห็น”
นอกจากปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาการละเมิด สิทธิมนุษยชนที่ยังดำรงอยู่ ปัญหาที่สร้างความหนักใจให้องค์กร คะฉิ่นไม่แพ้กัน คือ ปัญหาการเพิ่มกำลังทหารและการเก็บส่วย ค่าผ่านทางบนถนนสายหลักในรัฐคะฉิ่น
ทหารคะฉิ่นคนหนึ่งเปรยถึงปัญหานี้ให้ฟังว่า
“ขณะนี้ ทางองค์กรคะฉิ่นถูกรัฐบาลทหารพม่ากดดัน หลายอย่าง ที่น่าหนักใจที่สุด คือ เรื่องการส่งกำลังทหารเข้ามา ในรัฐคะฉิ่นมากขึ้น เมื่อทางเราถามว่า ทำไมต้องส่งเข้ามา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการสู้รบแล้ว รัฐบาลก็ตอบว่า ต้องการป้องกัน กองกำลังของต่างชาติ คำตอบนี้ ทำให้ประชาชนชาวคะฉิ่น ไม่พอใจมาก เพราะเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น เรื่องหนักใจต่อมา คือ การเก็บส่วยค่าผ่านทาง ซึ่งการเพิ่มขึ้นของกองกำลัง ทหารพม่าในพื้นที่ต่าง ๆ ได้นำไปสู่การตั้งด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง เพิ่มมากขึ้น ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมาก เพราะถนนสายหลัก ซึ่งมีคนสัญจรมากอยู่ในเขตควบคุมของทหารพม่าทั้งสิ้น”
ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุด คือ ปัจจุบันถนนระหว่าง เมืองลายซา ติดกับชายแดนจีนถึงเมืองมิตจินา เมืองหลวง ของรัฐคะฉิ่น ซึ่งมีระยะทางเพียงแค่ 60 กิโลเมตร รัฐบาลพม่าตั้งด่านเก็บค่าผ่านทางถึง 28 ด่าน หรือทุก ๆ 2 กิโลเมตรก็ว่าได้ บรรดาพ่อค้าและประชาชนจึงเดือดร้อนกัน ถ้วนหน้า เพราะสินค้าที่นำเข้าไปขายมีราคาสูงริบลิ่ว
และปัญหาใหญ่ที่สุดที่องค์กรคะฉิ่นยังไม่สามารถแก้ไข ได้ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เจรจาหยุดยิงก็คือ การเจรจาทางเมือง
ทุ จ่าย ประธานองค์กรคะฉิ่นอิสระให้สัมภาษณ์ว่า
“ในประเทศพม่า ปัญหาเรื่องการเมืองมันดำเนินมายาวนาน และไม่เคยสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นทางข้างหน้าว่า จะเป็นอย่างไร เพราะหนทางมันไม่โปร่งใส จนถึงขณะนี้ เรายังไม่เคยมีรัฐบาลที่ชอบธรรม สำหรับประชาชนชาวคะฉิ่น จนถึงวันนี้ เรายังมองไม่ออกว่าจะเดินไปทางไหน ตลอดเวลา เกือบสิบปีที่ผ่านมา เราพยายามถามรัฐบาลพม่าให้เริ่มต้น เจรจาทางการเมือง แต่นายพลขิ่น ยุ้นต์ก็มักจะพูดว่า มันเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ เราเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงวันนั้น”
กรณีรัฐมอญ แม้ว่าการเจรจาหยุดยิงดำเนินมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนสถานการณ์ต่าง ๆ จะค่อนข้าง เลวร้ายกว่ารัฐคะฉิ่น โดยรัฐบาลทหารพม่าก็ละเมิดข้อตกลง เรื่องเศรษฐกิจหลังจากเจรจาหยุดยิงได้เพียง 3 ปี โดย อนุญาตให้พรรคมอญใหม่ดำเนินธุรกิจเพียงเล็กน้อย และ เลือกให้สิทธิพิเศษกับผู้นำเพียงแค่บางคน ส่งผลให้พรรค มอญใหม่แตกร้าวและอ่อนแอลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ ปัญหา ด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ เริ่มโครงการสร้างท่อก๊าซไทย-พม่า และโครงการสร้างถนน เย-ทวาย ชาวบ้านจำนวนมากถูกบังคับใช้แรงงาน จนไม่มี เวลาทำมาหากินเลี้ยงชีพตนเอง ชาวมอญจำนวนมาก จึงพากันอพยพเข้ามาทำงานในเมืองไทย
