โรงเรียนของฉัน

ฉันเป็นประชาชนคนหนึ่งจากรัฐฉาน ประเทศพม่าที่ลี้ภัย เข้ามาอยู่ในประเทศไทย เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันและเพื่อน ๆ พร้อมทั้งครูได้ไปค้นหาหนังสือในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในประเทศไทย ก่อนที่เราจะไป ครูชาวต่างชาติพวกเราว่าห้องสมุด มหาวิทยาลัยที่เราจะไปถ้าเทียบกับห้องสมุดในประเทศอเมริกา แล้วก็เป็นเพียงแค่ห้องสมุดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น แต่แล้วเมื่อเราไปถึง ฉันก็พบว่ามีนักศึกษาหลายพันคนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ในห้องที่ ตกแต่งอย่างทันสมัยนั้นมีหนังสือจำนวนมากมายวางเรียงราย อยู่ในชั้นที่สวยงาม มีที่นั่งอ่านหนังสือในห้องปรับอากาศ ซึ่งอำนวย ความสะดวกสบายให้กับคนที่มาใช้บริการ ฉันไปอ่านหนังสือที่นั่น ทุกอาทิตย์


หลังจากที่เราหาหนังสือที่ต้องการได้แล้วจึงพากันกลับที่พัก ระหว่างทางกลับ ฉันเห็นนักศึกษาที่เรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น มันทำให้ฉันหวนระลึกถึงสถานการณ์ที่ผ่านมาของนักศึกษาพม่า ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า

ในปี 1994 ตอนนั้นฉันยังอยู่ในประเทศพม่า ฉันอาศัยอยู่ในเมือง เล็ก ๆ ซึ่งใช้เวลา 1 วันในการเดินทางไปยังเมืองมัณฑะเลย์ทางตอนเหนือ ของประเทศพม่า เมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากกรุง ย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเมืองหลวง ในโรงเรียนของฉันไม่มีห้องสมุดดี ๆ ซึ่งไม่เฉพาะแต่โรงเรียนของฉันเท่านั้น โรงเรียนที่อื่นๆ ก็เหมือนกัน ในโรงเรียนของฉันมีแต่ห้องสมุดเล็ก ๆ ซึ่งมีหนังสือไม่มากนักและ ไม่ได้เปิดตลอดเวลา พูดง่าย ๆ คือห้องสมุดแห่งนั้นไม่ได้ มีความหมายกับนักเรียนเลย ฉันยังจำได้ว่าเมื่อฉันเรียนอยู่ระดับ 10 รัฐบาลบอกว่าจะให้เครื่องคอมพิวเตอร์แก่โรงเรียนต่าง ๆ ในทุก ๆ รัฐ และทุก ๆ เมือง แต่สิ่งที่แย่มากก็คือนักเรียนต้องจ่ายเงินค่าเครื่อง คอมพิวเตอร์เอง ดังนั้น โรงเรียนของฉันจึงทำการรวบรวมเงินจาก นักเรียนทุกคนมาจ่ายค่าคอมพิวเตอร์ ซึ่งฉันได้จ่ายเงินค่าคอมพิวเตอร์ ไปเมื่อฉันสอบผ่านและจบระดับ 10 แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังมาไม่ถึงสักที จวบจนหนึ่งปีผ่านไป ก็ยังคงไม่มีวี่แววของเครื่องคอมพิวเตอร์ จนเมื่อฉันลี้ภัยมายังประเทศไทยฉันก็ยังไม่ได้เห็นคอมพิวเตอร์ สักเครื่องที่พวกเราช่วยกันจ่ายเงินไป และไม่มีใครรู้ว่าเงินเหล่านั้น หายไปไหนหมด

เมื่อฉันมาถึงประเทศไทยในปี 1996-97 ฉันได้เห็นนักเรียนไทย มีความสุขกับชีวิตการเป็นนักเรียน ได้เรียนในโรงเรียนดี ๆ ที่มีพัดลมหรือแอร์คอนดิชั่น มีห้องสมุดที่กว้างขวาง มีหนังสือเรียน ที่เพียงพอ และสามารถไปโรงเรียนทุกวันได้ ส่วนชีวิตในการเป็นนักเรียน ของฉันแล้ว ฉันต้องพึ่งพาแต่เทียนไขมาทั้งชีวิต มีบางครั้ง ที่รัฐบาลให้พวกเราใช้ไฟฟ้าได้ ตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง สามทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงที่เราสอบ ส่วนช่วงเวลาที่เหลือนอกจากนั้น อย่าหวังเลยว่าจะมีไฟฟ้าใช้แม้ว่าในเมืองของเราจะมีเครื่องผลิตไฟฟ้า ขนาดใหญ่ก็ตาม เพราะไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกส่งไปยังมัณฑะเลย์ ในห้องเรียน เราต้องคัดลอกสิ่งที่ครูสอนทุกอย่างเพราะเรา มีหนังสือเรียนไม่พอ ซึ่งครูไม่สามารถแบ่งหนังสือที่มีแค่ 5-6 เล่มให้กับนักเรียนจำนวน 40 คนในห้องเรียนได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็สามารถเรียนจบระดับ 10 จนได้โดยที่ในชีวิตไม่เคยมีหนังสือ เรียนเป็นของตัวเองเลย ตอนนั้นฉันยังค่อนข้างเด็กจึงไม่รู้ว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจว่าสาเหตุมาจากการมีรัฐบาลที่แย่

ขณะนี้ ฉันอาศัยอยู่ในประเทศไทย ทุก ๆ ครั้งที่ฉันเห็นนักเรียนไทย มันทำให้ฉันรู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ และทำให้ฉันรู้สึกอยากมีชีวิตนักเรียน เหมือนกับนักเรียนไทย ฉันอยากไปโรงเรียนดี ๆ เหมือนพวกเขา และถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันคงได้เรียนหนังสือโดยที่มีไฟฟ้า ใช้ในทุก ๆ คืน และคงไม่ต้องคัดลอกทุกอย่างที่ครูสอนตลอดเวลา และอาจได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วย เพราะในประเทศพม่าแล้ว มหาวิทยาลัยถูกสั่งปิดหลายครั้ง ทำให้ฉันและนักศึกษาคนอื่น ๆ ไม่สามารถไปเรียนได้ แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ยังคงมีความหวัง อยู่เสมอว่าสักวันหนึ่ง เมื่อไม่มีรัฐบาลเผด็จการทหารแล้ว เราจะมีระบบการศึกษาที่ดีขึ้น และลูกหลานของฉัน หรือคนรุ่นต่อๆ ไป จะก็ได้ไม่ต้องมานั่งคัดลอกวิชาเรียนเหมือนที่ฉันเคยทำอีกต่อไป

สุดท้ายนี้ ฉันอยากให้นักเรียนนักศึกษาในประเทศไทยทุกคน ช่วยเหลือนักศึกษาพม่าด้วย โดยการสนับสนุนนางออง ซาน ซูจี และช่วยกระตุ้นรัฐบาลให้กดดันรัฐบาลทหารพม่าหรือ SPDC ให้แก้ปัญหาการเมือง และในฐานะที่ท่านกำลังเป็นนักเรียนหรือเคย เป็นนักเรียนมาเหมือนกัน ฉันหวังว่าท่านจะเข้าใจความรู้สึกนักเรียน อย่างพวกเราบ้าง เราต่างก็อยากศึกษาเล่าเรียนด้วยความสงบสุข เหมือนกับท่านเช่นกัน


นางจ๋ามคำ(นามสมมติ)