แรลลี่โรดแมปและปฏิกิริยาสะท้อนกลับ

ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา นายกขิ่น ยุ้นท์ เดินทาง ไปปราศรัยแผนโรดแมป หรือเส้นทางสู่ประชาธิปไตย ๗ ขั้นทั่วประเทศ โดยยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่ว่า การประชุมสมัชชา แห่งชาติซึ่งเคยล้มเลิกกลางครันเมื่อปี ๒๕๓๙ จะดำเนินต่อไป โดยหากพรรคเอ็น แอล ดี ของนางออง ซาน ซูจี ยังปฏิเสธที่จะเข้าร่วม บรรดาผู้นำทหารก็จะไม่สนใจ และจะเดินหน้าต่อไป


สำนักข่าวนรินจราซึ่งมีสำนักงานบริเวณชายแดนบังกลาเทศ – พม่า รายงานเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคมว่า พลตรีหม่องอู แม่ทัพภาคตะวันตก ได้เยือนหัวเมืองต่างในรัฐอารกันเพื่อปลุกระดมประชาชนให้สนับสนุน Road map ของพลเอกขิ่นยุ้นต์ โดยในวันที่ ๒๘ กันยายน พลตรีหม่องอู ได้เดินทาง ถึงเมืองป๊อกตอ และเชิญชวนประชาชนให้ไปที่ศาลากลางเมือง แล้วทำการชี้แจง Road map ๗ ขั้นตอนของพลเอกขิ่นยุ้นต์ พร้อมทั้งกล่าวว่า ตามสภาพของพม่าในตอนนี้ Road Map ของพลเอกขิ่นยุ้นต์นั้นมีความเหมาะสมที่สุด

พลตรีหม่องอู ได้กล่าวพาดพิงถึงนางซูจีว่า “ขอให้เข้าใจว่า ถ้าหากว่าอองซานซูจีได้อำนาจเมื่อไหร่ จะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นในพม่า เพราะนางจะให้สิทธิในการปกครองตนเองแก่ชนชาติต่างๆ ที่ไม่ใช่พม่า ซึ่งก็เหมือนกับเอาเสือสองตัวมาอยู่ถ้ำเดียวกัน คือมีทั้งรัฐบาลกลางและ รัฐบาลรัฐ ซึ่งจะนำมาซึ่งความล่มสลายของสหภาพ อันเป็นสิ่งที่เรา รับไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะทำการปกป้องมิให้นางซูจีได้อำนาจ อย่างถึงที่สุด แม้จะต้องสละชิวิตก็ยอม”

การแรลลี่ประชาสัมพันธ์โรดแมปฉบับนี้ สำนักข่าวอิสระหลายแห่ง รายงานว่า ผู้นำรัฐบาลทหารได้ใช้ยุทธศาสตร์หลายด้านในการบังคับ ให้องค์กรการเมืองต่าง ๆ และประชาชนยอมรับในข้อเสนอของรัฐบาล

ทั้งนี้ มีรายงานตรงกันว่า ประชาชนในเขตพื้นที่อื่น ๆ ทั้งในรัฐฉาน รัฐคะฉิ่น และรัฐอื่น ๆ ส่วนใหญ่ถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมฟังแผนโรดแมป และเมื่อ การกล่าวปราศรัยเสร็จสิ้นลง ผู้นำรัฐบาลจะถามผู้เข้าฟังว่า เห็นด้วยกับโรดแมปฉบับนี้หรือไม่ โดยให้ประชาชนยกมือ แสดงความคิดเห็น เนื่องจากประชาชนที่ไม่เห็นด้วยจะถูกเจ้าหน้าที ่หน่วยข่าวกรองจดรายชื่อ ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าปฏิเสธ โรดแมปฉบับนี้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ประชาชนในเขต ชนกลุ่มน้อยจำนวนมากไม่สามารถ ฟังภาษาพม่าได้ แต่ในการปราศรัย กลับไม่มีล่ามช่วยแปลทำให้ประชาชนยังไม่ทราบ ถึงสาระที่แท้จริงของ โรดแมป

