จาก “มารี อองตัวแนตต์” ถึง “ตั่นด่า เฉว่”: เรื่องเล่าของปีศาจ และปีศาจของเรื่องเล่า

โดย ณภคดล  กิตติเสนีย์


วิวาหรูของตันดา ฉ่วย
ภายหลังจากคลิปวีดิโอพิธีวิวาห์อันหรูหราของบุตรีนายพลตั่น เฉว่* (Than Shwe) แห่งพม่าได้ถูกนำมาตีแผ่เผยแพร่ให้ประชาคมโลกได้เห็น เสียงประณามสาปแช่งก็ดังอื้ออึงขึ้นด้วยพิธีวิวาห์ซึ่งน่าจะใช้งบประมาณสูงติดอันดับโลกนั้น เป็นของบุตรสาวผู้นำประเทศที่มีประชาชนยากจนข้นแค้นติดอันดับโลกเช่นกัน



อ่าว ไหน่ อู (Aung Niang Oo) นักวิเคราะห์ชาวพม่า ได้ตั้งข้อสังเกตและเปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คล้ายกับกรณีของ พระนางมารี  อองตัวแนตต์ (Marie Antoinette) แห่งฝรั่งเศสซึ่ง “ไม่รับรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างภายนอก  รับรู้แต่เพียงว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นเท่านั้น ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประชาชนถึงโกรธมากขนาดนั้น






อ่าว ไหน่ อู (Aung Niang Oo) นักวิเคราะห์ชาวพม่า ได้ตั้งข้อสังเกตและเปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คล้ายกับกรณีของ พระนางมารี  อองตัวแนตต์ (Marie Antoinette) แห่งฝรั่งเศสซึ่ง “ไม่รับรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างภายนอก  รับรู้แต่เพียงว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นเท่านั้น ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประชาชนถึงโกรธมากขนาดนั้น”




พระนางมารี  อองตัวแนตต์
ผู้เขียนเห็นว่าสิ่งที่นักวิเคราะห์ชาวพม่าท่านนี้นำมา “เล่า” เปรียบเทียบนั้นน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าเนื้อหาในคลิปวีดิโอเลยเพราะเรื่องที่เขานำมาเล่าเป็น “เรื่องเล่า” ที่มีประเด็นแหลมคม ท้าทายให้มีการคิดต่อ และปลุกเร้าผู้อ่านผู้ฟังอยู่ในที


เรื่องเล่าเกี่ยวกับ พระนางมารี  อองตัวแนตต์ มีอยู่ว่า พระนางเป็นหญิงสาวชาวออสเตรียนโดยกำเนิดและอาศัยในครอบครัวชนชั้นสูงของสังคม (ขณะนั้นพระนางมีตำแหน่งเป็น อาร์คดัชเชสแห่งออสเตรีย; Archduchess of Austria) พระนางได้อภิเษกสมรสกับ หลุยส์ โอกุสต์ (Louis-Auguste) ซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ (Louis XVI) แห่งฝรั่งเศส พระนางจึงได้เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของชาติไปโดยปริยาย


ดูเหมือนว่าภูมิหลังเช่นนี้น่าจะทำให้ชีวิตของพระนางดำเนินไปในราชมรรคาที่โปรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่การณ์กลับได้เป็นเช่นนั้นไม่เพราะวิถีชีวิตที่เลิศหรูเพียบพร้อมในฐานะผู้นำประเทศชาติเช่นนี้ช่างตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงกับชีวิตชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ที่กำลังจะอดตายในขณะนั้น !!!


พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖
พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) มหาวิมานบนพื้นพิภพได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความฟุ้งเฟ้อที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนอันคร่ำคร่าของประชาชน งบประมาณมหาศาลของชาติได้ถูกถลุงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็น “ชนชั้นสูง” ดังสังเกตเห็นได้จากพัสตราภรณ์ของพระนางและพระสวามี มีข่าวลือเกี่ยวกับสร้อยเพชรของพระนางในปี ค.ศ.1785 ที่ประเมินค่ามิได้  แต่ ”เรื่องเล่า” ที่ได้กลายเป็นตำนานแห่งความเกลียดชังมากที่สุดคือเหตุการณ์ที่พสกนิกรคนหนึ่งได้เข้ามากราบทูลว่าไม่มีขนมปังจะกินแล้ว  พระนางได้ถามกลับว่า “ทำไมไม่กินเค้ก” คำถามเพียงประโยคเดียวนี้ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านราชสำนักจนกลายเป็น “การปฏิวัติฝรั่งเศส” ในปี ค.ศ.๑๗๘๙ พระนางและพระสวามีได้ถูกจับและถูกบั่นพระศอด้วยเครื่องประหารกีโยติน (guillotine) ในที่สุด


อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันจำนวนมากให้ความเห็นว่าข้อมูลหลายจุดในเรื่องเล่านี้เป็นความเท็จโดยเฉพาะเรื่องสร้อยเพชรและคำถามเรื่องการกินเค้กแทนขนมปัง  แต่เราก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า พระราชวังแวร์ซายส์ พระบรมสาทิสลักษณ์ส่วนพระองค์ (ภาพวาดฝีมือจิตรกรในสมัยนั้นที่ทางราชสำนักมีคำสั่งให้วาดขึ้นทำให้จินตภาพเกี่ยวกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ และพระนางมารี อองตัวแนตต์ ชัดเจนขึ้นจากเรื่องเล่าที่มีอยู่) ฯลฯ เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์สำคัญที่ยืนยันและรองรับความสมเหตุสมผลของประชาชนที่ลุกฮือในการปฏิวัติดังกล่าว