ล่าสุด กลุ่มสิทธิมนุษยชนมอญได้จัดทำรายงาน “No Land to Farm” หรือ “ไม่มีผืนดินทำกิน” ซึ่งเปิดเผยให้เห็นถึง ปัญหาการยึดที่ดินโดยรัฐบาลทหารพม่า ปัญหานี้เกิดขึ้น หลังการเจรจาหยุดยิง เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่ามีนโยบาย ส่งกำลังทหารเข้ามาในรัฐมอญเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการ ที่ดินในการปลูกสร้างค่ายทหารและเพาะปลูกสำหรับ เลี้ยงทหารสูงขึ้นรัฐบาลทหารจึงออกคำสั่งอย่างเป็นอย่างการ ให้ยึดที่ดินชาวบ้านภายใต้ชื่อโครงการพัฒนาของรัฐบาล
การยึดที่ดินโดยกองทัพพม่าได้แพร่ขยายไปทั่วรัฐมอญ เพิ่มจำนวนสูงกขึ้นเรื่อย ๆ โดยระหว่างปี 1998 – 2002 ที่ดินเกือบ 800 เอเคอร์พร้อมด้วยต้นข้าว ต้นยาง ต้นหมาก และสวนผลไม้ของชาวบ้านถูกยึดเป็นของรัฐบาลโดย ไม่มีการจ่ายค่าชดเชยหรือจ่ายต่ำกว่าราคาท้องตลาดหลายเท่าตัว พื้นที่ที่เผชิญปัญหานี้รุนแรงมากที่สุด คือ เมืองเย ทาง ภาคใต้ของรัฐมอญ รัฐบาลทหารพม่าได้จัดส่งกำลังทหารหลาย พันนายเข้าไปในพื้นที่นี้ตั้งแต่ปี 1995 ในอดีตเมืองเย จัดเป็นเขตสีดำ (black area) ซึ่งมีการสู้รบระหว่างกองกำลัง มอญและกองกำลังรัฐบาลทหารพม่าอย่างเข้มข้น และรัฐบาล ทหารไม่เคยประสบความสำเร็จในการเข้าถึงพื้นที่นี้ แต่นับจากปี 2001 เป็นต้นมา เมืองเยก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางของกองทัพ พม่าในเขตตอนใต้ ภายใต้ชื่อเรียก Military Operation Management Command (MOMC) NO.19
พรรคมอญใหม่และเจ้าของที่ดินซึ่งได้รับค่าชดเชยไม่เป็นธรรม ได้พยายามร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจนถึง ผู้บังคับบัญชาการภาค แต่คำร้องเรียนมักถูกตีกลับอย่าง รวดเร็ว มีเพียงบางรายที่ได้รับผ่อนผันให้เก็บเกี่ยวผลผลิต ของตัวเองได้อีก 2 ถึง 3 ปี ก่อนจะถูกยึดเป็นของรัฐบาล โดยถาวร
นอกจากถูกยึดที่ดินและผลผลิตจากหยาดเหงื่อแรงงาน ของตนเองไปต่อหน้าต่อตา ชาวบ้านผู้เป็นเจ้าของที่ดินหลายคน ยังถูกบังคับให้เก็บเกี่ยวผลผลิตในไร่นาของตนเองเป็นเสบียง ให้กับกองทัพในพื้นที่ รวมทั้งถูกบังคับใช้แรงงานในการ ก่อสร้างค่ายทหาร และหากเงินสำหรับใช้จ่ายในการก่อสร้าง ค่ายทหารไม่เพียงพอ ชาวบ้านก็ยังถูกบังคับให้ส่งส่วยไปเสริม ค่าใช้จ่ายในส่วนที่ขาดไปอีก
รายงานฉบับนี้เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ชาวมอญจำนวนหลายพัน คนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน ไร้ที่ดินทำกิน จำนวนโสเภณีและ อาชญากรรมในรัฐมอญมีจำนวนสูงขึ้นเรื่อย ๆ คนหนุ่มสาว จำนวนมากต้องพลัดพรากจากถิ่นฐานบ้านเกิด หลบหนีเข้าเมือง อย่างผิดกฎหมายเพื่อเข้ามาหางานทำในประเทศไทย สำหรับคน ที่ไม่สามารถหนีออกมาได้ ก็มีชีวิตอย่างอด ๆ อยาก ๆ อยู่ในหมู่บ้าน
ความเดือดร้อนดังกล่าวทำให้ทหารมอญและชาวบ้านจำนวนหนึ่ง แยกตัวออกไปตั้งกลุ่มใหม่เพื่อจับปืนขึ้นสู้กับพม่า ซึ่งทำให้ รัฐมอญตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เพราะฝ่าย รัฐบาลพม่าใช้เป็นข้ออ้างในการส่งกำลังเข้าโจมตีพื้นที่ ของพรรคมอญใหม่ ปัจจุบัน รัฐมอญยังคงมีการสู้รบระหว่าง กองกำลังกลุ่มย่อยที่แยกตัวออกจากพรรคมอญใหม่ คือ กลุ่มหงสาวดี (Honsawatio Resotoration Army) แต่เป็น กลุ่มมีกำลังพลไม่มากนัก