ทางรัฐอารกัน รัฐชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ติดกับบังคลาเทศ สำนักข่าวนรินชรา ซึ่งมีสำนักงานอยู่บริเวณชายแดนบังคลาเทศ - พม่ารายงาน เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายนที่ผ่านว่า ผู้นำทางศาสนาอิสลาม ๕ คน ได้รับการเชิญให้ร่วมสนับสนุนโรดแมปฉบับนี้ พร้อมทั้ง ขอให้ช่วยสนับสนุนพรรคการเมือง ที่กลุ่มทหารให้การ สนับสนุนในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นในอนาคต โดยทางทหารได้สัญญาว่า หากทำตามที่พวกเขาเสนอ ทางย่างกุ้งสัญญาว่า จะให้ชาวอิสลาม ได้รับการรับรองเป็นชนชาติหนึ่งในพม่า และจะได้สัญชาติพม่าด้วย

ทางด้านกลุ่มเจรจาสงบศึก สำนักข่าวชาน (S.H.A.N) รายงานว่าระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๕ ตุลาคมที่ผ่านมา ทางผู้นำว้าได้จัดประชุม ร่วมกับกลุ่มเจรจาสงบศึกที่เป็นพันธมิตรอีก ๒ กลุ่ม คือ กองทัพรัฐฉานเหนือ กับกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย แห่งชาติรัฐฉานตะวันออก (NDAA-ESSA) จากนั้น ได้ออกแถลงการณ์ว่า ที่ประชุมมีมติว่าจำเป็นต้องให้พม่า มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย เสียก่อนจึงจะเข้าร่วมสมัชชาแห่งชาติ ที่ทางทหารจะรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ โดยในแถลงการณ์ดังกล่าวยังได้ประกาศจุดยืน ในการเข้าร่วมสมัชชา แห่งชาติ ๕ ประการ

แถลงการณ์ครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเจรจาหยุดยิงอื่น ๆ อย่างเต็มที่ และครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ กลุ่มว้า ออกมาพูดถึงความเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองหลังการเจรจาหยุดยิง มานานนับทศวรรษ ทว่า สามสัปดาห์ต่อมา หลังจากผู้นำทหารพม่า ทำการเจรจาต่อรอง กลุ่มเจรจาสงบศึกชุดนี้ก็เปลี่ยนแปลง จุดยืนไปทางในตรงกันข้าม คือ ตกลงที่จะส่งตัวแทนไปเข้าร่วม ในสมัชชาแห่งชาติที่ผู้นำทหารจะจัดขึ้น ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สร้าง ความผิดหวังให้กองกำลังสงบศึกกลุ่มอื่น ๆ เป็นอย่างยิ่ง

ทางด้านกลุ่มสงบศึกอื่น ๆ เมื่อวันที่ ๖ พ.ย.๒๕๔๖ ตัวแทนจาก ๖ กลุ่ม คือ คะฉิ่น(KIO) ,คะยาห์ (KNLP) ,คะยาห์ (KNPLF), มอญ (NMSP) ,ปะหล่อง (PSLA) และไทใหญ่ (SSPC) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน เรียกร้องให้กรุงย่างกุ้ง สนับสนุนการจัดประชุมระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งจะร่วมกันระหว่างกลุ่มที่เจรจาสงบศึกกับทหารพม่าแล้ว กับกลุ่มที่ยังไม่เจรจาสงบศึกเพื่อร่างจุดยืนร่วมกัน แต่จนถึงบัดนี้ ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆจากพวกนายพล

สำหรับกลุ่มที่ยังสู้รบกับรัฐบาลพม่ายังไม่มีการแสดงเจตจำนงค์ใด ๆ จากฝ่ายรัฐบาลในการเชิญกลุ่มเหล่านี้เข้าร่วมประชุมในสมัชชาแห่งชาติ หรือเปิดโต๊ะเจรจาหยุดยิง ขณะที่กลุ่มสู้รบทุกกลุ่มให้สัมภาษณ์ กับสื่อมวลชน มาโดยตลอดว่า ทุกกลุ่มเปิดการเจรจาเพื่อหาข้อตกลง หยุดยิง โดยการเจรจาจะต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ มิใช่บีบให้ฝ่ายกองกำลังชนกลุ่มน้อย วางอาวุธโดยไม่มีเงื่อนไข