เมื่อเรากลับมาพิจารณาในฝั่งพม่าบ้างเราจะพบว่า แม้สื่อที่เผยแพร่ออกมาจะเป็นรูปแบบของคลิปวีดิโอ (ตามความก้าวหน้าของยุคสมัยแห่งเทคโนโลยีเช่นในปัจจุบัน) แต่เราล้วนแล้วแต่ไม่มีความแน่นอนในแหล่งข่าวจนอาจคิดได้ถึงขั้นที่ว่าคลิปวีดิโอที่ออกมานั้นอาจมีการตัดต่อก็เป็นได้เราจึงอาจพิจารณาได้ว่านี่ก็คงเป็นลักษณะที่ไม่ต่างจาก “เรื่องเล่า” อีกชุดหนึ่งเช่นกัน  หากแต่สิ่งที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์สำคัญก็คือ ประชาชนพม่ายากจนข้นแค้นจริงๆ ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประเทศมีความล้าสมัย (สังเกตได้จากรถไฟที่มิเคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่สมัยที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษมาสร้างไว้  จากคำบอกเล่าของพี่ๆ ที่เคยไปเยือนพม่ามากล่าวว่า แม้แต่พระสงฆ์ก็ต้องปีนเข้ารถไฟทางช่องหน้าต่างเพราะไม่สามารถจะเบียดตัวเข้าไปตรงทางขึ้นได้ด้วยความแน่นขนัดของผู้โดยสาร) ทั้งที่ประเทศพม่าตั้งอยู่ในพื้นที่อันอุดมด้วยทรัพยากรน้ำมันและอัญมณีจำนวนมหาศาล  แต่เรากลับเห็นเพชรเม็ดเขื่องเรียงตัวกันเป็นสายไปปรากฏบนคอของ “ตั่นด่า เฉว่” (Thandar Shwe) บุตรสาวของนายพลตั่น เฉว่ ในพิธีวิวาห์อันหรูหรากับเจ้าบ่าวคือ พ.ต.ส่อ เพียว วิ่น นอกจากนี้ในการกั้นประตูเงินประตูทองที่คนไทยมักจะกระทำกันในพิธีวิวาห์ เราจะพบว่าในคลิปวีดีโอ ผู้กั้นประตูขวางหน้าคู่บ่าวสาวใช้สร้อยเพชรเม็ดมหึมา และบางเส้นเป็นรัตนชาติน้ำงาม


เมื่อพิจารณาเรื่องเล่าทั้งสองซีกโลกนี้จะพบว่าเรื่องเล่าเหล่านี้มีลักษณะสำคัญสองประการคือ “เรื่องเล่าของปีศาจ” และ ”ปีศาจของเรื่องเล่า”


ภาพการประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ด้วยเครื่องประหารกีโยติน
เรื่องเล่าของปีศาจ หมายถึงเรื่องเล่าที่แสดงให้ผู้รับสารรู้สึกร่วมถึงความชั่วร้ายที่อยู่ในเรื่องราวที่เล่า  ในที่นี้เราจะพบว่า พระนางมารี  อองตัวแนตต์ และ ตั่นด่า เฉว่ ถูกเล่าให้เป็นบุคคลที่ชั่วร้าย ในฐานะที่ “รวยอย่างฉ้อฉล” ขณะที่ประชาชนจนกันทุกหย่อมหญ้า เรื่องเล่าแสดงให้เห็นถึงสถานที่อันหรูหราอันเป็นฉากของ “ปีศาจ” ในท้องเรื่องคือ พระราชวังแวร์ซายส์ และพิธีวิวาห์ในทำเนียบของรัฐบาลทหารพม่า มีการกล่าวถึงพัสตราภรณ์และวัตถุอันสูงค่าเช่น สร้อยเพชรราคาสูงลิ่ว ลักษณะของเรื่องเล่าเช่นนี้นำไปสู่ลักษณะอีกประการหนึ่งคือความเป็น “ปีศาจของเรื่องเล่า”




ด้วยลักษณะเรื่องเล่าเช่นนี้เองที่ทำให้สารที่ต้องการจะสื่อในเรื่องเล่านั้นทรงพลัง (แม้ว่าจะมีความจริง-เท็จปะปนอยู่กันอย่างยากที่จะจำแนกก็ตาม) ทางฝ่ายผู้รับสารก็สามารถนำมาเปรียบเทียบกับประสบการณ์ตรงหรือข้อเท็จจริงที่ตนได้รับรู้มาก่อน  ปีศาจของเรื่องเล่า จึงเป็นเรื่องเล่าที่ถูกนำเสนออย่างทรงพลังและมีอำนาจครอบงำผู้รับสารได้เป็นอย่างดี ดังจะพบว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระนางมารี  อองตัวแนตต์ “มีส่วน” ทำให้ชีวิตของพระนางดำเนินสู่เส้นทางแห่งความตายใต้คมมีดเครื่องประหารกีโยติน และเรื่องเล่าชนิดเดียวกันนี้เองที่ทำให้ประชาคมโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวพม่าเองลุกขึ้นมาประณามพิธีวิวาห์ที่น่าจะเป็น “งานมงคล” ให้กลายเป็น “งานอวมงคล” ในที่สุด


ดูเหมือนว่าเรื่องเล่าจากพม่าเรื่องนี้ยังไม่มีตอบจบ แต่จะเหมือนหรือต่างจากกรณีของพระนางมารี  อองตัวแนตต์ หรือไม่  ย่อมเป็นหน้าที่ของประชาชนพม่าทุกคนจะต้องเล่าเรื่องต่อให้จบ.




* ผู้เขียนขอขอบคุณ คุณยุทธพร นาคสุข ที่ให้ความกระจ่างในการถ่ายถอดเสียงพม่า-ไทย