ข้อดีของการเจรจาหยุดยิงที่เห็นได้ชัดมากที่สุดสำหรับ ประชาชนชาวมอญก็คือ การสืบทอดภาษาของชาวมอญ ในรั้วโรงเรียน โดยพรรคมอญใหม่สามารถเปิดโรงเรียน ของชนชาติมอญได้ 187 แห่งและเปิดสอนภาษามอญในโรงเรียน ของรัฐบาลอีก 186 แห่ง สอนนักเรียนไปแล้วกว่า 50,000 คน และ 70 เปอร์เซ็นต์เดินทางมาจากเขตควบคุมของรัฐบาล ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาภาษามอญ นอกจากนี้ยังมี การสอนภาษาในโรงเรียนภาคฤดูร้อน
กรณีรัฐฉาน กองกำลังไทยใหญ่ทางภาคเหนือ(SSA North) ของเจ้าหลอยมาว และกองกำลังไทยใหญ่ทางภาคกลางตอนบน (SSNA) ของเจ้ากานยอด ได้เจรจาหยุดยิงไปตั้งแต่ปี 1989 และ1995 เหลือเพียงกองกำลังไทยใหญ่ทางภาคใต้ (SSA) ของเจ้ายอดศึก ซึ่งยังทำการสู้รบอยู่ในปัจจุบัน
อดีตทหารไทยใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวถึงข้อดีและข้อเสียของ การเจรจาหยุดยิงในเขตรัฐฉานว่า
“ข้อดีประการแรก ชาวบ้านในเขตหยุดยิง ทางภาคเหนือ ของรัฐฉานไม่ต้องถูกไล่ออกจากหมู่บ้านเหมือนกับภาคกลาง ซึ่งยังมีการสู้รบ ชาวบ้านได้มีโอกาสทำไร่ทำนา นอกจากนี้ ชาวบ้านยังมีโอกาสได้ฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมไทยใหญ่ และพัฒนาด้านสาธารณูปโภคในรัฐฉาน เช่น ถนน โรงเรียน โรงพยาบาล เพิ่มขึ้น สำหรับข้อเสีย คือ ไม่มีความ คืบหน้าของความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเจรจาหยุดยิง ระหว่างกองกำลังไทยใหญ่ทั้งสองกลุ่มดำเนินไปอย่างไม่มี เป้าหมาย ไม่มีกำหนดว่าอีกกี่ปีจะต้องบรรลุเป้าหมายอะไรบ้าง เพราะตอนตกลงเจรจาหยุดยิง ทางกลุ่มไทยใหญ่ไม่มีข้อตกลง ทางการเมืองใด ๆ กับรัฐบาลพม่า เนื่องจากรัฐบาลพม่าอ้างว่า รัฐบาลนี้เป็นเพียงรัฐบาลรักษาการณ์จึงไม่สามารถตกลง เรื่องการเมืองใด ๆได้”
สิ่งที่รอคอย
จนถึงวันนี้ การเจรจาหยุดยิงระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับ ชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มดำเนินมาเป็นเวลา 14 ปีแล้ว สิ่งที่เปลี่ยน แปลงไปอย่างเห็นได้ชัด คือ ทรัพยากรธรรมชาติที่ร่อยหรอลง สภาพเศรษฐกิจทั่วประเทศตกต่ำ ผู้นำรัฐบาลและผู้นำ ชนกลุ่มน้อยบางคนร่ำรวยขึ้น คุณภาพชีวิตของประชาชนยังคง ต่ำกว่าระดับมาตรฐาน
ทว่า สิ่งที่ยังไม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลงก็คือ การแก้ปัญหาทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการคลี่คลายปมปัญหาต่าง ๆ ในประเทศพม่า
ปัจจุบัน ประเทศพม่ายังมีการกองกำลังที่ทำการสู้รบอยู่อีก 5 กลุ่มหลัก ๆ คือ กองกำลังกะเหรี่ยง (KNU), กอง กำลังไทยใหญ่( SSA), กองกำลังชิน (CNF), กองกำลังคะยาห์ (KNPP)และกองกำลังอารกัน (ALP) กองกำลังเหล่านี้มีความ ต้องการไม่ต่างจากกองกำลังที่เจรจาหยุดยิงไปแล้ว คือ การแก้ไขปัญหาทางการเมือง บนพื้นฐานของการเคารพ สิทธิชนชาติต่าง ๆ
คำตอบของความสงบสุขบนแผ่นดินพม่าจึงมิใช่อยู่ที่การ หยุดยิงหรือการสู้รบ หากอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างจริงจังและจริงใจ